World of Hidden Phoenixes - ตอนที่ 95
จี่เฟิงหลี่พิงหลังกับเบาะนั่งสบาย ๆ ขณะที่นั่งไขว่ขา ไม่มีความตื่นตระหนกใดๆ บนใบหน้าของเขาแม้แต่
ฮวาจูอวี้คิดย้อนกลับไปในวันที่เขาป่วย แต่ก็ยังคงยืนหยัดที่จะมองดูแผนที่และการกำหนดกลยุทธ์ ถึงกระนั้นตอนนี้เขาก็ยังคงดูสงบนิ่งราวกับว่าเขาไม่ได้เป็นห่วงในเรื่องของสงครามครั้งนี้แม้แต่น้อย
“หยวนเป่า เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับการที่อาณาจักรเหนือบุกรุกเราในคราวนี้?” จี่เฟิงหลี่ถามขณะที่เขาเฝ้าดูฮวาจูอวี้
“ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้รู้สึกตกใจมาก” ฮวาจูอวี้ตอบ สงครามไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าประชาชนทั่วไปได้ตระหนักถึงเรื่องนี้มันจะน่ากลัวแค่ไหน
“เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร ทำไมจู่ๆ เสี่ยวหยินถึงต้องการบุกรุกเรา?” จี่เฟิงหลี่ถามขึ้นในขณะที่เขาหยิบรายงานทางทหารออกจากโต๊ะ
แม้ว่าฮวาจูอวี้จะเต็มไปด้วยความคิดมากมายในใจของนาง แต่นางยังคงสงบและตอบขึ้น “ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้มีหัวคิดที่เชื่องช้าและไม่รู้ว่าทำไม”
“เมื่อข้าปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระจากคุกหลวง ข้าจำได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าบอกว่าเจ้าจะติดตามข้าและนำความสามารถของเจ้าออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ การแข่งขันการต่อสู้เป็นโอกาสอันดีที่จะทำเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าร่วม? “จี่เฟิงหลี่ถามขึ้นด้วยหัวคิ้วที่หมวด
“ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ไม่ได้คิดให้รอบคอบและสงสัยว่าจะยังมีโอกาสทำเช่นนั้นอยู่หรือไม่?” ฮวาจูอวี้เงยหน้าขึ้นและถาม นางได้เกี่ยวกับเรื่องนี้และตัดสินใจว่าไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตามที่เสี่ยวหยินตัดสินใจที่จะทำสงคราม นางก็ต้องไปพบเขา แม้ว่านางจะไม่แน่ใจว่านางจะยังคงใช้ตัวตนของน้องสาวของเขาเพื่อโน้มน้าวให้เขายุติการต่อสู้ได้หรือไม่ แต่นางก็ยังต้องการลองดู อย่างน้อยก็ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางว่าความสงครามจะนำความทุกข์ทรมานมาสู่ผู้นำแค่ไหน
นางรู้ว่าวัตถุประสงค์ของการแข่งขันการต่อสู้ในครั้งนี้คือการเลือกแม่ทัพที่จะสามารถนำทัพไปสู้รบกับอาณาจักรเหนือ ดังนั้นถ้านางเข้าร่วมนางก็จะมีโอกาสที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบ นางตัดสินใจว่านางจะยกเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของนางไปให้อันเสี่นวเอ้อร์จัดการก่อนชั่วคราว เพื่อที่จะได้พบกับเสี่ยวหยิน นางจะต้องไปที่แนวหน้า ถ้านางยังคงอยู่เคียงข้างจี่เฟิงหลี่ นางคงจะไม่มีโอกาสนั้น
“โอ้?” จี่เฟิงหลี่ขมวดคิ้วของเขาขึ้น “เช่นนั้น เจ้าไปได้และเตรียมพร้อมเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ได้”
หลังจากทำความเคารพแล้ว นางก็หันหลังและจากไป
จี่เฟิงหลี่ยังพิงเก้าอี้ของเขาด้วยรูปลักษณ์ที่สลับซับซ้อนกระพริบขึ้นในดวงตาของเขา ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบ ๆ
หลานปิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านเสนา ท่านคิดว่าหยวนเป่า ยังคิดถึงเสี่ยวหยินอยู่หรือไม่? ถ้าไม่เช่นนั้นทำไมเขาถึงตกลงที่จะเข้าร่วมการแข่งขันทันทีที่ได้ยินว่าเสี่ยวหยินกำลังจะบุกมาที่นี่? นอกจากนี้ท่านคิดว่าเป็นเพราะหยวนเป่าหรือไม่ที่ทำให้เสี่ยวหยินเคลื่อนไหว?”
