World of Warcraft ราชันต่างภพ - ตอนที่ 557
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
พวกอานูบีส
สิ่งมีชีวิตที่เซียวอวี๋คุ้นเคย พวกมันเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักที่อยู่ในอัลคีราฟ ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่ง ในอดีต ตัวเขาต้องทุ่มเทความพยายามอย่างหนักในการจะล้มพวกมันสักตัว
พวกมันแต่ละตัวมีความสูงกว่าสิบเมตร นั่นยังสูงกว่าพวกยักษ์ศิลาเสียอีก ส่วนหัวของพวกมันเป็นสัตว์ ขณะที่ร่างกายคล้ายมนุษย์ มันเป็นมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่ง เพียงพวกมันตัวเดียวก็สามารถถล่มกองทัพขนาดเล็กจนราบคาบ
ตั้งแต่แรกพวกเขาเพ่งความสนใจไปที่จำวนวมหาศาลของพวกเซิกจนมองข้ามบางสิ่งไป ยิ่งไปกว่านั้น เซียวอวี๋ยังจำได้ว่าภายในวิหารอัลคีราฟไม่ได้มีแต่อานูบีสคอยพิทักษ์ แต่ยังมีรถบด!
แม้ว่าภายในกองทัพอันเดดของเซียวอวี๋จะมีอยู่เช่นกัน ทว่าพวกมันกลับมีข้อแตกต่าง รถบดที่อยู่ในอัลคีราฟแข็งแกร่งกว่าอย่างสุดกู่
ว่ากันว่ามันเป็นเครื่องจักรที่ถูกคิดค้นโดยจักรพรรดิเวกซ์ลอร์เพื่อใช้ต่อสู้กับพวกมังกร ลือว่าเจ้าเครื่องจักรชั่วร้ายนี้บรรจุไว้ด้วยพลังงานมืดจนทำให้มันไร้เทียมทาน
และด้วยเจ้าสิ่งที่อยู่ภายในวิหารเหล่านี้ นั่นทำให้การบุกอัลคีราฟทวีความยากขึ้นไปอีก
ไม่นาน พวกอานูบีสก็เผยโฉม ผู้คนที่ได้เห็นพวกมันเต็มๆต่างเบิกตากว้างขณะสั่นสะท้านขึ้นในใจ
เราจะสู้กับไอ้พวกยักษ์นี่ได้อย่างไรกัน?
ต่อหน้าเจ้าพวกยักษ์ร่างสูงใหญ่เหล่านี้ กระทั่งทัพพยัคฆ์ก็ไม่อาจจัดการ โถมพุ่งเข้าใส่หรือ? เกรงว่านั่นจะราวกับพุ่งชนใส่กำแพงเมืองเสียมากกว่า ในใจของไพร่พลทั้งหมดเริ่มเกิดความกังวลขึ้น
“ทำอย่างไรดี?” กระทั่งโถวปาหู่ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามก็ยังนัยน์ตาหดวูบ ศัตรูหน้าใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้นทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพลดลง
เซียวอวี๋บังคับมังกรน้อยบินลงต่ำพลางตะโกนว่า “ไอ้พวกนี้เรียกว่าอานูบีส พวกมันไม่ได้น่ากลัวดังที่คิด พวกมันเพียงแค่ตัวโตแรงเยอะก็เท่านั้น พวกมันทั้งอืดอาดและไร้สติปัญญา ด้วยการใช้กลยุทธ์โจมตีแบบฉาบฉวย พวกเราจะสามารถกวาดล้างพวกมันได้โดยเร็ว!”
