World of Hidden Phoenixes - ตอนที่ 83
ฮวาจูอวี้พยายามใจเลยลง บางทีกับเสนาบดีฝ่ายขวาหนี่หยวนเฉียว ตอนนี้หวงฝู่ อู๋ ซวน อาจจะยังคงมีโอกาสอยู่ก็ได้
ผู้มีอิทธิพลในราชสำนักเสนาฝ่ายขวาเนีย เป็นพี่ชายของฮองเฮาเนีย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อนข้างตึงเครียดราวกับว่าพวกเขาต้องการที่จะไม่ต้องพบกันและกันอีกในตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเขา ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นลุงของหวงฝู่ อู๋ ซวน แต่พวกเขาแทบไม่เคยพบกัน พวกเขาไม่ต่างกับคนแปลกหน้า ดังนั้นฮวาจูอวี้จึงไม่คิดว่าเขาจะช่วยหวงฝู่ อู๋ ซวน แต่นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับชีวิตและความตาย ดังนั้นนางจึงคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เสนาเนีย จะยืนอยู่ด้านของหลานชายของเขา
จางฉิง มองไปที่เสนา ทั้งสองคน ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านเสนา ให้เริ่มกันเถอะ”
จี่เฟิงหลี่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะสอบปากคำ สวมใส่ในขุนนางอย่างเป็นทางการของเขา ดูเหมือเขาจะสูญเสียความสง่างามบางอย่าง ในขณะที่เขาดูเด็ดเดี่ยวและน่าแกรงขามมากขึ้น เขานั่งเอนหลังลงไปกับที่นั่ง ในขณะที่เขานิ่งเงียบๆและเฝ้าดูฮวาจูอวี้ถูกผลักเข้ามาในห้อง
แล้วเสนาเนียก็พูดขึ้น “เริ่มได้!”
จางฉิง ไอขึ้นเบาๆและเคาะบนโต๊ะของเขา ก่อนจะพูดขึ้นสอบถาม”เดือนที่แล้วเมื่อเจ้าไปกับองค์รัชทายาทที่เจียงไป๋ เพื่อแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาภัยพิบัติ เขาได้ส่งคนเข้าไปในภูเขาเพื่อจับสัตว์ร้ายเหล่านั้นหรือไม่?”
“ไม่!” ฮวาจูอวี้ตอบขึ้นทันที
จางฉิง ไม่ได้แสดงความโกรธแม้แต่เล็กน้อย เขาเกิดมาพร้อมกับใบที่หน้า ปราศจากการแสดงออกที่ไม่เคยทรยศต่ออารมณ์ของเขา
“ตามแผนการเดินทาง เจ้าควรกลับมาที่เมืองหลวงในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม แต่ทำไมเจ้าถึงกลับมาเมื่อต้นเดือนมิถุนายน สิบวันหลังจากที่คาดไว้ เจ้าทำอะไรอยู่ในช่วงเวลานั้น? “จางฉิงถามขึ้นอย่างจริงจัง
ฮวาจูอวี้เงียบสักครู่หนึ่ง
เรื่องนี้เป็นที่รู้กันเฉพาะกับขุนนางเพียงไม่กี่คนในขณะที่ฮ่องเต้ยังคงปกป้องหวงฝู่ อู๋ ซวน อยู่ในเวลานั้น
แต่นางไม่สามารถปกปิดเรื่องนี้ได้ เนื่องจากการกลับมาของพวกเขาล่าช้ามันจึงกลายเป็นเรื่องที่น่าสงสัยในสายตาของคนอื่น ดังนั้นฮวาจูอวี้จึงเริ่มตั้งเล่าเรื่องที่เงินบรรเทาภัยพิบัติถูกปล้นไปอย่างไร พวกเขาจึงต้องเดินทางไปหอเจียงซูเย่ เพื่อยืมเงินและแม้แต่การร้านค้า ในเจียงหลิง
เมื่อได้ยินเช่นนี้หัวคิ้วของจางฉิงก็ขมวดขึ้นและถามด้วยเสียงต่ำขึ้น “นั่นเป็นความจริงหรือ? ที่องค์รัชทายาททำเงินช่วยเหลือหายไป?”
