World of Warcraft ราชันต่างภพ - ตอนที่ 519
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ไม่นาน แผ่นประกาศขนาดใหญ่ก็ถูกติดไว้บนกำแพงสูงของเมืองไลอ้อน “นิโคลัสสหายรัก อีกไม่นานข้าจะไปสำรวจโบราณสถาน ที่ซึ่งมีสมบัติอยู่มากมาย หากว่าเจ้าสนใจก็รีบติดต่อข้าโดยเร็วที่สุด”
ประกาศฉบับนี้ทำให้ชาวเมืองรู้สึกงุนงง เหล่าผู้ที่ผ่านไปมาล้วนเห็นเป็นเรื่องขำขัน
กระนั้นก็ยังมีผู้ที่มองเจตนาของเซียวอวี๋ออกและอดชื่นชมเซียวอวี๋ในใจไม่ได้
เวลานี้ ด้วยเพราะเทือกเขาอัลคาเกนได้เปิดให้ผู้คนจากภายนอกเข้าไป ดังนั้นดินแดนไลอ้อนจึงมีผู้คนเดินทางมาเพื่อผจญภัย แต่ต่อให้ไม่ได้มาผจญภัย บางส่วนก็มาเพื่อดูพวกเอลฟ์และเผ่าพันธุ์อื่นๆด้วยตาตนเอง
เซียวอวี๋ยังได้ว่าจ้างเหล่าจิตกรให้มาวาดภาพเหมือนของพวกออร์คและขายต่อนักท่องเที่ยว ซึ่งมันก็ทำให้ดินแดนไลอ้อนได้รับความนิยมอย่างมาก
เซียวอวี๋ต้องการทำให้ดินแดนไลอ้อนกลายเป็นดินแดนที่มีชื่อเสียง ด้วยเพราะดินแดนของเขาอยู่ห่างไกลผู้คนเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่อาจดึงดูดเหล่าผู้มีความสามารถได้มากนัก
ในเวลานี้ ดินแดนไลอ้อนกลายเป็นเส้นทางเดียวที่จะใช้เดินทางไปสู่จักรวรรดิเมฆาตะวันออก เซียวอวี๋ยังตั้งใจจะสร้างเส้นทางการค้าและส่งเสริมให้พ่อค้ามาใช้เส้นทางนี้กันให้มากขึ้น แน่นอนว่าเขาย่อมต้องจัดเก็บภาษีผ่านทาง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ดินแดนไลอ้อนที่เดิมเคยเป็นดินแดนรกร้างห่างไกลผู้คนจึงกลายเป็นดินแดนที่มีชีวิตชีวาขึ้นมา
เซียวอวี๋ยังได้จัดสร้างเมืองขนาดเล็กเพื่อให้ผู้คนอาศัยอยู่โดยเฉพาะ เป็นเมืองที่ไร้ซึ่งทหารประจำการ เมืองเช่นนี้นับวันมีแต่จะมากขึ้น
เมื่อเห็นว่าพวกเซียวอวี๋มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ นักผจญภัยมากมายต่างก็เข้ามาเสนอตัวเป็นทหารรับจ้างเพื่อหาเงิน ซึ่งเซียวอวี๋ก็รับไว้และได้ตั้งกฏระเบียบเพื่อควบคุม จากนั้นจึงส่งต่อให้คาสโซ่จัดการดูแล
คาสโซ่เดิมก็เป็นทหารรับจ้างอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไร แน่นอนว่าในกลุ่มคนเหล่านี้ย่อมมีสายลับแฝงตัวเข้ามา แต่เซียวอวี๋ไม่ได้สนใจ สายลับเพียงน้อยนิดไม่อาจส่งผลใดๆต่อเขา
ด้วยเหตุนี้ เมื่อการเตรียมการทั้งหมดเกือบเสร็จสิ้น เซียวอวี๋ก็ได้นำกองทัพใหญ่มุ่งหน้าสู่รัฐเว่ยอย่างเปิดเผย
……………………………..
……………………………..
