World of Hidden Phoenixes - ตอนที่ 82.2
เมื่อหวงฝู่ อู๋ ซวง ถูกนำตัวลงมาจากรถม้า ฮวาจูอวี้และจี่เสี่ยง ก็ถูกบังคับให้ลงมาด้วย หัวหน้าคุกหลวงหนี่เฉิงหยวน ก้าวออกมาต้อนรับพวกเขา
เขามีใบหน้าที่นิ่งสงบ ไม่มีร่องรอยของความเมตตาแม้แต่น้อย บางทีเขาอาจเป็นหัวหน้าคุกหลวงแห่งนี้นานเกินไปและได้พบปะกับคนที่โดดเด่นมากจนเกินไป เพราะเมื่อเขาเห็นองค์รัชทายาทหนุ่มถูกพาออกจากรถม้า ใบหน้าของเขาก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
เขาเดินนำกลุ่มผู้คุมเข้าไปหาหวงฝู่ อู๋ ซวง และพูดด้วยเสียงเบา ๆ ขึ้น “กระหม่อมเป็นผู้แลคุกหลวงแห่งนี้ หวังว่าฝ่าบาทจะให้อภัยกับความหยาบคายของกระหม่อม แต่เมื่อท่านก้าวผ่านประตูเข้าไป ท่านก็จะถูกมองว่าเป็นคนร้ายและถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้มีอาญาในการลอบสังหารฮ่องเต้ กระหม่อมจะไม่ให้ความเคารพกับพระองค์อีกต่อจากนี้ไป ไม่ใช่ว่ากระหม่อมไม่สนใจในกฎระเบียบและประเพณี แต่นี่เป็นคำสั่งของฮ่องเต้ ไม่ว่าท่านจะเป็นองค์รัชทายาท องค์ชายหรือองค์หญิงเมื่ออยู่ที่นี่ พระองค์จะเป็นเพียงคนร้าย พระองค์เข้าใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”
“เจ้าพูดอย่างชัดเจนขนาดนี้ ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไร”หวงฝู่ อู๋ ซวง มองเขาโดยปราศจากความโกรธแม้แต่เล็กน้อย ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาจะมอบลูกเตะให้กับเขาแทน เขาเป็นถึงองค์รัชทายาท เขาจะทนกับคำพูดที่ไม่สุภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามเขายอมรับ แต่อวาจูอวี้ก็สามารถมองเห็นมือที่สั่นเล็กน้อยอยู่ใต้แขนเสื้อของเขาได้ เมื่อไม่นานมานี้เขาเคยเป็นองค์รัชทายาทที่สง่างาม หยิ่งผยอง แต่คืนนี้สิ่งที่เขาทำได้ก็คือต้องอดทนเท่านั้น
ตั้งแต่เกิดมา เขายังไม่เคยได้รับความคับข้องใจใด ๆ เมื่ออายุได้ 5 ขวบเขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท บางทีการผ่านอุปสรรคในครั้งนี้อาจจะไม่เลวร้ายนัก เพราะมันจะทำให้เขาโตขึ้นอย่างเต็มที่ ไม่แน่ว่าเขาจะสามารถเอาชนะความเจ็บปวดในครั้งนี้ไปได้ อาญาที่ตรึงอยู่กับเขาเป็นเหมือนหลุมฝังศพและยากที่จะล้างออกไปได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหนี่เฉิงหยวนจึงไม่มีความสุภาพแม้แต่น้อย
“กระหม่อมดีใจที่พระองค์เข้าใจ ดี โปรดใส่โซ่ตรวนด้วยฝ่าบาท นั่นคือกฎ! “เมื่อเขาพูดจบ สองผู้คุมก็ก้าวไปข้างหน้า
เขากัดฟันกรามเขา ก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้น ด้วยเสียงที่คมชัด โซ่ตรวนก็ยึดความเป็นอิสระของเขาเอาไว้ทันที