ด้วยรอยยิ้มอันเย็นชา นางตอบขึ้น “ข้าผู้น้อยไม่กล้าพูดคำเท็จ ท่านเสนาจาง สามารถส่งคนไปที่โรงเตี๊ยมซีไหลเพื่อตรวจสอบได้! นอกจากนี้ท่านยังสามารถสอบถามองค์รัชทายาทได้”
แม้ว่ามันจะยังคงเป็นความผิดทางอาญาที่ทำเงินช่วยเหลือหายไป แต่ก็ยังเป็นอาญาที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการจับสัตว์ร้ายเหล่านั้น
จางฉิง พยักหน้าและไม่ได้สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ด้านข้างเจ้าหน้ากำลังจดบันทึกคำตอบของฮวาจูอวี้
“แล้วเช่นนั้น ให้ข้าถามเจ้าในเรื่องนี้ มีขุนนางคนไหนเป็นพิเศษได้ไปติดต่อกับองค์รัชทายาทบ่อยครั้งหรือไม่? พวกเขาแลกเปลี่ยนจดหมายลับหรือไม่? “จางฉิง จ้องมองที่ฮวาจูอวี้ และถามคำถามออกมาอย่างเยือกเย็น
ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการที่จะกดดันขุนนางที่สนับสนุนหวงฝู่ อู๋ ซวน มันก็ไม่แตกต่างจากการทำการหักปีกของเขาอย่างนั้นหรือ? ไม่เพียงแต่หวงฝู่ อู๋ ซวน ที่ล้มแต่จะทำให้ผู้สนับสนุนเขาล้มด้วยเช่นกัน
“ท่านเสนาจาง ข้าผู้น้อยได้คอยรับใช้องค์รัชทายาทอยู่ทุกวันและนอกจากเขาจะไปพบกับฮ่องเต้และท่านอาจารย์เพื่อร่ำเรียนแล้ว นอกจากนี้องค์รัชทายาทก็ไม่มีการติดต่อกับขุนนางคนอื่นๆอีก! “ฮวาจูอวี้ตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
นี่เป็นความจริงที่สุด นางอยู่ในพระราชวังมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นหวงฝู่ อู๋ ซวน มีการติดต่อกับใครเลย เขาไม่ได้แม้แต่จะไปเคารพแม่ของเขาด้วยซ้ำ
“เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”เสนาจางตบโต๊ะและส่งเสียงเย็นขึ้น “ดูเหมือนว่าเจ้าจะชัดเจนเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ร้าย เจ้าจะไม่พูดความจริงใช่ไหม? ”
“ท่านเสนาจาง องค์รัชทายาท ไม่ได้เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีของสัตว์ร้าย ทหารได้ค้นพบภาพวาดในห้องขององค์รัชทายาท ที่มีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ แต่ข้าผู้น้อยคิดว่ามันถูกดัดแปลงตั้งแต่ที่มีการวาดภาพแล้ว ถ้ากลิ่นหอมของมันผสมอยู่ในหมึก เมื่อใช้ในวาดภาพมันก็จะมีกลิ่นของดอกกุหลาบอยู่”ฮวาจูอวี้พูดขึ้นช้าๆ
“คำพูดของเจ้าก็เป็นไปได้ ถ้ามีกลิ่นหอมอยู่ในหมึก ก็ต้องมีคนต้องการที่จะใส่ร้ายองค์รัชทายาท!” เสนาเนียพูดขึ้นช้าๆ ในขณะที่เขาจับเคราของเขา
“ใช่ แต่กระดาษและหมึกเป็นองค์รัชทายาทที่สั่งให้นำมา!” เสนาจางฉิง พูดขึ้นอย่างไร้อารมณ์
“ใช่ แต่คนวาดภาพเองก็ต้องมีการสัมผัสกับหมึกและกระดาษ นางอาจแอบผสมมันลงไปก็ได้ “ฮวาจูอวี้พูดขึ้น
ดวงตาของจางฉิงหรี่ลงและตั้งคำถามขึ้น “แต่เหวินว่านได้วาดภาพต่อต่อหน้าคนมากมาย ถ้านางทำอะไรเช่นนั้น ทำไมไม่มีใครสังเกตเห็น?”