ในเวลาเดียว ณ รัฐเว่ย หลายคนกำลังประชุมกันหารือกัน
“เจ้าเซียวอวี๋นั่นช่างไม่ประมาณตนจริงๆ มันคิดว่ามันจะสามารถโค่นล้มรัฐของพวกเราได้หรือ? ตระกูลเคเนดี้ประกาศแล้วว่าจะไม่ปล่อยมือจากรัฐเว่ย เพราะมันสามารถใช้เป็นประตูสู่จักรวรรดิเมฆาตะวันออก ที่นี่ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ตอนนี้พวกเรามีกำลังพลมากมาย หากว่ามันกล้ามาจริงๆ มันจะไม่ได้กลับไปทั้งมีชีวิต!” บุรุษร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะกล่าวอย่างเย็นชา
คนผู้นี้ก็คือแม่ทัพที่ตระกูลเคเนดี้ส่งมา แม่ทัพซาเน็ตติ
ซาเน็ตติเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถทั้งยังเจ้าความคิด แม้ครั้งสุดท้ายเขาจะโจมตีดินแดนไลอ้อนล้มเหลว เขาก็คิดว่าปัจจัยหลักนั้นเป็นเพราะเขาไม่ทราบขุมกำลังของอีกฝ่าย ทั้งเวลานั้นผู้ที่สั่งการเป็นส่วนใหญ่ก็คือโรเบิร์ต ตัวเขายังไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือที่แท้จริง
“ถูกแล้ว มีท่านแม่ทัพซาเน็ตติอยู่ที่นี่ เจ้าสุนัขเซียวย่อมถูกหวดตีกลับไป” หลี่เหอกล่าวพลางรอยยิ้มประจบ
เวลานี้ หลี่เหอได้ขึ้นเป็นแม่ทัพของรัฐเว่ย เขาได้รับหน้าที่ให้ความร่วมมือกับซาเน็ตติในการป้องกันรัฐ
“ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่ายังมีกำลังหนุนจากศาสนจักรของพวกเรา เมื่อพวกท่านเข้าโรมรันกับศัตรู ข้าก็จะนำกำลังลอบเข้าโจมตีจากทางด้านข้าง พวกมันย่อมตกตะลึงเป็นแน่ ถึงเวลานั้นชัยชนะก็ย่อมตกเป็นของพวกเรา” ดูจากการแต่งกายของคนผู้นี้แล้ว ชัดเจนว่าเป็นคนจากศาสนจักร
“ถูกแล้ว ครั้งนี้พวกเราจะชนะอย่างแน่นอน” หลี่เหอกล่าวเสริม
“อืม ทัพอัศวินสีชาดที่นำโดยยอดฝีมือย่อมเป็นกองกำลังอันน่าหวาดหวั่น พวกมันต้องคาดไม่ถึงเป็นแน่” ซาเน็ตติหันไปมองเทอร์รี่
“รายงานท่านแม่ทัพ! กองทัพดินแดนไลอ้อนเคลื่อนกำลังมุ่งหน้ามายังรัฐเว่ยแล้วขอรับ คาดว่าจะมีกำลังพลราวหนึ่งแสนนาย” พลสอดแนมเร่งเข้ามารายงาน
“อืม อีกฝ่ายมีกี่ทัพ?” ซาเน็ตติหน้าเสียงเรียบ
“กองทัพเดียวขอรับ!” พลสอดแนมกล่าวตอบ
“ว่ากระไร? เพียงทัพเดียว?” ได้ยินคำรายงาน ซาเน็ตติพลันขมวดคิ้วมุ่น อาณาเขตของรัฐเว่ยนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีพื้นที่สำคัญน้อยใหญ่อยู่มากมาย บางแห่งมีกำลังรักษาการณ์อย่างเข้มงวด ขณะที่บางแห่งนั้นไม่มีเลย ซึ่งส่วนแล้ว การเข้าโจมตีดินแดนขนาดใหญ่มักต้องมีการแบ่งทัพย่อยออกเป็นหลายสาย ทว่าเซียวอวี๋กลับไม่ทำเช่นนั้น เขารวมกำลังทั้งหมดไว้ในที่เดียวกัน
“ขอรับ กองทัพหนึ่งแสนนายไม่มีแบ่งย่อย ที่แห่งแรกที่พวกมันจะเข้าโจมตีสมควรเป็นเมืองเยือกแข็งขอรับ” พลสอดแนมกล่าวรายงาน
“เจ้าเซียวอวี๋ผู้นี้กลับไม่รู้หลักพิชัยสงคราม แบบนี้ยังเรียกว่าสงครามได้หรือ? หรือมันไม่กลัวว่าพวกเราจะตัดทางถอยของพวกมัน? เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็สามารถเข้าโจมตีจากด้านข้างได้” ซาเน็ตติขมวดคิ้ว เขาไม่อาจเดาความคิดของเซียวอวี๋ได้แม้แต่น้อย
“เซียวอวี๋ผู้นี้มักพึ่งพาทัพพิสดารในการเอาชนะสงคราม บางทีมันอาจจะมีแผนการบางอย่าง พวกเราต้องระวังให้ดี!” เทอร์รี่กล่าวกระตุ้นเตือน
