World of Warcraft ราชันต่างภพ - ตอนที่ 577
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
“ฉินเช่อ” ผ่านไปไม่นานแต่ดูเหมือนว่าฉินเช่อจะสูงและดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีกแล้ว ในใจของเซียวอวี๋มีความสุขมาก
“ฉินเช่อ เจ้ามาแล้ว” เห็นฉินเช่อเดินเข้ามา โถวปาหู่ก็ร้องทักอย่างกระตือรือร้น หลังจากร่วมงานกับฉินเช่ได้ช่วงหนึ่ง เขาก็รู้สึกถูกชะตาเด็กหนุ่มผู้นี้ยิ่ง
หากในช่วงแรกไม่ได้ฉินเช่อยืนหยัดต้านการโจมตีของโถวปากุ้ย เช่นนั้นทุกอย่างคงจะเลวร้ายสุดขีด
กล่าวได้ว่าฉินเช่อถือเป็นผู้มีพระคุณต่อจักรวรรดิเมฆา
แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยหลัก สิ่งสำคัญคือความเข้าใจของฉินเช่อในกลยุทธ์ของทัพม้า สิ่งนี้สร้างความประทับใจให้โถวปาหู่อย่างมาก โถวปาหู่ใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่กับการพัฒนากลยุทธ์ของทัพม้า แน่นอนว่าเขาย่อมชื่นชมเหล่าแม่ทัพทหารม้าที่สุด และฉินเช่อก็เป็นแม่ทัพทหารม้าที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ
เขาอดคิดจะดึงตัวฉินเช่อมาบัญชาการทัพพยัคฆ์ของเขา แต่น่าเสียดาย หลังจากลองชักชวนอยู่หลายครา เขาก็ทราบแล้วว่าฉินเช่อภักดีต่อเซียวอวี๋อย่างถึงที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ใดดึงตัวเขาจากเซียวอวี๋
ไฉนไม่มีอัจฉริยะเช่นนี้ผุดขึ้นในจักรวรรดิของเราบ้าง?
“เรียนท่านอ๋อง พวกทหารทมิฬกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ คาดว่ามีจำนวนราวสี่หมื่นคนขอรับ” ในเวลานั้นเอง ทหารนายหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามารายงานต่อโถวปาหู่
“มาอีกแล้วหรือ?” โถวปาหู่ขมวดคิ้ว
ทหารทมิฬเป็นชื่อเรียกที่ชาวจักรวรรดิตั้งให้กับคนที่กลายสภาพ เนื่องจากพวกที่กลายสภาพมีแต่ลูกตาดำและหลังจากกลายสภาพแล้วคนเหล่านั้นก็มักจะสวมใส่แต่ชุดสีดำ
“หลายวันนี้พวกมันบุกมาบ่อย?” เซียวอวี๋ถามขึ้นมา
“ใช่ ด่านแห่งนี้มีความสำคัญมาก หากไม่มีด่านนี้อยู่ สถานการณ์คงเลวร้ายสุดจะคาด ทุกครั้งที่พวกมันบุกโจมตีเมือง จำนวนของพวกมันมักมีด้วยกันหลายหมื่น อีกทั้งรูปแบบต่อสู้ของพวกมันยังเป็นตกตายตามกัน พวกมันไม่สนใจความเป็นความตายของตนแม้แต่น้อย” โถวปาหู่กล่าวพลางทอดถอนใจ
ในอดีตคนเหล่านี้อาจเคยเป็นชาวเมฆา เป็นญาติพี่น้อง แต่นั่นก็แค่ ‘เคย’ เท่านั้น ตอนนี้พวกเขากลายเป็นปีศาจไร้ใจไปแล้ว
เซียวอวี๋ผงกศีรษะก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มีทางเลือก สำหรับผู้ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ช้าเร็วข้าต้องสังหารมันให้จงได้”
