World of Hidden Phoenixes - ตอนที่ 92.2
สิบวันต่อมาน้ำในเมืองเซวียนโจวก็ได้ลดลงและการระบาดของโรคก็ได้หมดไปแล้ว ฮวาจูอวี้กับจี่เฟิงหลี่ และกลุ่มผู้ติดตามของเขาพร้อมที่จะมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองหยูแล้ว
เมื่อพวกเขาเดินทางมาในครั้งแรก ฮวาจูอวี้เดินทางมาด้วยรถม้าคันเดียวกันกับจี่เฟิงหลี่ คราวนี้ฮวาจูอวี้ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปด้วยม้าพร้อมกลุ่มผู้คุ้มกันอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงในการกปัฏบัตินี้ทำให้ ฮวาจูอวี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จี่เฟิงหลี่ไม่ถือว่านางเป็นสัตว์เลี้ยงชายของเขา แต่เป็นหนึ่งในผู้คุมกันของเขา
แต่สภาพอากาศนั้นกลับแปลกประหลาดอย่างมาก มันพึ่งจะมีฝนตกอย่างไม่เอื้ออำนวยเพียงไม่กี่วันก่อน แต่ตอนนี้ท้องฟ้าแจ่มใส แม้ว่าจะเป็นช่วงปลายฤดูร้อน แต่ดวงอาทิตย์ในช่วงบ่ายก็ยังรุนแรงมาก การเดินทางบนหลังม้าเกือบจะทำผิวของเจ้าหลุดหลอกออกมา
โชคดีที่จี่เฟิงหลี่ ให้ความสำคัญต่อผู้ที่อยู่ภายใต้เขา เขาจึงสั่งให้ทุกคนพักผ่อนในระหว่างวันและออกเดินทางเมื่อค่ำคืนมาถึง ด้วยการเดินทางด้วยวิธีนี้พวกเขาจึงมาถึงเมืองหยู ในกลางเดือนกรกฎาคม
หลังจากชีวิตและความตาย และยังได้มีประสบการณ์กับน้ำท่วมและการระบาดของโรค เหล่าทหารโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเจ็บป่วยรู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้รับโอกาสอีกครั้งในการมีชีวิตอยู่ ทุกคนอยู่ในอารมณ์ดีอย่างที่สุด พวกเขาเห็นถนนที่คึกคักของเมืองหยู และยังมีไม่กี่คนที่พูดขึ้นเบาๆว่าอยากจะไปที่หอนางโลมเพื่อหาความสนุกสนานและความบันเทิง
ฮวาจูอวี้มีการแสดงออกด้วยความรังเกียจต่อคำพูดของพวกเขา ก่อนจะคิดว่าผู้ชายคิดด้วยครึ่งล่างของพวกเขาบ่อยเกินไป ย้อนกลับไปในเหลียงโจวหลังจากกลับมารับชัยชนะจากการรบ นายทหารหลายคนเข้าไปเยี่ยมเยียนหอนางโลมเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง บางครั้งพวกเขาก็จะบังคับให้นางไปด้วย เพราะกลัวว่าพวกเขาอาจสงสัยในตัวตนของนางถ้านางปฏิเสธนางก็ไปกับพวกเขา
ฮวาจูอวี้อาจถือได้ว่าเป็นแขกประจำของหอนางโลมฉิ่งโหลว ของเหลียงโจว เลยก็ว่าได้ แม้ว่านางจะอยู่กับสุภาพสตรีพร้อมกับเหล้าและดนตรี แต่สถานที่แห่งนั้นก็เป็นที่ที่นางได้พบกับตงหงเป็นครั้งแรก