ฮวาจูอวี้ก็ไม่สามารถหลบหนีโซ่ตรวนไปได้เช่นกัน
เนื่องจากหวงฝู่ อู๋ ซวง นางถึงได้ประสบกับการถูกล่ามโซ่เช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของนาง ห่วงที่ติดอยู่บนข้อมือของนาง เต็มไปด้วยความเยือกเย็นของโลหะ ทำร้ายผิวหนังของนาง ทำให้เกิดการรุกล้ำเข้าไปถึงในหัวใจของนาง
ในการเดินทางมาที่นี่ของพวกเขา ความคิดของการพาหวงฝู่ อู๋ ซวงหลบหนีไปได้เกิดขึ้นในหัวใจของนาง นางคือผู้ลี้ภัยอยู่แล้ว แต่ถ้านางหนีไป พวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนสถานการณ์นี้ได้
ขึ้นอยู่กับศิลปะการต่อสู้ของนางและความช่วยเหลือจากอันเสี่ยวเอ้อร์มันจะไม่ยากที่จะหนีออกไปจากคุกหลวงแห่งนี้
เดินตามทหารคุ้มกันไป พวกเขาก็เข้ามาในคุกหลวง
แม้ว่าหนี่เฉิงหยวน จะเป็นผู้ดูแลคุกหลวงที่ถูกออกแบบมาเพื่อกักขังสมาชิกราชวงศ์ แต่ห้องขังยังไงก็ยังเป็นห้องขัง ทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามา พวกเขาก็รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวและความเยือกเย็นมาจากภายใน ตรงทางเดินยาวมีเป็นเพียงโคมไฟน้ำมันสองสามดวงที่แทบจะไม่เพียงพอที่จะส่องให้เห็นใบหน้าของพวกเขาด้วยซ้ำ
หวงฝู่ อู๋ ซวง ฮวาจูอวี้และจี่เสี่ยง ถูกแยกและคุมขังอยู่ในห้องขังแยกออกไปต่างหาก
ห้องขังของหวงฝู่ อู๋ ซวงได้รับการตกแต่งด้วยโต๊ะเก้าอี้และเตียง สำหรับฮวาจูอวี้ มีเพียงกองหญ้าที่ทำหน้าที่เป็นเตียงของนาง แต่นางก็ไม่ค่อยสนใจเพราะนางเคยต้องทนทุกข์ทรมานมากที่สุดแล้วในสนามรบ
เมื่อสำรวจไปรอบๆ นางก็สังเกตเห็นโคมไฟน้ำมันขนาดเล็กติดอยู่ที่ผนังด้วยแสงสลัวๆ ดูเหมือนว่าจะดับไปในทุกเมื่อ กำแพงหินที่ถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำได้ซึมซับเอาความชุ่มชื่นจากรอบๆ และกลั่นตัวเป็นหยดน้ำที่หยดลงมาทีละเล็กทีละน้อย
นี่เป็นสถานที่เหมาะสำหรับการหลีกเลี่ยงความร้อนในช่วงฤดูร้อน ทำไมพวกเขาต้องไปถึงพระราชวังฤดูร้อน อวาจูอวี้ หัวเราะกับตัวเอง
“เจ้ากำลังหัวเราะอะไรอยู่? ถ้าไม่ใช่เพราะองค์รัชทายาท ขันทีต่ำต้อยเช่นเจ้าจะได้อยู่ในห้องขังที่ดีเช่นนี้หรือ? นักโทษที่มีอาญาร้ายแรงได้เปิดประตูรออยู่เสมอ ถ้าเจ้าไม่ประพฤติตัวดีๆ เจ้าก็จะถูกย้ายไปที่นั่น! “หัวหน้าทหารคุ้มกันพูดขึ้นอย่างเย็นชาเมื่อเห็นนางหัวเราะ
รอยยิ้มบนริมฝีปากของนางค่อย ๆ แข็งตัวขึ้น ในขณะที่นางหันไปรอบ ๆ เพื่อมองไปที่เขาอย่างรวดเร็วและเยาะเย้ยขึ้น “ขันทีผู้นี้ไม่รู้ว่าทหารเฝ้าห้องขังตัวเล็กๆ จะมีอำนาจขนาดนั้น!”