ตอนนี้หลานปิงต้องระมัดระวังทุกครั้งที่เขากล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฮวาจูอวี้ เพราะเขาเชื่อในใจว่า จี่เฟิงหลี่และฮวาจูอวี้ กำลังมีส่วนร่วมในความสัมพันธ์บางอย่างในเรื่องนี้
ได้ยินคำถามของหลานปิง ใบหน้าที่หล่อเหลาของจี่เฟิงหลี่ ก็ดำมืดลงและเขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันเคร่งขรึมขึ้น “หลานปิงเจ้าช่วยคิดอะไรให้เหมือนคนที่มีเหตุผลคิดหน่อยได้หรือไม่?”
“ท่านเสนาบดี เสี่ยวหยินเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของสัตว์ร้าย นั่นเป็นหลักฐานที่เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ใช่เรื่องธรรมดา “หลานปิงพูดขึ้นด้วยความระมัดระวังและด้วยเสียงที่เบา
จี่เฟิงหลี่ลุกขึ้นจากที่นั่งและเอามือไขว่หลังในขณะที่เดินออกไปอีกด้านของห้องและพูดขึ้น “มันไม่ชัดเจนว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันหรือไม่ แต่จะเป็นแบบไหน เมื่อไหร่ที่พวกเราไปที่สนามรบ พวกเราก็จะได้เห็นมัน”
เนื่องจากคำแนะนำของจี่เฟิงหลี่ ฮวาจูอวี่ก็สามารถเข้าร่วมในรอบที่สองของการแข่งขันได้ เป็นธรรมชาติที่นางไม่ได้เปิดเผยความแรงแข็งแกร่งที่แท้จริงของนาง แต่ก็ยังสามารถที่จะผ่านไปรอบที่สามได้อย่างสบายๆ
รอบที่สามเกิดขึ้นที่สนามแข่งขันหลักและนับเป็นรอบสุดท้าย และฮ่องเต้หวงฝู่ อู๋ จาง ก็มาดูพร้อมกับกองกำลังทหารองครักษ์หลวงหลายสิบคน มีเจ้าหน้าที่จำนวนมากเข้าร่วมด้วยเช่นกันรวมถึงฮวาจูอวี้ด้วย
เมื่อถึงเวลา (7-9 นาฬิกา) ฮ่องเต้คังก็มาถึงและขันทีนำขบวนก็ประกาศว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”
เจ้าหน้าที่ทุกคนคุกเข่าลงไปอย่างพร้อมเพรียงรวมถึงฮวาจูอวี้และผู้เข้าร่วมแข่งขันคนอื่น ๆ แล้ว ทุกคนต่างก็พูดขึ้น “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้พระองค์อายุยื่นหมื่นปีหมื่นๆปีพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อทุกคนลุกขึ้นยืนอีกครั้งฮวาจูอวี้ก็เหลือบมองไปทางหวงฝู่ อู๋ จาง และเห็นเขานั่งลงไปที่บัลลังก์ เขาไม่ได้แตกต่างจากองค์ชายที่ซีดและอ่อนแอเหมือนที่เขาเคยเป็นมากนัก เมื่ออยู่ในชุดมังกรทองคำ เขายิ่งดูอ่อนโยนและอ่อนแอมากขึ้น เด็กคนนี้ไม่เหมาะที่จะเกิดมาในราชวงศ์ เขามีดวงตาขลาดเขลา แม้ว่าเขาจะจะกลายเป็นฮ่องเต้แล้วก็ตาม
มองไปที่หวงฝู่ อู๋ จาง ฮวาจูอวี้ก็นึกถึงหวงฝู่ อู๋ ซวง ที่ยังคงถูกคุมขังอยู่ เมื่อเร็ว ๆ นี้นางได้ติดต่อกับอันเสี่ยวเอ้อร์ และได้รับแจ้งว่าสภาพความเป็นอยู่ของหวงฝู่ อู๋ ซวง ในเรือนจำไม่ได้เลวร้ายนัก พวกเขายังไม่ได้ทำอะไรกับเขา ทำให้นางเชื่อว่าพวกเขาจะดำเนินการไปอย่างช้าๆ เนื่องจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่กำลังป่วยอยู่
รอบที่สามของการแข่งขันการต่อสู้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการและเนื่องจากเป็นการแข่งขันต่อหน้าฮ่องเต้ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงได้รับการดูแลอย่างเป็นพิเศษและด้วยความระมัดระวัง ผู้เข้าร่วมทั้งหมดได้เลือกอาวุธที่ตนเลือกและขึ้นไปแสดงฝีมือบนเวที