ฮวาจูอวี้ถึงกับไร้คำพูด
ในเวลานั้นนางรู้สึกเบื่อและไม่ได้เฝ้าดูเหวินว่าน นางกำลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและโดยบังเอิญได้สังเกตเห็นนกพิราบของเสี่ยวหยินเข้า ดังนั้นนางจึงไม่สามารถระบุได้ว่าเหวินว่าน ทำอะไรในขณะที่วาดภาพหรือไม่
หวงฝู่ อู๋ ซวน กำลังเฝ้าดูเหวินว่านอยู่ แต่เขาก็หลงใหลไปกับนางอย่างหมดสิ้น ดังนั้นเขาน่าจะไม่สังเกตเห็นแม้กระทั่งว่านางทำอะไรบางอย่าง
“ในเวลานั้น ข้าผู้น้อยจิตใจไม่อยู่กับที่และไม่ได้ให้ความสนใจ!” ฮวาจูอวี้ ตอบขึ้นอย่างช้าๆอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้นางเสียใจจริงๆที่รู้สึกเบื่อและจ้องมองไปที่ท้องฟ้าในวันนั้น
แต่ใครจะคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเริ่มต้นแผนการในเวลานั้นและภาพวาดนั้นจะสามารถส่งหวงฝู่ อู๋ ซวน ที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ ไปยังคุกหลวงได้! แม้ว่าคนผู้หนึ่งจะมีความระมัดระวัง แต่มันก็ค่อนข้างยาก
“ไม่ได้ให้ความสนใจหรือ?” จางฉิง ย้ำคำด้วยการแสดงออกของไม้ จากนั้นเขาก็เคาะโต๊ะอย่างหนักและพูดขึ้น”นักโทษ เงยหน้าขึ้นและดูมัน!”
นางยกศีรษะขึ้นมาและมองตามสายตาของจางฉิงไปทางผนัง
บนผนังแขวนเครื่องมือทรมานเอาไว้มากมาย ซึ่งดูเหมือนจะดูน่าขนลุกและดำคล้ำ เครื่องมือต่าง ๆ ปกคลุมไปด้วยชั้นของเลือดแห้งๆ ไม่รู้ว่าเลือดของคนจำนวนมากเท่าไหร่ที่ถูกชุบลงไป
จางฉิง ชี้ไปที่กำแพงและพูดขึ้น “เครื่องมือทรมานเหล่านี้ ถูกใช้เพื่อทรมานเฉพาะสมาชิกของราชวงศ์ที่ฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น สำหรับขันทีตัวเล็ก ๆ เช่นเจ้า การที่จะได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ได้ถือว่าเป็นบุญของเจ้าแล้ว ทหารเข้ามา! ”
ฮวาจูอวี้เติบโตขึ้นมาในสนามรบ ไม่มีอะไรที่นางไม่ได้เห็น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเครื่องมือทรมานที่น่ากลัวเหล่านี้
แต่นางจะกลัวสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ดวงตาของนางกวาดไปทั่วเครื่องมือต่าง ๆ บนผนังอย่างเฉยเมย ในขณะที่รอยยิ้มเบาบางปรากฏบนริมฝีปากของนาง
“ข้าผู้น้อยไม่รู้ว่านี่เป็นวิธีการที่ท่านเสนาแห่งกรมยุติธรรมสอบสวน! ในเมื่อท่านต้องการให้ข้าผู้น้อยรับสารภาพภายใต้การถูกทรมาน แล้วทำไมยังต้องถามให้เสียเวลา ทำไมไม่ทรมานไปเสียแต่เนินๆ! “นางพูดขึ้นอย่างไม่แยแส ดวงตาที่ชัดเจนของนางส่องประแวววาวของการเยาะเย้ยขึ้น
การแสดงออกของจางฉิง ค่อยๆดำมืดลง ในขณะที่พวกทหารทั้งสองก้าวไปข้างหน้า แต่ละคนจับแขนของฮวาจูอวี้และลากนางไปที่เครื่องมือทรมาน
จี่เฟิงหลี่ นั่งอยู่กับที่นั่งของเขา ดวงตาดำมืดราวกับน้ำหมึกของเขาหันไปทางนาง ก่อนจะกวาดไปทั่วใบหน้าของนาง อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเขาจ้องมองไปที่เครื่องทรมานนานกว่าปกติ ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงในขณะยิ้มที่เหมือนกับไม่ยิ้มขึ้น