ทหารเฝ้าห้องขังไม่คาดคิดว่าขันทีเล็ก ๆ จะกล้าพูดคุยกับเขาในลักษณะดังกล่าว แม้แต่องค์รัชทายาทก็ยังมีท่าทางที่อ่อนลงในขณะที่เขาก้าวเข้ามาในคุกหลวง แล้วผู้คุมห้องขังก็สำรวจฮวาจูอวี้ขึ้นลงอย่างระมัดระวังและเมื่อเห็นลักษณะที่งดงามของนาง เขาก็หัวเราะขึ้น “โอ้ เจ้าคงไม่ใช่บ่าวต่ำต้อยที่ทำให้เจ้านายหลงใหลหยวนเป่าหรอกนะ? แม้แต่ในที่ห่างไกลเช่นนี้พวกเรายังเคยได้ยินชื่อเสียงที่น่าอับอายของเจ้า บิดาผู้นี้ได้ยินมาว่าเจ้ามีฝีปากที่แหลมคม แต่ให้ข้าบอกเจ้าสักเล็กน้อย ในเรือนจำแห่งนี้มีองค์ชายที่มีหัวรุนแรงชื่นชอบเด็กชายที่บอบบางอายุประมาณ 16-17 ปี มีผิวพรรณนุ่มนวลเช่นเจ้า สถานที่แห่งนี้เป็นที่สำหรับสมาชิกของราชวงศ์ ไม่แน่ใจว่าองค์รัชทายาทจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ใครจะรู้บางทีเขาอาจถูกส่งตัวไปพบราชาแห่งนรกในอีกไม่กี่วัน ถ้าเจ้าตกลงที่จะรับใช้ข้า บิดาผู้นี้จะปล่อยให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่นานขึ้นอีกหน่อย แต่ถ้าไม่ บิดาผู้นี้ จะเอาเจ้าไปเสนอให้กับองค์ชายหัวรุ่นแรงผู้นั้น บิดาผู้นี้ได้ยินมาว่าเมื่อเขาชอบพอใครสักคน เขาจะเล่นกับพวกเขาได้ตลอดทั้งคืน เมื่อพวกเขาเริ่มหมดสติลง เขาก็จะปลุกพวกเขาและเล่นต่อไปจนกว่าพวกเขาจะหมดอากาศหายใจไปเอง สำหรับบิดาผู้นี้สามารถที่จะนุ่มนวลกับเจ้าได้ ตกตงตามข้าเป็นอย่างไร?”
ไม่ว่าจะอย่างไรที่นี่ก็คือคุก
การเผชิญหน้ากับความอัปยศอดสูเช่นนี้เป็นครั้งแรกสำหรับฮวาจูอวี้ ห้องขังเป็นสถานที่ที่ถูกกดขี่และนางเป็นขันทีเล็กๆ ที่นายของเขาถูกตราหน้าว่าเป็นคนร้ายและไม่สามารถปกป้องนางได้ ถ้ามีขันทีเพียงคนเดียวที่จะต้องตายในห้องขังแห่งนี้มันก็ไม่เป็นเรื่องใหญ่อะไร
ฮวาจูอวี้ ไม่เคยต้องทนกับคำหยาบคายดังกล่าว ถ้านี่เป็นอดีตนางก็คงไม่ต้องทำอะไร องครักษ์ทั้งสี่ของนางจะจัดการเขาไปเรียบร้อยแล้ว
นางโกรธ แต่นางก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น นางรู้ว่าเขาไม่ได้บอกเพียงเพื่อที่จะทำให้นางตกใจเล่นๆ และทุกอย่างก็เป็นไปได้ในห้องขังที่มืดมิดแห่งนี้
ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ฮวาจูอวี้ตอบขึ้น”ท่านผู้คุ้มขัง ท่านพูดถูกแล้วขันทีผู้นี้อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เนื่องจากความหนักหนาของอาญาที่องค์รัชทายาทเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แน่นอนว่ามันจะต้องมีการพิจารณาคดีขึ้น ในกรณีนี้ขันทีผู้นี้จะต้องให้การเป็นพยานอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจนกว่าจะถึงตอนนั้นจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้า! ”