ในเวลานั้นตงหงกำลังถูกทำร้ายภายใต้คำสั่งของแม่เล้า นอกเหนือจากใบหน้าของนางแล้วต่างก็มีแผลไปทั่วร่างกายของนาง ตงหงไม่เต็มใจที่จะรับแขกที่เข้าพักและถูกลงโทษ บังเอิญฮวาจูอวี้ กำลังมองหาผู้หญิงแบบนี้อยู่ ต่อจากนั้นเป็นต้นมานางจึงจัดหาเงินเพื่อซื้อเวลาของตงหง เมื่อใดก็ตามที่นางไปที่หอนางโลม นางก็จะเรียกให้ตงหงมาเล่นดนตรีให้ฟัง หลังจากนั้นตงหง ก็ตั้งใจที่จะติดตามนางและเนื่องจากที่ฮวาจูอวี้รู้สึกสงสารตงหงที่ยังเด็กอยู่แต่กลับต้องขายตัวในหอนางโลม ฮวาจูอวี้จึงตัดสิ้นใจที่จะชื้อตัวตงหงจากแม่เล้า แต่ฮวาจูอวี้ไม่เคยคาดคิดว่าตงหงจะร่วมอยู่กับนางในสนามรบ และตอนนี้ก็ต้องอยู่อย่างเดียวดายในส่วนที่ลึกที่สุดของวังหลวง
ตอนนี้คังหวาง ได้กลายเป็นฮ่องเต้แล้ว เหล่าหญิงงามที่ผ่านการคัดเลือดทั้งหลายก่อนหน้านี้ก็ได้กลายเป็นสนมของฮ่องเต้ไปแล้ว ฮวาจูอวี้สงสัยว่าตงหงจะเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อนางยังกับอยู่หวงฝู่ อู๋ ซวง นางพยายามอย่างดีที่สุดในการคิดหาทางที่จะให้ทำให้ตงหง ได้อยู่ข้างหวงฝู่ อู๋ ซวง เพื่อที่นางจะสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของนางเอาไว้ได้ แต่นั่นเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
ฮวาจูอวี้ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า เมื่อรับรู้ได้ว่าการแสดงออกของนางดูไม่ดี ทหารต่างก็เงียบลง
ในช่วงเวลาที่อยู่ในเซวียนโจว ฮวาจูอวี้ได้ช่วยชีวิตผู้คนเอาไว้มากมายด้วยยาที่นางเตรียมเอง ดังนั้นทหารเหล่านี้ทั้งหมดต่างก็มองนางต่างไป ไม่ได้ดูถูกนางเหมือนก่อนอีก เมื่อระลึกได้ว่านางเป็นขันทีและอาจคิดว่านางรู้สึกไม่สบายใจ พวกเขาจึงไม่ได้พูดถึงการไปหอนางโลมอีก
หลังจากกลับมาถึงที่พักของจวนท่านเสนา ฮวาจูอวี้ก็ยังคงอยู่ที่ซินหยวน แต่ดูเหมือนหลางปิง ได้ย้ายไปที่อื่นแล้ว ซินหยวนที่กว้างขวางจึงเป็นของนางเพียงผู้เดียว ไม่มีหลางปิง คอยเฝ้าดูนางในเวลากลางคืนจากห้องด้านข้างหรือไม่ก็มีจี่สุยและจี่เยวีน คอยติดตามนางในระหว่างวัน เมื่อเทียบกับก่อนนี้ ฮวาจูอวี้มีอิสระมากขึ้น
เย็นวันหนึ่งฮวาจูอวี้รู้สึกเบื่อหน่ายมากกับการต้องอยู่ในห้องของนางตลอดทั้งวันและจึงตัดสินใจเดินลัดเลาะไปตามสวนหลังจวนของจี่เฟิงหลี่โดยไม่ได้ตั้งใจ
ดวงอาทิตย์ตอนเย็นที่ยังไม่ได้ตกดิน ยังสว่างเรืองรองอยู่ไกลจากขอบฟ้า รังสีทองพาดลงมาบนทะเลสาบที่สะท้อนคลื่นของแสงสีแปลก ๆออกมา
ศาลาหลายแห่งตั้งอยู่เหนือน้ำ แต่ละแห่งมีทางเดินทอดยาวไปถึงฝั่ง ตั้งอยู่ในสถานที่ที่ต่างกันออกไป ศาลามีรูปแบบคล้ายดอกบัวเมื่อมองดูโดยรวม
ฮวาจูอวี้ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามเช่นนี้ นางเดินเล่นไปตามฝั่งทะเลสาบ ก่อนจะได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้นเบาๆมาจากทางทะเลสาบ