ฮวาจูอวี้สามารถจินตนาการได้แค่ว่าจี่เฟิงหลี่ต้องรู้สึกดีแค่ไหนที่ได้เป็นพยานถึงความทุกข์ยากของนาง นี่อาจจะเป็นการแก้แค้นสำหรับนางในการทำร้ายเขาครั้งก่อน ๆ ในการละเล่นและสำหรับการขโมยเสื้อผ้าของเขาในวันนั้น
เครื่องดนตรีแปลก ๆ ถูกออกแบบมาเพื่อดึงขาให้แยกออกจากกัน มันดูเหมือนจะดึงขาให้ออกจากกันมากเกินไป จนพื้นผิวของมันย้อมไปสีเลือดมากจนสีเดิมไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป
เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนผลักฮวาจูอวี้ ลงไปบนพื้น หนึ่งในพวกเขาจับเครื่องทรมานไว้กับขาของนาง อันหนึ่งอยู่ทางด้านขวาและอีกอันอยู่ทางด้านซ้ายและใช้ความแข็งแรงทั้งหมดของพวกเขา เพื่อดึงโซ่ไปในทิศทางที่ตรงกับข้าม
นอนบนพื้นน้ำแข็งที่เยือกเย็น ฮวาจูอวี้รู้สึกถึงความเย็นที่ซึมผ่านฝ่ามือเกือบจะเคลือบไปที่หัวใจของนาง ช่วงเวลาที่ทหารทั้งสองดึง ความเจ็บปวดก็จู่โจมมาที่นางอย่างรุ่นแรงและนางก็กัดริมฝีปากของนางเอาไว้ ไม่มีอะไรที่นางสามารถทำได้ แค่ต้องทนอยู่ในความเงียบเท่านั้น พวกเขาสามารถทรมานนางได้แต่พวกเขาไม่กล้าฆ่านาง
“พอได้แล้ว!” เสียงของจี่เฟิงหลี่เบาเหมือกับสายลมที่เหน็บหนาวและเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง
“ปล่อยตัวนักโทษ!” เขายังคงนั่งพิงหลังอยู่กับที่นั่งของเขาด้วยท่าทางที่ไม่แยแส ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาดูเยือกเย็นเล็กน้อย
เมื่อยินเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ทั้งสองก็รีบเอาเครื่องมือทรมานออกอย่างรวดเร็วและตั้งใจจะลากนางออกไป
“ปล่อย! ข้าสามารถเดินด้วยตัวเองได้! “ฮวาจูอวี้พูดขึ้นอย่างช้าๆและสะบัดแขนเสื้อขึ้นทำให้ทหารทั้งสองถึงกับถอยหลังไปสองก้าว นางเหลือบมองพวกเขาด้วยความรังเกียจ ก่อนที่จะมองขึ้นไปที่จี่เฟิงหลี่ ที่นั่งอยู่สูงในตำแหน่งของเขา “ท่านเสนาจี่ คนที่กระทำชั่ว ไม่ช้าหรือเร็วก็จะต้องทนทุกข์ทรมานจากสวรรค์!”
พูดจบนางก็ระงับความเจ็บปวดและเดินออกไป
เมื่อนางออกจากห้องตรวจสอบ นางก็ชะลอตัวลง ขาของนางเจ็บปวดมาก สิ่งเหล่านี้สมควรแล้วที่จะถูกเรียกว่าเครื่องมือทรมาน มันทรมานนางเพียงไม่นาน แต่มันเจ็บปวดมากแล้ว ถ้านางต้องทนอีกต่อไปนางก็ไม่แน่ใจว่านางจะสามารถทนต่อมันได้หรือไม่
ถ้าคนเหล่านี้ใช้เครื่องมือเดียวกันกับหวงฝู่ อู๋ ซวน นางกลัวว่าเขาจะไม่สามารถรับความเจ็บปวดและสารภาพผิดออกไปได้ นางได้ยินมาว่าเครื่องมือเหล่านี้ถูกใช้โดยฮ่องเต้พระองค์ก่อนหน้า เพื่อลงโทษสมาชิกในราชวงศ์ที่ก่ออาญาต่างๆ
เมื่อนางกลับมาที่ห้องขัง นางเห็นทหารไม่กี่คนกวาดพื้น ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีนำเตียง ผ้าห่มและแม้แต่โต๊ะและเก้าอี้เล็ก ๆ เข้ามา
ตอนนี้ห้องขังของนางเทียบได้กับห้องขังของหวงฝู่ อู๋ ซวน แล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้นางงงงงงวยเป็นอย่างมาก