“เอาล่ะๆ!” เมื่อถูกยั่วยวนด้วยรอยยิ้มของฮวาจูอวี้ ผู้คุ้มกันเอื้อมมือออกไปเพื่อสัมผัสใบหน้าของนาง
นางรีบหันศีรษะไปด้านข้างหลีกเลี่ยงเขา แต่เขาก็ยังคงพอใจในขณะที่เขาสูดกลิ่นจากปลายนิ้วมือของเขา เขายิ้มก่อนจะพูดขึ้น “โอ้ช่างมีใบหน้าที่ละเอียดบอบบางยิ่งนัก ข้าช่วยไม่ได้ที่จะต้องการสัมผัสมัน เช่นนั้นข้าคงต้องรอไปก่อน ฮ่าๆ … ”
เขาออกไปด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ แต่ยังคงสังเกตเห็นทหารคนอื่น ๆ ที่ยังคงเฝ้าดูฮวาจูอวี้อยู่ เขาตบหน้าของเขา ก่อนจะพูดขึ้น “เจ้ากำลังมองอะไรอยู่ คนนี้เป็นของข้า เจ้าห้ามดูเด็ดขาด! ”
ทหารคุ้มขังจับใบหน้าเล็กๆ ของเขาด้วยมือ ก่อนจะรีบตอบขึ้น “ขอรับๆ หัวหน้าจ๋าว!”
ดวงตาของนางส่องประกายระยิบระยับขึ้น ในขณะที่นางคิด ‘หัวหน้าจ๋าว ข้าจะจดจำสิ่งนี้เอาไว้’
คำคืนก็เลยเวลาไปมากแล้ว และโคมไฟน้ำมันได้ในที่สุดกินน้ำมันหยุดสุดท้ายไป ก่อนจะดับลงอย่างช้าๆ ห้องถูกห่อหุ้มไปด้วยความมืดมิด จนไม่สามารถแม้แต่จะมองเห็นมือของนางเอง เป็นธรรมชาติที่จะไม่มีใครจะมาเติมน้ำมันสำหรับโคมไฟนี้ นางเดินตรงไปที่กองหญ้าใกล้กับกำแพง ก่อนจะค่อยๆนั่งเอนกายลงไปบนพื้น
ใช้กำลังภายในของนาง ทำให้พันธนาการที่ข้อมือและข้อเท้าของนางหลวมขึ้นในทันทีและนางก็เอาพวกมันออกได้อย่างง่ายดาย ต้องนอนกับห่วงเหล่านี้นางรู้สึกอึดอัดมาก ก่อนจะโยนไปด้านข้าง นางเอนพิงหลังไปกับผนังและหลับตาลง
หลังจากใช้เวลา 2 วันและหนึ่งคืนอยู่ในห้องขัง ฮวาจูอวี้ก็ถึงกับหมดเรียวแรง
คราวนี้นางหลับไปสักพัก เมื่อเปิดตาของนางขึ้น นางก็สังเกตเห็นว่าแม้ว่าห้องขังยังคงมืดอยู่ แต่ก็มีแสงเล็กน้อย ทะลุจากกระเบื้องตรงมุงหลังคา
เมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้า นางก็รีบใส่โซ่ตรวนกลับอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีการเปิดประตูห้องขัง หัวหน้าผู้คุ้มขังจากเมื่อวานก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้า ในมือมีชุดนักโทษอยู่ เมื่อพวกเขามาถึงเมื่อว่านมันก็ดึกแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับเครื่องแบบ แต่นางไม่คาดคิดว่าหัวหน้าจ๋าวผู้นี้จะมาด้วยตัวเองเพื่อส่งมอบมันในตรู่ของวันนี้