ฮวาจูอวี้และผู้เข้าร่วมคนอื่นๆที่ยังไม่ถึงคราวของพวกเขา พวกเขาทั้งหมดจะยืนอยู่ด้านล่างเพื่อดูการแข่งขัน ผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่สามารถเข้าถึงรอบที่สามคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ด้วยเทคนิคที่แตกต่างกันไป ในหมู่พวกเขาไม่มีปัญหาการขาดแคลนแม่ทัพแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เข้าร่วมที่คนที่ 10 ถังยวี และ คนที่ 51 หนานกง เจี๋ย
ถังยวี มาจากครอบครัวที่เป็นที่รู้จักกันดีในเจียงหู ในเรื่องอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในตัวของพวกเขาที่เรียกว่าถังเมิน ดังนั้นมันจึงทำให้ ฮวาจูอวี้ประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อได้พบว่าฝีมือดาบของเขาก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน จากการปรากฏตัวของเขา เขาควรจะมีอายุประมาณ 20 ปี แม้ว่าเขาจะมีรูปร่างคลายนักวิชาการที่บอบบาง แต่ฝีมือดาบของเขาก็คมและประณีต ไม่มีใครสามารถนึกภาพออกได้จากรูปร่างของเขาที่มันถูกบดบังอยู่เบื้องหลังความสามารถในการเคลื่อนไหวของดาบของเขาที่รวดเร็วราวกับกระพริบตา
หนานกง เจี๋ย มีอายุประมาณเดียวกัน ด้วยร่างกายที่สูงใหญ่และหล่อเหลา การเคลื่อนไหวทุกครั้งของเขามีพลังมากและแสดงถึงความกล้าหาญของเขา เขาทำการต่อสู้ด้วยหอกของเขาบนหลังม้า ราวกับว่าเขาและหอกเป็นหนึ่งเดีนวกัน การเคลื่อนไหวทุกอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก
ดูไปพร้อมกับฝูงชนฮวาจูอวี้ ช่วยไม่ได้ที่จะชื่นชมทักษะของพวกเขา ดูเหมือนว่าจะมีมังกรและเสือโคร่งซ่อนอยู่ในหมู่ประชาชน การจัดการแข่งขันการต่อสู้เพื่อค้นหาคนที่มีพรสวรรค์ในหมู่ประชาชนทั่วไปและคนจากเจียงหู เป็นความคิดที่ดีมาก และเนื่องจากการแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นโดยจี่เฟิงหลี่ ดูเหมือนว่าเขาต้องอยากใช้โอกาสนี้เพื่อส่งคนของเขาเข้าสู่กองทัพ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันบางคนเป็นคนของจี่เฟิงหลี่อย่างแน่นอน
เนื่องจากนางไม่ต้องการดึงดูดความสนใจมาที่ตัวเอง นางจึงเลือกที่จะเข้าร่วมการแข่งขันยิงธนูซึ่งมีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมด้วยเช่นกัน กฎของการแข่งขันนี้คือการยิงไปที่เป้าหมายจากช่วงระยะห่างหนึ่ง ๆ โดยเริ่มจากที่ 60 ฟุต, 80 ฟุต, 100 ฟุตและสุดท้าย 120 ฟุต
เมื่อมาถึงช่วง 100 จำนวนของผู้เข้าร่วมแข่งขันก็ลดลงไม่เหลือถึงสิบคนรวมฮวาจูอวี้ด้วยแล้ว เมื่อนางยิงออกไปในครั้งนี้ นางตั้งใจยิงให้มันพลาดเป้าหมายของนางและยิงได้เพียง 3 ใน 5 เท่านั้นและกำจัดตัวเองออกจากรอบต่อไป
ในช่วงท้ายของการแข่งขันฮ่องเต้คัง ได้ประกาศชัยชนะสามอันดับสุดท้าย ได้แก่ถังยวี หนานกง เจี๋ย และหลู หยาง เป็นผู้ชนะในการแข่งขันยิงธนู
ขณะที่เขาคุกเข่าลงไปต่อหน้ฮ่องเต้และกล่าวถวายบังคม ก็มีเสียงดังขึ้นก่อน “การรายงานต่อฝ่าบาท มีข่าวเร่งด่วนมาจากระยะทาง 800 ลี้เพื่อมารายงานพ่ะย่ะค่ะ!”