คนผู้นี้ทั้งหนุ่มแน่นและมากความสามารถ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับความไว้วางใจจากพระสันตะปาปา ก่อนหน้านี้ อลอนโซ่ได้ทรยศ โมดริกถูกสังหาร และคริสต์ตกตาย สาเหตุเหล่านี้ทำให้เทอร์รี่เกลียดชังเซียวอวี๋ยิ่ง
ในความคิดของเขา เซียวอวี๋ได้ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกองกำลังอัศวินสีชาดลง ดังนั้นตัวเขาจึงขันอาสาที่จะมาจัดการเซียวอวี๋ด้วยตนเอง
คริสต์นั้นมีอิทธิพลภายในศาสนจักรอย่างสูง แน่นอนว่าศาสนจักรย่อมปกปิดการทรยศของคริสต์ พวกเขาป้ายความผิดไปให้เซียวอวี๋ว่าเป็นผู้ที่สังหารคริสต์ ทั้งยังบอกว่าอลอนโซ่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
ด้วยการประกาศเช่นนี้ สาวกที่เหลือทั้งหมดจึงชิงชังเซียวอวี๋และอลอนโซ่เข้ากระดูกดำ
“เหอะ ข้าก็อยากจะรู้นักว่าในน้ำเต้าของมันจะมีอะไร….สั่งการลงไป ให้ทหารรักษาการณ์ของเมืองเยือกแข็งตรึงพวกมันเอาไว้ ข้าจะส่งคนเข้าโจมตีพวกมันจากทางด้านข้าง ตราบเท่าที่เมืองเยือกแข็งสามารถรั้งพวกมันไว้ได้หนึ่งวัน ศีรษะของเซียวอวี๋ย่อมถูกปลิดปลงลง” ซาเน็ตติออกคำสั่ง
“ขอรับ” พลสอดแนมรับคำสั่งก่อนล่าถอยจากไป
ในเวลาเดียวกันนั้น เซียวอวี๋ได้นำกองทัพของเขาเคลื่อนพลางร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ เซียวอวี๋ได้นำบทเพลงจากยุคปัจจุบันมาดัดแปลงเป็นเพลงมาร์ชกองทัพ ให้ไพร่พลทั้งหมดขับร้องเพื่อปลุกขวัญกำลังใจ
บทเพลงปลุกใจไม่ต้องส่งสัยเลยว่าสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นได้ เซียวอวี๋เคยได้ยินเรื่องเล่ามาว่า เคยมีแม่ทัพผู้หนึ่งที่มักจะร้องเพลงไม่ยามที่ตนได้รับชัยชนะหรือพ่ายแพ้ก็ตาม เขามักจะร้องเพลงระหว่างกลับเสมอ
เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนต่างก็พากันคิดว่าแม่ทัพผู้นี้รบชนะตลอด และเหล่าไพร่พลเองก็รู้สึกว่าพวกเขาจะเอาชนะได้ทุกครั้งที่รบ ซึ่งนั่นก็ถือเป็นวิธีการรักษาขวัญกำลังใจของกองทัพ
วิธีการที่ดีเช่นนี้ แน่นอนว่าเซียวอวี๋ย่อมไม่พลาดที่จะนำมาใช้
หลังจากเดินทัพมาได้สองวัน ในที่สุดที่เบื้องหน้าสายตาก็ปรากฏกำแพงของเมืองเยือกแข็ง
มองดูกำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยทหารแล้ว เซียวอวี๋ก็ไม่ได้ออกคำสั่งโจมตีทันที หากแต่ให้ไพร่พลดื่มน้ำพักผ่อน
ดังนั้นเหล่าไพร่พลจึงดื่มกินพลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนานไร้ซึ่งความกังวลใด
เมื่อถึงยามเย็น ไพร่พลทั้งหมดก็อยู่ในสภาพพร้อมรบ กำลังกายของพวกเขาถูกฟื้นคืนกลับมาแล้ว แม้กระนั้น เซียวอวี๋กลับยังไม่ออกคำสั่งบุก เขากลับให้ทุกคนตั้งค่าย
ทั้งหมดต่างล้วนประหลาดใจต่อคำสั่งของเซียวอวี๋ ใยพวกเราจึงยังไม่ลงมือ? อย่างไรก็ตาม ทุกคนล้วนล่วงรู้ชื่อเสียงเรื่องรบคราใดล้วนได้ชัยของเซียวอวี๋ดี เมื่อเขาสั่งการมาเช่นนี้ แน่นอนว่าคงมีแผนการอยู่ในใจ
ในเวลาเดียวกัน ที่กองบัญชาการของเมืองเยือกแข็ง ไพร่พลทั้งหมดต่างรักษาการณ์อย่างเข้มงวดเพื่อรอรับการโจมตี เมื่อเห็นว่าเซียวอวี๋ไม่มีทีท่าจะบุกเข้ามา ทั้งหมดก็ได้แต่มึนงง พวกเขาไม่รู้ว่าเซียวอวี๋กำลังคิดอะไรอยู่?