“คนงามน้อย ข้ามาแล้ว เนื่องจากมีโซ่ตรวนอยู่เช่นนี้อาจจะทำให้เจ้าไม่สะดวกที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะให้เจ้ายืมมือของข้าเอง? “รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจอันชั่วร้าย ในขณะที่ดวงตาของเขาจ้องมองอย่างมุ่งร้ายไปบนใบหน้าของนาง สายตาของเขาค่อยๆขยับลงไปที่เอวของนาง แล้วก็ต่ำลงไป มันดูราวกับว่าจ้องมองเพียงอย่างเดียวของเขาก็อาจจะทะลุผ่านเสื้อผ้าของนางไปได้แล้ว ถ้าดวงตาสามารถทำให้คนที่มีมลทินได้ ดูเหมือนว่านางถูกละเมิดไปเป็นพัน ๆ ครั้งแล้ว
ความโกรธของนางติดไฟและนางต้องยับยั้งตัวเองจากการขุดดวงตาของเขาออกมา เขาไม่รู้จริงๆว่าอะไรดีอะไรชั่วสำหรับตัวเอง ฮวาจูอวี้ คิด ก่อนจะเดินเข้าไปหาเสื้อผ้าของนางอย่างช้าๆ
ด้วยการบิดเพียงเล็กน้อยของร่างกาย นางก็หลีกเลี่ยงการจับของเขาเอาไว้ได้และพูดขึ้นเบา ๆ ด้วยเสียงที่พยายามข่มความโกรธเอาไว้”หัวหน้าจ๋าว ข้าสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองได้ ข้าไม่กล้ารบกวนท่านแม้แต่น้อย ”
แต่เขาก็หลงใหลไปกับนางมากเกินกว่าที่จะสังเกตเห็นไอสังหารในดวงตาของนาง เมื่อคืนนี้ภายใต้แสงสลัวของโคมไฟน้ำมัน เขาเพียงแค่คิดว่า ฮวาจูอวี้ มีเสน่ห์ เขาไม่ได้ค้นพบว่านางงดงามจนกระทั้งวันนี้ เช้านี้เขาวางแผนที่จะช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าของนางและหาประโยชน์จากนางเล็กน้อย แต่ใครจะคิดว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขาในวันนี้จะงดงามมากขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายนี้ แม้จะมีเสื้อผ้าอยู่บนร่างก็ยังคงมีเสน่ห์มากเช่นนี้
เมื่อเขามาในวันนี้ เขาไม่ได้นำองครักษ์คนอื่นมาพร้อม ๆ กับเขา
ในเวลานี้เขารีบปิดประตูห้องขังและโยนความระมัดระวังไปกับสายลม ก่อนจะโยนชุดนักโทษไปด้านข้าง และเริ่มถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็วเคลื่อนไหวของเขา อย่างไม่คาดคิดว่าจะรวดเร็วและว่องไวเช่นนี้ แต่โชคดีที่เขายังคงรู้สึกอับอายอยู่บ้างและไม่ได้เอาทุกอย่างออกไปจนหมด มิฉะนั้นฮวาจูอวี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเอาสายตาไปไว้ที่ไหนจริงๆ
ความรู้สึกของความหวาดหวั่นเริ่มเกิดขึ้นภายในตัวของนาง นางไม่รู้จริงๆว่านางควรจะตัดลูกอัณฑะของคนผู้นี้หรือเพียงแค่ฆ่าเขาดี การแต่ตัดอัณฑะของเขาอย่างแน่นอนจะทำให้มือของนางสกปรก ในขณะที่ฆ่าเขาไม่ต้องสงสัยจะทำให้เกิดปัญหา
นางควรทำอย่างไร
ขณะที่นางกำลังใคร่ครวญถึงเรื่องนี้อยู่นั้น หัวหน้าจ๋าวก็เดินมาทางนาง