นางหยุดก้าวเดินและฟัง นางรู้สึกว่าเพลงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย หลังจากฟังอยู่สักครู่นางก็ตระหนักว่าเป็นบทเพลงที่จี่เฟิงหลี่ เล่นในช่วงงานเลี้ยงที่ที่พักของคังหวาง – โยว่สุย
ตามที่เหวิ่นวาน ได้พูดเอาไว้ บทเพลงนี้จี่เฟิงหลี่แต่งขึ้นเอง คืนนั้นที่งานเลี้ยง ฮวาจูอวี้ไม่ได้ฟังอย่างตั้งใจและรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่น่าฟัง และเมื่อได้ฟังมันอีกครั้งในวันนี้ใน พร้อมกับเหล่าดอกไม้ที่เฟื่องฟูและทะเลสาบที่ส่องประกาย นางรู้สึกราวกับว่าภายใต้เสียงนี้มีความรู้สึกของความโดดเดี่ยวอยู่
ในฐานะที่เป็นคนรักในเสียงเพลงอยู่แล้ว นางจึงช่วยไม่ได้ที่จะนั่งลงไปบนหินใกล้ ๆ และฟังอย่างเงียบ ๆ แต่หลังจากฟังนิ้วมือของนางเริ่มคัน ถ้ามีคนอื่นกำลังเล่นบทเพลงนี้ิอยู่ นางก็จะเข้าร่วมและเริ่มกลมกลืนไปกับพวกเขา แต่จำได้ว่าคนเล่นในครั้งนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจี่เฟิงหลี่ ความสนใจของนางก็หายไปอย่างสิ้นเชิง
นางจ้องมองไปทางศาลาและเห็นจี่เฟิงหลี่ กำลังยืนอยู่ใกล้กับราวบันไดหันหน้าไปทางน้ำพร้อมกับขลุ่ยหยกอยู่ในมือของเขา หลานปิงอยู่ข้างๆเขาดูเบื่อมาก ในขณะที่เขาพิงราวบันไดและมองไปข้างหน้า
เมื่อกลัวว่ากลานปิงอาจจะพบนางเข้า ฮวาจูอวี้จึงยืนขึ้นและหันหลังกลับเข้าไปในดงดอกไม้โดยตั้งใจจะมุ่งหน้ากลับ แต่หลังจากเพียงไม่กี่ก้าวนางก็ได้ยินเสียงของหลานปิงเรียกขึ้น “หยวนเป่า มานี่ๆ เจ้ากำลังวิ่งไปที่ไหน? ”
หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้น ดวงตาของเขาคมชัดอย่างน่ารำคาญจริงๅ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นนางจึงต้องหมุนกลับและค่อยๆเดินเข้าไป
“ท่านหลานปิง ท่านเรียกหยวนเป่า ด้วยเรื่องอันใดหรือ “ฮวาจูอวี้ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เขายกหัวคิ้วก่อนจะตอบ”เป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่จะมีเรื่องที่ควรจะพูดคุย เจ้าได้ฟังท่านเสนา เล่นขลุ่ยแล้ว เจ้าก็ต้องเล่นพิณเป็นการตอบแทน ข้าได้ยินมาว่าทักษะการเล่นพิณของเจ้าไม่ธรรมดาและเจ้าก็เล่นพิณในการประทังชีวิตมาก่อน ดังนั้นเล่นพิณให้ท่านเสนา และตัวข้าผู้ที่ต่ำต้อยเพื่อให้เราได้เปิดความรู้ของเราด้วย”
ฮวาจูอวี้รู้สึกหดหู่คำร้องขอของเขา แต่นางก็ยิ้มและตอบขึ้น “ท่านหลานปิง ทักษะการเล่นของขลุ่ยท่านเสนานั้นหาที่เปรียบไม่ได้ คนต่ำต้อยอย่างข้าจะกล้าแสดงทักษะเล็กน้อยของข้าต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญเช่นท่านเสนาได้อย่างไร”