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่กล้าประมาท ผู้บัญชาการของเมืองสั่งให่้ไพร่พลรักษาความตื่นตัวเอาไว้ ทั้งตัวเขาเองก็ไม่กล้ากลับบ้านไปนอน สุดท้ายจึงจำต้องพักงีบในกองบัญชาการ
ในความคิดของเขาแล้ว เซียวอวี๋คงกำลังหาจังหวะลอบเข้าตี ดังนั้นตัวเขาจึงเพิ่มการระวังอย่างที่สุด ทั้งยังมีคำสั่งจากแม่ทัพซาเน็ตติว่าให้ตรึงศัตรูเอาไว้ ตราบเท่าที่เขาทำสำเร็จ เมื่อกองทัพหลวงเข้าโจมตีจากด้านข้างได้แล้ว เช่นนั้น ชัยชนะในศึกนี้ย่อมต้องตกเป็นของพวกเขา
ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ตรึงอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยทุกอย่างที่มี
ในวันที่สอง ผู้บัญชาการเมืองคิดว่าเซียวอวี๋ ทว่าเขากลับต้องมึนงงเมื่อเซียวอวี๋เลือกที่จะสร้างค่ายทหาร หอสังเกตการณ์ รั้วไม้และสนามเพลาะแทนการบุกโจมตี
ไม่กี่วันถัดมา เซียวอวี๋ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีแม้แต่น้อย เขายังคงให้พวกทหารเสริมแนวป้องกันต่อไปราวกับเขาต้องการจะสร้างเมืองขึ้นที่นี่
“เจ้าเซียวอวี๋มันมัวทำเรื่องผีสางอะไรอยู่?” ซาเน็ตติได้ส่งกำลังคนไปเตรียมพร้อมจะโอบโจมตีเรียบร้อยแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เซียวอวี๋บุกเมืองเยือกแข็ง กองทัพของเขาก็จะสามารถเข้าโจมตีจากทุกทิศทาง
อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ไม่ยอมลงมือเสียที ทุกวันเขาจะปล่อยให้ทหารสังสรรค์อยู่ภายในค่าย
นี่ทำให้ผู้ที่เฝ้าจับตาอยู่ต่างสับสนมึนงง
ไม่เพียงแต่ซาเน็ตติที่สับสน กระทั่งมู่หลี่ หัวหน้าทหารฮุ่ยและคนอื่นๆเองต่างก็สับสน เซียวอวี๋ต้องการจะทำอะไรกันแน่?