ด้วยการบิดตัวเบา ๆ ร่างของนางก็สามารถหลีกเลี่ยงสัตว์ร้ายที่หิวกระหายไปยังผนังได้แล้ว เขาไม่ได้คาดหวังว่าฮวาจูอวี้จะสามารถเคลื่อนไหวไปได้อย่างสง่างามและคล่องตัวเช่นนี้ แต่ แทนที่จะโกรธเขากลับหัวเราะและพูดขึ้น “เต็มไปด้วยความแข็งแรงจริงๆ บิดาผู้นี้ชอบยิ่งนัก!” เมื่อเขาพูดจบ เขาก็หันกลับมาและเดินไปหานางอีกครั้งในขณะที่แขนกางออก
ฮวาจูอวี้รู้สึกผิดหวัง นางคิดว่าด้วยตัวตนของขันทีนางจะปลอดภัยจากความอัปยศอดสู แต่นางก็คิดผิด
คราวนี้นางไม่ได้หลีกเลี่ยงเขา
เขากดนางไว้กับกำแพง มือข้างหนึ่งเอื้อมออกไปฉีกเสื้อผ้าที่หัวไหล่ของนาง เผยให้เห็นกระดูกหัวไหล่ของนางที่ละเอียดอ่อน ในขณะที่อีกข้างหนึ่งกำลังดึงแถบหยกที่อยู่รอบเอวของนางออก
หัวหน้าจ๋าวผู้นี้ เป็นคนที่โหดเหี้ยมเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานที่มีดวงตากระหายเลือด ส่องประกายขึ้นด้วยความตื่นเต้นเหมือนที่เขากำลังจะกลืนกินนางไปทั้งตัว
ฮวาจูอวี้ถอนหายใจ นางรังเกียจที่จะให้มือของนางสกปรกด้วยการฆ่าคนเช่นนี้ แต่เขาก็ทำเกินไปจริงๆ นางเพิ่งจะมุ่งเป้าไปที่จุดสำคัญของเขาแต่แล้วเสียงก็ดังขึ้น
“ใครอยู่ข้างใน?” เสียงเย็น ๆ ไหลออกมาจากทางเข้าห้องขัง ทำให้หัวหน้าจ๋าวหวาดกลัวจนเขาไม่รู้ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร
ประตูห้องขังถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ฮวาจูอวี้หดมือกลับเข้าไปอย่างรวดเร็วและลอบใส่เข้าไปในโซ่ตรวนอีกครั้ง ก่อนที่จะยกศีรษะขึ้นเพื่อดูว่าเป็นใคร
หลายคนยืนอยู่นอกประตู ในหมู่พวกเขามีผู้ดูแลคุกหลวงจางหยวน และทหารประมาณสิบคน พวกเขายืนอยู่รอบ ๆ ชายคนหนึ่งซึ่งก็คือจี่เฟิงหลี่
ไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อเขากลับจากตำหนักฤดูร้อน สิ่งแรกที่เขาทำก็คือมุ่งหน้าไปคุกหลวงเพื่อเป็นผู้นำในการพิจารณาคดี
เขาอยู่ในชุดขุนนางสีแดงอย่างเป็นทางการ ซึ่งปักไปด้วยหมู่เมฆนับไม่ถ้วนบนแขนเสื้อของเขาและสวมหมวกไว้บนศีรษะอย่างเป็นทางการ เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างสง่างามและสูงส่ง บางทีเขาอาจไม่ได้คาดหวังที่จะได้เห็นฉากเช่นนี้ในขณะที่ดวงตาของเขากระพริบขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ฮวาจูอวี้ ถอนหายใจอยู่ข้างใน ดวงตาที่ชัดเจนของนางค่อยๆเปลี่ยนเย็นชาขึ้น
ทำไมนางถึงได้โชคร้ายขนาดนี้!
สถานะที่น่าสังเวชในปัจจุบันของนาง ได้ถูกพบเห็นจากศัตรูของนางซึ่งก็คือจี่เฟิงหลี่ เขาคงจะมีความสุขมากที่ได้เห็นนางอยู่ในสภาพแบบนี้!