ที่ที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ชาวบ้านที่ต่อแถวตรวจสอบอยู่ก็กรูกันเข้ามาในด่านก่อนที่ประตูด่านจะถูกปิดลง ที่อีกด้านของประตูชาวบ้านที่เข้ามาไม่ทันต่างก็รีบวิ่งมาทางประตูพลางร้องให้รีบเปิดประตูให้พวกเขาเข้าไป คนเหล่านี้แตกต่างจากทหารทมิฬที่ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ ชัดเจนว่าชาวบ้านเหล่านี้ยังไม่กลายสภาพ
อย่างไรก็ตาม ที่ด้านหลังของพวกเขามีพวกทหารทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วนติดตามหลังมา อาวุธในมือของพวกมันกวัดแกว่งฟาดฟันเหล่าชาวบ้านล้มลง พวกชาวบ้านที่วิ่งรั้งท้ายย่อมไม่อาจหลีกหนีจากความตาย
“ท่านอ๋อง พวกเราควรทำอย่างไรดีขอรับ?” ทหารที่มารายงานเอ่ยถามอย่างร้อนลน
โถวปาหู่มองดูฉากเบื้องหน้า ขณะที่ในใจทราบดีว่าไม่อาจเปิดประตูด่าน เพราะหากประตูด่านถูกเปิดแล้วล่ะก็ทหารทมิฬเหล่านั้นก็จะหลุดรอดเข้ามาด้วย และนั่นจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
แต่หากว่าไม่เปิดประตู ชาวเมฆาข้างนอกนั่นคงล้มตายหมดสิ้น และเขาคงได้รับคำก่นด่าสาปแช่งตามมา นี่นับเป็นการยากที่จะตัดสินใจ
หากเพียงแค่ทหารทมิฬราวสี่หมื่นคนนั่นยังไม่เป็นไร หากแต่เบื้องหลังของทหารกลุ่มนี้เป็นไปได้มากว่ายังมีทหารทมิฬที่มากยิ่งกว่าตามมา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น สถานการณ์ย่อมอยู่เหนือการควบคุม
ด่านป้องกันแห่งนี้เป็นปราการสุดท้ายที่พวกเขาพึ่งพิง หากด่านนี้ถูกตีแตก เช่นนั้นทั่วทั้งจักรวรรดิคงพินาศสิ้น
เมื่อเผชิญกับความขัดแย้งในจิตใจ โถวปาหู่จึงนิ่งเงียบ สายตาเหม่อมองดูเหล่าชาวบ้านที่วิ่งหนีตายสุดชีวิต มือของเขากำด้ามดาบไว้แน่น
“ท่านอ๋องหู่ ส่งทัพพยัคฆ์และกองทหารออกไปเถอะ ท่านคอยสกัดการโจมตีของทหารทมิฬ ส่วนข้าจะเฝ้ารักษาประตูด่านให้เอง” เซียวอวี๋พลันเปิดปากกล่าว
ได้ยินคำแนะนำของเซียวอวี๋ โถวปาหู่ก็ได้สติ เขารีบกล่าวด้วยความสำนึกขอบคุณ “ขอบคุณดยุคเซียว”
เซียวอวี๋ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ทุกคนย่อมมีความเมตตาอยู่ในใจ ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เร่งมือเถอะ หากลงมือรวดเร็วพอย่อมสกัดทหารทมิฬไว้ได้”
โถวปาหู่พยักหน้ารับ จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับฉินเช่อ “ฉินเช่อ เจ้ามากับข้า ข้าต้องการให้เจ้าช่วยนำทัพ พวกเราสองคนจะแยกย้ายกันรับมือ”