การแสดงออกของฮ่องเต้คังกลายเป็นขี้เถ้าและเขาก็ยืนขึ้นทันทีและเดินไปข้างหน้าทหารรายงาน “เร็วเข้ารีบรายงานมา! สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? ”
เต็มไปด้วยผู้คนกว่าพันคนในเวทีการแข่งขันแห่งนี้ ทุกคนต่างก็จมลงไปสู่ความเงียบอย่างแท้จริง เสียงเพียงเสียงเดียวที่ได้ยินก็คือเสียงของการรายงานข่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “กองทัพของอาณาจักรเหนือตีฝ่าหย่างกวนมาแล้ว และแม่ทัพเสินไป๋ ก็ถูกสังหารในสงคราม กองทัพของอาณาจักรเหนือยังได้ยึดซูโจวเอาไว้แล้ว รองแม่ทัพของเรากำลังนำกองทัพของเราจำนวน 3,000 คนเพื่อไปสู้กับกองทัพของอาณาจักรเหนือ อย่างไรก็ตามกองทัพของอาณาจักรเหนือมีกำลังมากและกล้าหาญ อีกทั้งกองกำลังของเราได้รับความเดือดร้อนจากการสู้รบอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถรต้านไว้ได้นาน ดังนั้นจึงได้มีการส่งรายงานจาก 800 ลี้มาเพื่อขอให้ฝ่าบาทส่งกองกำลังไปช่วยเหลือด้วยพ่ะย่ะค่ะ! “
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ฮ่องเต้คังก็ถึงกับนวดหน้าผากของเขา เขาแทบจะไม่สามารถยืนอยู่ได้และใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที
ฮวาจูอวี้เคยได้ยินว่าแม่ทัพ เสินไป๋ ที่ได้ทำหน้าที่ปกป้องชายแดนทางเหนือ แม้ว่าเขาจะยังไม่เป็นที่รู้จักกันดีเหมือนบิดาของนาง ฮวามู่ แต่เขาก็ดุร้ายและเป็นแม่ทัพที่กล้าหาญ คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินว่าเขาเสียชีวิตในสนามรบหลังจากปกป้องชายแดนมาเป็นเวลานาน
อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่รู้สึกระทึกและให้ความรู้สึกหนักใจอึ้งอยู่ในหัวใจของทุกคน
คืนนั้นจี่เฟิงหลี่ ไม่ได้กลับไปที่จวนของเขาและอยู่ในวัง เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้กับเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ
สองวันต่อมา
ในวันที่อากาศแจ่มใสไม่มีเมฆฝน ก็ได้มีทหารสองหมื่นคนประจำการอยู่ที่ประตูทางด้านเหนือของเมืองหลวง ภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพถังยวี ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งและกองทัพจะออกเดินทัพไปทางเหนือโดยเร็วที่สุด
ฮวาจูอวี้ก็เป็นหนึ่งในทหารที่ประจำการอยู่ที่ประตู ผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่น ๆ ที่ผ่านรอบที่สามของการแข่งขันก็อยู่ที่นี่ด้วยและเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ มีเพียงถังยวี และหนานกง เจี๋ย เท่านั้นที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งทางทหารอยู่ในระดับ 4 เนื่องจากฝีมือที่ยอดเยี่ยมในการแข่งขัน
หลังจากมีเสียงแตรดังขึ้น ทหารสองหมื่นคนก็เดินทางออกไปทางเหนือ ฮวาจูอวี้เหลือบมองกลับไปที่เมืองหลวงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันกลับมาดึงบังเหียนและตามกองทัพไป