แช่แข็งไปด้วยความน่ากลัวหัวหน้าจ๋าว ยังคงอยู่ในตำแหน่งของการตรึง ฮวาจูอวี้ เอาไว้กับกำแพง จางหยวน ผู้ที่ได้เป็นพยานในฉากนี้ถึงกับเต็มไปด้วยความตกใจ เขาลอบมองไปที่จี่เฟิงหลี่อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะตอนตะโกนเสียงดังขึ้น “จ๋าวซื่อ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
เมื่อเห็นจี่เฟิงหลี่ปรากฏตัวขึ้น จ่าวซื่อ ก็เริ่มแขนขาสั่นเทาและทรุดตัวลงไปบนพื้น ก่อนจะคำนับลงอย่างต่อเนื่องและพูดขึ้น “ท่านเสนา โปรดเมตตา ท่านเสนา โปรดเมตตา ข้าผู้น้อยเพียงนำเครื่องแต่งกายมาให้นักโทษ ใครจะคิดว่านักโทษผู้นี้เขา .. ล่อลวงข้าผู้น้อย เขาเป็นปีศาจ เขาทำให้ข้าผู้น้อยสับสน ทำให้ข้าผู้น้อยไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ โชคดีที่ท่านเสนาจี่มาในเวลาที่เหมาะสม มิฉะนั้นข้าผู้น้อยคงจะถูกปีศาจตนนี้กระทำในสิ่งที่ผิดปาบไปแล้ว”
ได้ยินเรื่องไร้สาระของหัวหน้าจ๋าวซื่อ ฮวาจูอวี้ก็ช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ขาวและดำ ถูกทำให้กลับด้านโดยผู้ชายอย่างจ๋าวซื่อผู้นี้
เสียงหัวเราะของนางเป็นการผสมผสานระหว่างการดูถูกและการช่วยไม่ได้
แล้วจู่ๆ นางก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้เสื้อผ้าของนางกำลังยุ่งเหยิงและกระดูกหัวไหล่ของนางกำลังถูกเปิดเผยออกมา ดังนั้นนางจึงรีบจับเสื้อผ้าของเอาด้วยกันในทันที พยายามปกปิดมันเอาไว้ ในขณะที่นางเดินไปที่มุมผนัง นางไม่ได้มองไปที่ด้านนอกประตูและไม่ได้ให้คำอธิบายถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน ขนตาของนางลดลงและปกปิดสายตาของนางเอาไว้
นางรู้ว่าทุกคนที่มีสายตาสามารถมองเห็นความจริงของสถานการณ์ได้ แต่เป็นธรรมชาติแม้ว่าจี่เฟิงหลี่จะมีตา แต่เขาก็จะบิดจากดำเป็นขาว
“จางหยวน ข้าไม่อยากเห็นบุคคลผู้นี้อีกต่อไป!” เสียงของเขาเย็นชาแต่ก็ยังสงบและโดยไม่มีร่องรอยของความโกรธใดๆ แต่จางหยวนก็ยังคงหวาดกลัวกับคำสั่งของเขา
เขารีบออกคำสั่งให้กับผู้คุมคุกหลวง ก่อนจะพูดขึ้น”เร็วเข้า ลากเขาออกไป”
“ขอรับ!” พวกเขาตอบขึ้นอย่างรีบร้อนและก้าวไปหาฮวาจูอวี้และตั้งใจจะพานางออกไป
“ข้าไม่ได้หมายถึงเขา” เขาพูดขึ้นด้วยเสียงที่เบาเหมือนสายลม
“อา!” จางหยวน ร้องออกมาด้วยปากที่เปิดกว้าง หลังจากนั้นไม่นานในที่สุดเขาก็ดึงสติของเขากลับมาและพูดเสียงดังขึ้นอีก”เจ้าทำอะไรอยู่เจ้าพวกโง่! ข้าหมายถึงจ๋าวซื่อ! พาเขาออกไป!”