ใยจึงไม่บุกโจมตี? หรือเขาจะกลัวการสูญเสีย? กระนั้นกำลังพลของดินแดนไลอ้อนในเวลานี้ก็ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด กระทั่งเข้มแข็งเสียด้วยซ้ำ ด้วยขุมกำลังระดับนี้ พวกเขาสามารถบุกยึดเมืองเยือกแข็งได้ไม่ยาก
“เจ้าเซียวอวี๋มันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่? หรือมันต้องการล่อพวกเราออกไป?” ซาเน็ตติแทบคลุ้มคลั่งแล้ว ไม่กี่วันนั้นไม่นับเป็นอย่างไร แต่หากเป็นเดือนเล่า? เซียวอวี๋ดูผ่อนคลายและไม่มีทีท่าจะเข้าโจมตีเมืองแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้ซาเน็ตติวิตกจนแทบจะพังทลาย
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งเดือน ซาเน็ตติก็หมดคำพูด ที่ด้านนอกของเมืองเยือกแข็งยังคงมีทัพทหารหนึ่งแสนนายคุมเชิงอยู่โดยไม่เข้าตี นี่แน่นอนว่าทำให้พวกซาเน็ตติอึดอัดอย่างมาก
เหตุการณ์นี้คล้ายกับสงครามเคิร์สต์ เหล่านายพลของโซเวียตได้ระดมสมองคิดหากลยุทธ์ป้องกัน ทว่าเยอรมันกลับไม่เข้าโจมตี ฝ่ายโซเวียตจึงได้แต่วิตกจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน
ในเวลาเช่นนี้ ความฉลาดไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุด แต่ดูว่าสุดท้ายแล้วผู้ใดจะแบกรับความกดดันได้มากกว่ากัน
“ไม่ได้ พวกเราต้องหาทางลากพวกมันออกมา” ดวงตาของซาเน็ตติสาดประกายวูบ
ดังนั้นซาเน็ตติจึงเขียนสารท้ารบที่ใช้ถ้อยคำยั่วยุและดูถูกไปให้เซียวอวี๋ ซึ่งหากคนทั่วไปได้อ่านมัน คนผู้นั้นจะต้องคลุ้มคลั่งโถมออกมาแลกชีวิตกับซาเน็ตเป็นแน่
กระนั้น หลังจากได้อ่านมัน เซียวอวี๋เพียงเขียนจดหมายตอบกลับฉบับหนึ่ง จดหมายนี้เป็นมีอักษรไม่กี่ตัว “ถล่มมารดาเจ้า”
“เจ้าสารเลว!” ซาเน็ตติเดือดดาล เขาสั่งให้ทหารของเขาไปตะโกนด่าทอบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเซียวอวี๋ที่หน้าค่าย
หลงฮุ่ยที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นก็เดือดดาล ซาเน็ตติถึงกลับกล้าลบหลู่บรรพชนตระกูลเซียว นี่เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้เด็ดขาด ตัวเขาจงรักภักดีต่อตระกูลเซียวมาตลอด เมื่อมีผู้กล้ามาด่าทอตระกูลเซียวเช่นนี้ เขาย่อมไม่อาจปล่อยไป
ดังนั้นหลงฮุ่ยจึงย่ำเท้าเตรียมออกจากค่ายด้วยความโกรธ ทว่าเดินไปได้เพียงครึ่งทาง เขาก็ถูกเมอีฟสะกดไว้
“ลุงหลง ท่านชราแล้ว แต่ก็ยังคงอารมณ์ร้อน มีคำกล่าวที่ว่า ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’ พวกเราจะไปเต้นตามอีกฝ่ายได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่แนวทางของตระกูลเซียวเลย…..คาเอล เจ้ามานี่หน่อย ช่วยข้าที” เซียวอวี๋หันไปเรียกคาเอลมาและให้เขาใช้เวทมนตร์ตามที่บอก
หลังจากนั้นไม่นาน ที่ท้องฟ้าเหนือค่ายของฝ่ายดินแดนไลอ้อนก็มีพลุระเบิดออกเป็นคำพูดสี่คำ “ถล่มมารดาเจ้า”
ซาเน็ตติที่ได้เห็นก็โกรธจนแทบกระอักเลือด
นอกจากนั้น เซียวอวี๋ยังได้ให้ไพร่พลทั้งหนึ่งแสนนายตะโกน “ถล่มมารดาเจ้า” พร้อมกันจนดังกระหึ่ม
ด้วยเหตุนี้ นับแต่นั้นซาเน็ตติจึงไม่ได้ไปยั่วยุเซียวอวี๋อีก ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าเรื่องฝีปากนั้น เขาสู้เซียวอวี๋ไม่ได้เลย!