เมื่อดวงอาทิตย์ตกอยู่ในขอบฟ้าที่ไกลออกไป จี่เฟิงหลี่ก็ยังคงยืนอยู่ใกล้กับราวของศาลา และไม่สนใจบทสนทนาข้างหลังเขาแม้แต่น้อย
หลานปิงยกคิ้วของเขาขึ้นในท่ารำคาญเล็กน้อยและพูดขึ้น”หยวนเป่า ตามจริงแล้วข้าไม่เคยได้ยินใครเล่นโยว่สุย ดีกว่าท่านเสนา ดังนั้นแม้ว่าทักษะของเจ้าจะด้อยกว่า เราก็จะไม่ทำให้เจ้ามีช่วงเวลาที่ยากลำบาก “
“การแต่งบทเพลงของท่านเสนาเป็นเรื่องที่อยู่เหนือโลกใบนี้ ข้ายอมรับว่าทักษะของข้าด้อยกว่าและไม่ต้องการเสียหน้า ถ้าไม่มีอะไรอื่นแล้วข้าขอลา “ฮวาจูอวี้ ตอบขึ้น
เขาส่ายศีรษะของเขา จากนั้นนิ้วของหลานปิง ลื่นไหลไปตามสายของพิณและเสียงที่สวยงามและชัดเจนก็สะท้อนออกมา
แล้วจู่ ๆฮวาจูอวี้ก็หันกลับมาและจ้องมองไปที่เครื่องดนตรีที่อยู่ใต้มือของหลานปิง ร่างของมันทำด้วยหยกขาวซีดคล้ายกับหิมะ ส่องสว่างและเงางาม นางรู้สึกประหลาดใจและช่วยไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ฉิ่งเหลียนหรือ?”
หลานปิงตื่นตระหนก ก่อนจะถามขึ้น”เจ้ารู้จักฉิ่งเหลียนด้วยหรือ?”
นางรู้ว่านางมีลิ้นที่ไหลลื่น ก่อนจะมีรอยยิ้มอันที่อ่อนโยนและตอบขึ้น “มันไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรู้จัก ข้าเพียงเคยได้ยินมาครั้งหนึ่ง พิณนี้ดูค่อนข้างคล้ายกับคำอธิบายของฉิ่งเหลียน ใช่หรือไม่ “ฉิ่งเหลียน เป็นหนึ่งในหลายๆ พิณที่มีชื่อเสียง ชัดเจนและไพเราะ
“เจ้าพูดถูกแล้ว นี่คือฉิ่งเหลียน จริงๆ” หลานปิงพูดพร้อมกับหัวเราะขึ้น “ข้าไม่คิดว่าหยวนเป่าจะสามารถบอกได้ว่านี่คือฉิ่งเหลียน ในตอนนี้เจ้าคงจะยินดีที่จะเล่นมันแล้วใช่? ไม่ใช่ว่าใครก็จะมีโชคชะตาที่จะได้พบกับฉิ่งเหลียนได้ รู้หรือไม่”
ฮวาจูอวี้เริ่มลังเลใจ มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะได้พบกับพิณที่มีชื่อเสียง นางจ้องมองไปที่มัน ตอนนี้หัวใจของนางเริ่มสั่นคลอน แต่จริงๆแล้วนางไม่อยากเล่นเพื่อจี่เฟิงหลี่ นางตั้งใจจะปฏิเสธ ก่อนจะได้ยินเสียงที่เบาและสงบของจี่เฟิงหลี่ดังขึ้น “หลานปิงฉิ่งเหลียน เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ทุกคนสามารถเล่นได้ตามที่พวกเขาต้องการหรือ? ถ้าพวกเขาต้องการเล่น เราก็ยังคงต้องดูว่าบทเพลงที่พวกเขาจะเล่นนั้นคุ้มค่ากับฉิ่งเหลียนหรือไม่ “แม้ว่าเสียงของเขาจะฟังดูน่ารื่นรมย์และอ่อนโยน แต่ก็ไม่อาจละเลยการเหยียดหยามในคำพูดของเขาได้
นางหันไปมองที่จี่เฟิงหลี่ ก่อนที่จะตัดสินใจที่จะนั่งหน้าฉิ่งเหลียน
ในขณะที่หลังของเขาเผชิญหน้ากับฮวาจูอวี้ จี่เฟิงหลี่เห็นนางนั่งอยู่หน้าฉิ่งเหลียน จากหางตาของเขาและริมฝีปากของเขาก็โคงขึ้นเป็นรูปแบบของรอยยิ้มขึ้น