ผู้คุมคุกหลวงหันไปหาจ๋าวซื่อ และลากเขาออกจากห้องขัง
ท่าทางที่ดูถูกคนอื่นและหยิ่งทะนงของจ๋าวซื่อ ได้หายไปนานแล้วและเขาก็ร้องออกมาเสียงดัง “ท่านเสนาโปรดเมตตาๆ … . “เสียงของเขาค่อยๆจางหายไปในระยะไกล
ฮวาจูอวี้ลืมตาขึ้นช้าๆ นางไม่คาดคิดว่าจี่เฟิงหลี่ จะลงโทษทหารคุ้มกันคุกหลวงในนามของนาง
ยืนอยู่ที่ประตูห้องขังอย่างสงบ ริมฝีปากของจี่เฟิงหลี่ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันสง่างาม ดวงตาของเขากวาดผ่านชุดเครื่องแบบของนักโทษที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นและเสื้อผ้าที่จ๋าวซื่อถอดทิ้งไว้
“จางหยวน พาเขาไปพบข้าหลังจากนี้สักครู่!” จี่เฟิงหลี่พูดขึ้นอย่างไม่แยแสและหันหลังจากไป
ผ่านประตูห้องขัง ร่างเขาสามารถมองเห็นได้ในระยะที่ไกลออกไปเรื่อยๆ
ตามทางเดินที่มืดครึ้ม เปลวเพลิงของไฟที่ถูกจุดขึ้นในทุกๆสิบก้าวจะทำให้เกิดแสงสลัวลงไปบนเสื้อผ้าของเขา ด้วยแขนเสื้อที่สะบัดไปมาในแต่ละครั้งราวกับทำให้เกิดไฟลุกโชติช่วงขึ้น
ในทุกวัยและทุกเวลา จะมีคนที่ส่องสว่างเป็นดาวที่โดดเด่น ถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นสมบัติอันเป็นที่รักของสวรรค์ พวกเขาก็จะมีพรสวรรค์หรือเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้
จี่เฟิงหลี่ ผู้ซึ่งทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักตั้งแต่ตอนอายุ 15 ปีก็คือคนผู้นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เสื้อคลุมของเขาแกว่งไปมาทุกย่างก้าว ความสดใสของภาพเงาที่ค่อยๆจางหายไปของเขาทำให้ดวงตาของฮวาจูอวี้ ปิดลงและนางก็พยายามปกปิดความเกลียดชังที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจของนาง
นางยืนขึ้น ก่อนจะค่อยๆเดินไปปิดประตูและเปลี่ยนเสื้อผ้าของนาง เสื้อผ้าของนางฉีกขาดไปหมดแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่สามารถสวมใส่มันได้แม้ว่านางจะต้องการก็ตาม อย่างไรก็ตามเครื่องแบบของนักโทษก็มีขนาดใหญ่เกินไปทำให้นางดูผอมลงมาก
หลังจากนั้นไม่นาน ทหารสองคนก็มาพานางไปยังห้องขนาดใหญ่ เมื่อเข้าไปข้างในพวกเขาก็ผลักนา งทำให้นางล้มลงไปกับพื้น
ความหนาวเย็นของพื้นดินตรงเข้าไปในร่างกายของนาง ด้วยโซ่ตรวนอยู่ที่รอบคอของนาง นางจึงอยู่ในตำแหน่งของการคุกเข่า
นางรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าขัน ฮ่องเต้ได้ส่งลูกชายของเขาไปยังคุกหลวง ดังนั้นความต้องการของการพิจารณาคดีคืออะไร? กับจี่เฟิงหลี่เป็นผู้นำในการพิจารณาคดีแล้วหวงฝู่ อู๋ ซว จะยังคงมีโอกาสอีกหรือ?
นางเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ภายในห้องนี้มีหน้าต่างสองบาน แสงแดดส่องลงมาครึ่งหนึ่งของห้องพักที่กว้างขวาง เหลือความมืดมิดเอาไว้อีกครึ่งหนึ่ง
ที่แผนกการสอบปากคำคือท่านเสนากรมยุติธรรมจางฉิง ข้างๆเขามีคนสองคน เสนาฝ่ายซ้ายจี่เฟิงหลี่และเสนาฝ่ายขวาหนี่หยวนเฉียว