ออกจากเมืองหลวงไปในครั้งนี้ นางสงสัยว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เมื่อได้ยินข่าวในวันนั้นในที่สุดนางก็ตระหนักว่าสงครามระหว่างอาณาจักรใต้และอาณาจักรเหนือเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บางทีความพยายามของนางอาจจะไร้ผล แต่อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุดนางก็ต้องพยายาม
ทิ้งเมืองหลวงไว้ด้านหลัง กองทัพก็มุ่งหน้าไปทางตอนเหนือ
ฮวาจูอวี้ได้ยินเสียงกีบม้าดังจากข้างหลัง เมื่อหันไปมองนางก็เห็นกลุ่มของม้ากำลังวิ่งออกมาจากเมืองหยูด้วยความรวดเร็ว
“มีกลุ่มอื่นด้วยหรือ? ข้าคิดว่าเราเป็นกลุ่มเดียวที่ไปเสียอีก? “ทหารคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ฮวาจูอวี้แสดงความคิดเห็น
เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง ในที่สุดนางก็จำได้ว่าคนที่กำลังอยู่บนหลังม้าสีดำนั้นเป็นคนของจี่เฟิงหลี่
นางไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะนำทัพเข้าสู่สนามรบ ถ้านางรู้ นางคงจะไม่สนใจที่จะเข้าร่วมการแข่งขันและเพียงแค่ขอตามเขาไปเท่านั้น
นางไม่คิดว่าจี่เฟิงหลี่ จะออกจากเมืองหยูจริงๆ เขาไม่กลัวว่ากระแสน้ำจะพลิกกลับถ้าเขาจากไปและกลับมาหรือ? เขาไม่กลัวการสูญเสียอำนาจและการควบคุมของเขาที่มีต่อราชสำนักหรือ? ฮวาจูอวี้รู้สึกว่านางเข้าใจเขาน้อยลงทุกวัน
นอกจากนี้เขายังไม่ได้เอารถม้ามาด้วยและเพียงแค่ขี่ม้าเหมือนทหารคนอื่นๆ เท่านั้น แต่ด้วยความเร็วที่จำกัดของรถม้าถ้าเขาจะใช้มัน นางก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะไปทางทิศเหนือเมื่อไหร่
ฮวาจูอวี้รู้ว่าจี่เฟิงหลี่ ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มา ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกประหลาดใจกับความเร็วของเขา แต่ทหารอื่น ๆ ต่างก็ไม่รู้ความจริงข้อนี้ ดังนั้นพวกเขาจะต้องเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดที่สุด เมื่อพวกเขาเห็นขุนนางที่ดูงดงามเช่นนั้นนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยความเร็วดังกล่าว
กองทัพเดินทางต่อไปในระหว่างวัน พักผ่อนเพียงครึ่งชั่วยามในตอนเที่ยงก่อนจะออกเดินทางต่ออีกครั้ง และในตอนเที่ยงคืนพวกเขาก็จะหยุดเพื่อที่จะตั้งค่ายพักและออกเดินทางในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
แม้ว่าฮวาจูอวี้จะเคยเป็นแม่ทัพและได้เห็นความโหดร้ายและความทุกข์ทรมานจากสงคราม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางต้องเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทัพที่อย่างรวดเร็วและเร่งด่วนเช่นนี้ นอกจากนี้นางยังต้องอยู่รวมกับผู้ชายในระยะประชิด อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงเป็นเรื่องที่พอจะอดทนได้ เพราะเมื่อ 3 ปีที่แล้วเมื่อนางได้เริ่มอาชีพทหารของนางในฐานะนายทหารชั้นต่ำ นางก็ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้