ในเวลาเช่นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาขวัญกำลังใจของกองทัพ เมื่อผู้คนเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จัก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างแรกก็คือ ความกลัว แต่เมื่อเซียวอวี๋กล่าวชื่อเรียกของมันออกมา ทั้งยังชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของพวกมัน ในใจของคนทั้งหมดก็เริ่มสงบลง
ดูเหมือนว่าพวกมันใช่จะไม่มีหนทางกำจัด พวกมันก็เพียงตัวใหญ่ไว้ข่มขวัญก็เท่านั้น
ตึง ตึง
เมื่อเห็นพวกอานูบีสเริ่มเคลื่อนร่างอันใหญ่โตใกล้เข้ามา เซียวอวี๋ก็รีบกล่าวต่อโถวปาหู่ “แบ่งทัพพยัคฆ์ออกเป็นสิบกลุ่มและมุ่งเน้นโจมตีพวกเซิกที่เหลือ แต่อย่าได้ล่วงเข้าไปลึกนัก โจมตีเสร็จแล้วให้รีบกลับมารอข้าให้สัญญาณอีกครั้ง จำไว้ว่าให้หลีกเลี่ยงเจ้าพวกนั้น หากปะทะขึ้นมาทัพของท่านจะเสียเปรียบมาก ข้าจะระดมยักษ์ศิลามาต่อกรกับพวกมัน”
ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ โถวปาหู่ก็พยักหน้ารับ จากนั้นจึงหันไปออกคำสั่งให้ทัพพยัคฆ์แบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละหนึงพันห้าร้อยนายแยกกันโจมตี
เซียวอวี๋เองก็แบ่งกองทัพอากาศไปดูแลทัพพยัคฆ์แต่ละกลุ่ม
เมื่อมีสามจ้าวมนตราอยู่ด้วย เซียวอวี๋ก็มั่นใจในการรับมือพวกอานูบีส
เซียวอวี๋คาดไว้แล้วว่าอาจมีเหตุเปลี่ยนแปลง และเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็ต้องการยืมกำลังจากพวกเขาทั้งสาม จ้าวมนตราแต่ละคนล้วนทรงอำนาจเทียมฟ้า ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับจักรวรรดิทั้งจักรวรรดิพวกเขาก็รับมือไหว
พวกยักษ์ศิลาถูกทิ้งอยู่ที่ทัพหลังเพราะเคลื่อนที่ช้า และอีกเหตุผลก็เพื่อป้องกันเมือง เซียวอวี๋ไม่ได้เรียกพวกมันมามากนัก
ที่ไกลๆด้านหลังทัพฝ่ายมนุษย์ ยักษ์ศิลาห้าสิบตัวกำลังก้าวเดินมาอย่างเชื่องช้า เซียวอวี๋กำลังรอคอยการปะทะกันของยักษ์ศิลากับพวกอานูบีส
“ไม่ต้องวิตกไป พวกเราจะใช้การโจมตีล่อหลอกพวกมัน ให้หน่วยโจมตีระยะไกลเป็นหน่วยโจมตีหลัก เปลี่ยนลูกธนูทั้งหมดเป็นลูกธนูเวท ลูกธนูทั่วไปทำอะไรพวกมันไม่ได้” เซียวอวี๋ขี่มังกรน้อยบินตะโกนบอกวิธีรับมือให้ไพร่พลที่ด้านล่าง
ได้ยินวาจาของเซียวอวี๋ ทุกคนก็สงบลง เมื่อมีวิธีการรับมือพวกมันก็ไม่น่ากลัวดั่งรูปลักษณ์แล้ว
ชาวเมฆาเชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนู และนักรบส่วนใหญ่มักพกลูกธนูเวทไว้ด้วย กับสัตว์ประหลาดยักษ์พวกนี้ เมื่อมีวิธีรับมือก็ง่ายแล้ว
ครืนน
กองทัพฝั่งมนุษย์ถุกแบ่งเป็นสองทัพ ทัพพยัคฆ์ควบม้าไปอีกทางเพื่อเตรียมแยกย้ายจู่โจมพวกเซิก ขณะที่นักรบชาวเมฆาที่เหลือเริ่มตั้งแนวยิง
ตึง ตึง ตึง
เสียงกลองศึกเริ่มดังขึ้น มันเป็นกลองศึกที่กองทัพของจักรวรรดิเมฆาใช้ กลองจะถูกตียามเมื่อกองทัพเผชิญศึกหนัก และการปรากฏตัวของพวกอานูบีสก็เป็นเช่นนั้น
เสียงลั่นกลองดังกระหึ่มทั่วสนามรบควบคู่ไปกับเสียงก้าวเท้าของพวกอานูบีสและยักษ์ศิลา และเมื่อรวมเข้ากับเสียงฝีเท้าม้าของทัพพยัคฆ์ด้วยแล้ว มันก็ทำให้บรรยากาศในสนามรบเดือดพล่านขึ้นมา
ในเวลาเดียวกัน พวกเซิกก็ค่อยๆคืบคลานเข้าสู่สนามรบดุจมวลคลื่น พวกอานูบีสที่เดินอยู่กลางคลื่นทะเลสีดำนั้นดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นรู้สึกอึดอัดในอก
กิ๊ซซซซซซซ
ในเวลานั้นเอง จู่ๆกองทัพของพวกเซิกก็แหวกแยกออก แมลงเปลือกแข็งที่สูงราวห้าหกเมตรก็ปรากฏตัวออกมา
“บัดซบ แม่ทัพราแจ็ค” เซียวอวี๋พลันจดจำออก ศัตรูตัวนี้นับว่ารับมือได้ยากยิ่ง
หากที่นี่ไม่มีสามจ้าวมนตราอยู่ด้วย ฝ่ายจักรวรรดิคงต้องสูญเสียอย่างหนักแล้ว
“จัดกระบวนทัพรูปสี่เหลี่ยม พลธนูอยู่ด้านในคอยโจมตีพลางถอย” โถวปาหงที่อยู่ใต้ธงตะโกนสั่งการเสียงดัง
เห็นโถวปาหงอยู่ที่นี่ด้วย ในใจทุกคนก็ผ่อนคลายกว่าเดิม กระทั่งจักรพรรดิยังมาแนวหน้าด้วยพระองค์เอง แล้วพวกเขายังจะกลัวอะไร
ในตอนนี้เอง พวกยักษ์ศิลาก็มาถึง ในมือพวกมันแต่ละตัวถือไว้ด้วยค้อนเหล็กหนักหลายตัน ทั่วร่างยังสวมใส่เกราะโลหะมิดชิด
เกราะและค้อนทำให้พวกมันเคลื่อนตัวได้ช้าลง แต่เดิมทีพวกมันก็ไม่ใช่ยูนิตประเภทคล่องตัวอยู่แล้ว ทำให้พวกมันรวดเร็วขึ้นยังจะมีประโยชน์อะไร?