อย่างไรก็ตาม ซาเน็ตติก็ไม่ได้ชะล่าใจ เขาเชื่อว่าเซียวอวี๋ต้องกำลังวางแผนจะลอบโจมตีอยู่เป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ไพร่พลตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ห้ามหย่อนยานโดยเด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้ ไพร่พลของรัฐเว่ยจึงอยู่ในสภาพหวาดวิตกทุกเมื่อเชื่อวัน พวกเขาต่างก็กังวลว่าเมื่อใดเซียวอวี๋จะส่งกำลังเข้าตี
หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน ผู้บัญชาการของทัพศาสนจักรก็นั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว เขากล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านกำลังหวาดกลัวอะไรกัน? พวกเราต้องเกรงกลัวพวกมันด้วยงั้นหรือ? ข้าจะนำคนของข้าออกไป หากว่าลงมือ พวกมันย่อมต้องสูญเสียอย่างหนักเป็นแน่” เขารู้ว่าต่างฝ่ายต่างหดหัวอยู่ในกระดองเช่นนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน แต่ข้าขอเตือนท่าน ก่อนหน้านี้พวกเราก็เคยร่วมมือกับอลอนโซ่และท่านโมดริกในการโจมตีเซียวอวี๋ ซึ่งตอนนี้แน่นอนว่าพวกเราย่อมเข้มแข็งกว่าตอนนี้มาก กระนั้นก็ยังพ่ายแพ้กลับมา ท่านคิดว่าด้วยคนของท่านตอนนี้ ท่านจะสังหารเซียวอวี๋ได้งั้นหรือ?” ซาเน็ตติเองก็เดือดดาลอย่างมาก ทว่าก็ยังสะกดข่มอารมณ์ไว้
“หรือท่านจะให้พวกเรารอต่อไป?” เทอร์รี่แค่นเสียง เขารู้มันเป็นเรื่องจริง หากว่าเซียวอวี๋กำจัดได้ง่ายปานนั้น ตัวเขาก็คงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่แล้ว
“ในเมื่อพวกมันไม่ออกมา ข้าก็อยากจะดูนักว่าพวกมันจะมุดหัวอยู่ในนั้นได้สักเท่าไร” ซาเน็ตติกล่าวเสียงเหี้ยม
เวลาไหลผ่านไป เซียวอวี๋ยังคงปล่อยให้พวกทหารพักผ่อนอย่างไร้กังวล
ไพร่พลที่ประจำการอยู่ของรัฐเว่ยก็ได้แต่มองตาปริบๆ นานวันเข้าเมื่อเห็นพวกเซียวอวี๋จัดการแข่งขันภายในค่าย พวกเขาก็จะส่งเสียงเชียร์จากบนกำแพง
ไม่ว่าคำสั่งจะให้พวกเขาเฝ้าระวังสูงสุดอย่างไร มนุษย์ก็ยังคงมีจิตใจ หลังจากถูกกล่อมเกลาทุกวัน แน่นอนว่ากำแพงในใจย่อมต้องพังทลาย นี่ก็คือกฏแห่งจิตวิทยา
“ฮ่า ครั้งนี้ข้าจะลงเดิมพันข้างทีมน้ำเงิน ดูสิพวกเขาชนะแน่” ทหารบางส่วนเริ่มเปิดพนันขันต่อ
“ฮึ่ม นี่มันล้มบอลชัดๆ มิเช่นนั้นทีมแดงจะเล่นห่วยเช่นนั้นหรือ?” เหล่าไพร่พลที่เสียพนันต่างก็บ่นด้วยความไม่พอใจ
“ล้มบอลงั้นเรอะ? เห็นอยู่ชัดๆว่าทีมน้ำเงินแข็งแกร่งกว่า เจ้าอย่าอ้างน่า”
“ข้ออ้าง? เหอะ ไม่ใช่ว่าทีมน้ำเงินถูกทีมสีแดงยำเละอยู่ข้างเดียวในการแข่งครั้งก่อนๆเรอะ? แล้วครั้งนี้สีน้ำเงินจะทิ้งห่างเพียงนี้ได้อย่างไร?”
“เพราะทีมฝั่งเรามันโครตทีมไงล่ะ! ทีมสีแดงเจ้าสิกระจอกเอง”
“กล้าบอกว่าทีมสีแดงของเราเป็นทีมหมาแดงงั้นเรอะ งั้นทีมพวกเจ้าก็คงเป็นทีมหมาน้ำเงินแล้ว!”
“เฮ้ย ไหนเจ้าพูดใหม่อีกทีซิ!”
“ข้าบอกว่าพวกเจ้าทีมสีแดงก็เป็นหมาแดงหมดนั่นล่ะ!”
“หนอย ก็สวยสิ? ทีมสีแดงของพวกข้าเจ๋งกว่าโว้ย!”
ไม่นานบนกำแพงเมืองก็ชุลมุนวุ่นวาย
ขณะที่ทางฝั่งเซียวอวี๋ก็กำลังฟังเพลงพลางเล่นหมากรุกกับคาสโซ่อยู่ ทันใดนั้นก็มีพลทหารวิ่งเข้ามารายงาน “ท่านลอร์ดขอรับ มีบุรุษที่ชื่อว่านิโคลัสรออยู่ข้างนอกขอรับ”
“ฮึ่ม ไฉนเจ้านี่ถึงได้มาสายนัก?” เซียวอวี๋ไม่พอใจอย่างมาก เขาโบกมือก่อนสั่งการ “ให้เขาเข้ามา”