ฉินเช่อพยักหน้ารับคำ “ขอรับ”
ด้วยเหตุนั้น ประตูด่านจึงเปิดออกอีกครั้ง ทัพพยัคฆ์ควบตะบึงม้าผ่านประตูไป เหล่าผู้ที่กำลังถูกไล่ล่าเมื่อเห็นประตูเปิดออกก็หลั่งน้ำตาด้วยความยินดี พวกเขาต่างตะโกนแซ่ซ้องทัพพยัคฆ์สุดเสียง
ครืน……
ทัพพยัคฆ์ควบทะยานราวกับพยัคฆ์ฝูงหนึ่งจนก่อเกิดเป็นสภาวะที่ดุดันขึ้นมา ในเวลานี้พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อปกป้องชาวเมฆา ศึกเช่นนี้นับเป็นศึกที่ทรงเกียรติที่สุด ทั้งหมดต่างกระตือรือร้นใคร่ต่อสู้ แม้จะต้องทอดกายเป็นศพในสนามรบ แต่เพื่อจักรวรรดิเมฆาแล้ว พวกเขายินดียิ่ง
ทัพพยัคฆ์แยกออกเป็นสองขบวนเตรียมโอบล้อมชาวบ้านจากสองฟากข้าง พวกเขาชักอาวุธเตรียมสกัดการโจมตีของทหารรทมิฬ
“เรียกยักษ์ศิลามาป้องกันประตูไว้” เห็นทัพพยัคฆ์เข่นฆ่าออกไป เซียวอวี๋ก็ออกคำสั่งเรียกพวกยักษ์ศิลามาที่ประตู
พวกยักษ์ศิลานับว่าเกิดมาเพื่อป้องกันเมืองจริงๆ ด้วยความสูงใหญ่ของพวกมันแล้วก็ยากที่จะมีศัตรูฝ่ามาได้ ยิ่งกว่านั้นผิวกายของพวกมันยังแข็งจนอาวุธทั่วไปฟันแทงไม่เข้า
ตอนนี้พวกทหารทมิฬไล่เข้ามาอย่างกระชั้นชิด มีทหารทมิฬอย่างน้อยหนึ่งหมื่นที่อยู่ด้านหน้าสุด ทหารทมิฬเหล่านั้นอาศัยจังหวะชุลมุนแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มชาวบ้านที่กำลังวิ่งหนี พวกมันต้องใช้โอกาสนี้แทรกซึมเข้าไปในเมือง
“พลธนูเอลฟ์เตรียมพร้อม! เมื่อเห็นทหารทมิฬให้ยิงสังหารทันที” เซียวอวี๋สั่งการ
ในสถานการณ์เช่นนี้พลธนูเอลฟ์นับว่ามีบทบาทอย่างมาก ต่อให้ทหารทมิฬหลบซ่อนอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน พวกมันก้ยากจะหลบรอดสายตาอันแหลมคมของพวกเอลฟ์ไปได้
“ฆ่า!!” ไพร่พลทัพพยัคฆ์ร้องคำราดังกระหึ่ม
สภาวะของคนและม้าหลายพันก่อเป็นรัศมีอันน่าตื่นตระหนก
โครม โครม…..
ทัพพยัคฆ์พุ่งเข้าปะทะทหารทมิฬ พวกทหารทมิฬมีเปรียบด้านจำนวน หากแต่ความแข็งแกร่งกลับเทียบทัพม้าไม่ติด
ตอนนี้พวกเขากลายเป็นหุ่นเชิดอย่างสมบูรณ์โดยปราศจากทักษะการต่อสู้ อีกทั้งไม่ว่าอาวุธหรือชุดเกราะก็ล้วนแล้วแต่คุณภาพต่ำ ทหารทมิฬส่วนใหญ่เพียงถือมีดทำครัวหรือค้อนด้วยซ้ำ
เป็นเพราะกำลังส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนสภาพมาจากชาวบ้านธรรมดา ดังนั้นจึงแทบคาดหวังเรื่องพลังต่อสู้ไม่ได้ ทว่าจิตใจที่ไม่เกรงกลัวความตายนั้นทำให้ผู้คนปวดหัวยิ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกทัพพยัคฆ์พุ่งทะลวงใส่ จุดอ่อนของพวกมันก็เปิดเผยออกมา เลือดและเนื้อลอยสาดกระเซ็น ทหารทมิฬล้มตายลงราวผักปลา……