จุดเด่นของพวกมันอยู่ที่การป้องกันและโจมตีหนัก มุ่งเน้นไปที่สองด้านนี้ก็เพียงพอแล้ว
ชุดเกราะโลหะที่พวกมันสวมใส่ไม่ได้ตีขึ้นจากโลหะทั่วไป ชุดเกราะนี้ถูกออกแบบโดยพวกก๊อบลินอย่างพอดีตัว ต้องใช้วัตถุดิบต่างๆไปมาก ค้อนเหล็กของพวกมันเองก็ถูกเสริมเวทปฐพี เมื่อฟาดลงไปยังพื้นดินก็จะสามารถก่อนให้เกิดแผ่นดินสะเทือนได้
ดังนั้น ยามเมื่อยักษ์เหล็กเหล่านี้ออกก้าวเดินพร้อมกันจึงก่อเป็นภาพคล้ายกับปราการเหล็กกำลังเคลื่อนที่ ดูๆไปคล้ายกับไม่เสียเปรียบพวกอานูบีสแต่อย่างใด พวกอานูบีสยังมีเนื้อมีหนัง ทว่ายักษ์ศิลาเหล่านี้หุ้มด้วยเกราะหนักทั่วทั้งตัว
ในขณะที่พวกเซิกมีสติปัญญาต่ำ จุดเด่นของมนุษย์คือการประดิษฐ์เครื่องมือและอุปกรณ์ขึ้นมาใช้ สิ่งนี้เองที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น
ฮู่มมมมมมมม
เมื่อพวกยักษ์ศิลามองเห็นอานูบีส พวกมันก็ร้องคำรามเป็นการท้าทายต่อศัตรู นี่เป็นครั้งแรกที่พวกมันได้เห็นศัตรูที่มีขนาดเท่าเทียมกัน และพวกมันก็ต้องการพิสูจน์ฝีมือ
อย่างไรก็ตาม ที่นี่จำนวนของพวกอานูบีสมีมากกว่ายักษ์ศิลา กวาดดูคราเดียวก็เห็นพวกมันมีหลายร้อยหรืออาจเป็นพันตัว
โฮกกกกกกกก
ทั้งสองฝ่ายต่างคำรามใส่กัน พวกเซิกเปิดฉากโจมตี มนุษย์ตั้งแนวป้องกัน เมื่อพวกเซิกบุกขึ้นหน้ามาได้สี่ห้าร้อยเมตร โถวปาหู่ก็ออกคำสั่งโจมตีต่อทัพพยัคฆ์ แต่คราวนี้พวกเขาแบ่งกำลังแยกกันโจมตีโดยหลีกเลี่ยงพวกอานูบีส
เวลานี้ความสุดยอดของทัพพยัคฆ์ก็ถูกแสดงออกมา แม้จะแบ่งกำลังเป็นกลุ่มย่อย แต่ความดุดันในการพุ่งโจมตีกลับไม่ลดลง ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งหมื่นห้าพันหรือหนึ่งพันห้าร้อย ผลลัพธ์กลับไม่ต่างกัน
พวกเซิกทั่วไปยังคงรับมือการพุ่งโจมตีไม่ได้ ทัพม้าหุ้มเกราะยังคงเหยียบย่ำพวกเซิกจนราบคาบ
เหนือทัพพยัคฆ์ขึ้นไปมีอัศวินกริฟฟ่อนคอยบินนำ หลังจากพุ่งเข้าไปได้ระยะทางหนึ่ง พวกเขาก็จะวนกลับก่อนจะพุ่งไปอีกทิศเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกล้อมกัก
หากทัพม้าพุ่งเข้าไปติดกับพลังต่อสู้ก็จะลดลงอย่างมาก
โครมมม
ไม่นานพวกอานูบีสกับพวกยักษ์ศิลาก็เข้าปะทะกัน ค้อนเหล็กของยักษ์ศิลาหวดเข้าเต็มร่างของพวกอานูบีสจนพวกมันร้องอย่างเจ็บปวด
บุรุษมักพูดคุยกันด้วยกำปั้น ประโยคนี้ได้รับการพิสูจน์แล้ว
สงครามของเหล่าสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว……