World of Warcraft ราชันต่างภพ - ตอนที่ 611
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
เซียวอวี๋เรียกประชุมคนทั้งหมดเพื่อหารือสำหรับแผนการตอบโต้
ไม่มีใครคัดค้านในเรื่องนี้ แม้พวกเขาจะยังไม่ทราบว่าเซียวอวี๋คือผู้อยู่เบื้องหลังกองทัพอันเดด การเปิดฉากรุกอย่างฉับพลันของกองทัพอันเดดทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป พวกเขาจึงต้องช่วงชิงประโยชน์จากโอกาสนี้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นทุกคนจึงมีเสียงเป็นเอกฉันท์กับการโต้กลับ
ทุกคนล้วนทราบดีอยู่แล้วถึงความสามารถในการบัญชาการรบของเซียวอวี๋ ดังนั้นหลังจากที่เซียวอวี๋กำหนดแผนการขึ้นมา ทุกคนจึงเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก
อย่างน้อยที่สุด จากประวัติที่ผ่านมา เซียวอวี๋ไม่เคยแพ้สงครามมาก่อน ทั้งยังชนะอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กำลังร่างแผนการ เซียวอวี๋ก็ยังทิ้งกำลังบางส่วนไว้ที่แนวป้องกันเพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย ทั้งยังเป็นการเฝ้าระวังการลอบตลบหลังจากกองทัพกูดาล
หลังเกิดสงครามมาหลายเดือน จำนวนทหารของกองทัพพันธมิตรมนุษย์ก็มีมากกว่าสามสิบล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงจนน่าตกใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกำลังสำรองที่พร้อมเข้าร่วมอีกจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ต้องเปิดศึกสองด้าน เซียวอวี๋ก็เชื่อว่าเขาจะสามารถรับมือได้
กลยุทธ์ตอบโต้ของเซียวอวี๋คือการเจาะเข้าตรงกลางแล้วทำลายปีกทั้งสองข้าง โดยเริ่มแรก กองหน้าที่ประกอบด้วยกองกำลังชั้นยอดจะแหวกเปิดช่องว่างทะลวงเข้าไปในใจกลางทัพของศัตรู จากนั้นกองทัพที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็จะรีบโจมตีไปที่ปีกทั้งสองข้างเพื่อขยายพื้นที่หยั่งเท้าฝ่ายตน
การโจมตีจะต้องลงมืออย่างรวดเร็ว ใช้ขบวนทัพรูปแบบหัวหอกเพื่อตัดเข้าสู่ใจกลางทัพของอีกฝ่ายด้วยความเร็ว จากนั้นให้ทัพที่สองสู้ปกป้องพื้นที่เพื่อยื้อเวลาให้ทัพหน้าพักหายใจ จากนั้นจึงค่อยเปิดฉากทะลวงรอบที่สองเคลื่อนกำลังทำลายพื้นที่อื่นๆ
เมื่อแผนการทั้งหมดได้ข้อสรุปแล้ว วันต่อมา พันธมิตรมนุษย์ก็เริ่มเปิดฉากโจมตี ขบวนรูปหัวหอกถูกแบ่งออกเป็นสองทัพ ทัพแรกนำโดยเซียวอวี๋ นักรบทัวเรน กองพลรถถัง ขณะที่อีกทัพจะนำโดยทัพพยัคฆ์
เซียวอวี๋ได้จัดกองทัพอากาศครึ่งหนึ่งไปกับทัพพยัคฆ์ และอีกครึ่งที่เหลือจะไปกับเขา
ในหมู่จ้าวมนตราทั้งสาม ธีโอดอร์จะไปกับเซียวอวี๋ ขณะที่ชัคคุน เฟอร์กูสัน และพระสันตะปาปาจะไปกับอีกทัพ เพราะทางฝั่งเซียวอวี๋ยังมีแอนโทนีดาส คาเอลธาส และหลินมู่เสวี่ยที่ตอนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอยู่ด้วย
หลังจากผ่านการต่อสู้มาแล้วหลายครั้ง ทั้งยังได้รับการชี้แนะโดยจ้าวมนตราทั้งสาม หลินมู่เสวี่ยในเวลานี้ยังแข็งแกร่งกว่าจ้าวมนตราทั้งสามที่ยังไม่บรรลุขั้นที่เจ็ดเสียอีก
กองทัพทั้งสองทางฝั่งเซียวอวี๋เปิดฉากโจมตี ซึ่งทางฝั่งของนิโคลัสก็ไม่ต้องการนิ่งดูดาย แม้เซียวอวี๋จะต้องการให้นิโคลัสนั่งประจำการอยู่ที่แนวป้องกัน แต่นิโคลัสก็ปฏิเสธ ทั้งยังบอกให้เซียวอวี๋รอดูผลงานของเขา
อันที่จริง นิโคลัสยังมีขุมกำลังชั้นยอดอยู่ในมือ ยกตัวอย่างเช่น เผ่าบลัดเอลฟ์ที่ยอดเยี่ยมในเวทมนตร์ และปืนใหญ่เวทจำนวนมาก และก็ไม่ทราบว่านิโคลัสใช้วิธีการใดจึงไปได้ตัวกองกำลังอัศวินมังกรดินมาเข้าร่วม ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เซียวอวี๋รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก
อัศวินมังกรดินก็ยังนับเป็นอัศวินมังกร!
ยิ่งไปกว่านั้น กองกำลังอัศวินมังกรดินเหล่านี้ยังมีจำนวนมากถึงห้าพันนาย นี่คือหนึ่งในไพ่ลับที่นิโคลัสไม่เคยใช้ออกมาก่อน
ความแข็งแกร่งของอัศวินมังกรดินนั้นไม่มีข้อกังขา เซียวอวี๋เคยคิดมาตลอดว่าในโลกคงยากจะหาทัพม้าที่แข็งแกร่งกว่าทัพพยัคฆ์ได้ยาก
ทว่ากองกำลังอัศวินมังกรดินนั้นถือเป็นข้อยกเว้น การโถมพุ่งของมังกรย่อมทรงพลังกว่าอาชาอัสนี
แม้ว่ามังกรดินจะเป็นเพียงเผ่าพันธุ์ย่อยของมังกร กระนั้นพวกมันก็ไม่ได้อ่อนแอ อย่างน้อยที่สุด ในด้านพลังป้องกัน พวกมันก็ไม่ด้อยไปกว่าพวกอสูรโคโดเลย แต่ขนาดที่ใหญ่โตจนทำให้เชื่องช้าของพวกอสูรโคโดทำให้พวกมันไม่เหมาะจะนำมาทำหน้าที่พุ่งทะลวง
ทว่าพวกมังกรดินนั้นไม่ใช่ พวกมันทั้งรวดเร็วและดุดัน อัศวินที่อยู่บนหลังสามารถฆ่าฟัน พวกมังกรดินเองก็สามารถขย้ำศัตรู
ในเช้าที่กำหนดให้เป็นวันโจมตี เซียวอวี๋สั่งเปิดประตูแนวป้องกันก่อนจะเคลื่อนทัพออกไป
ยิ่งมาเซียวอวี๋ก็ยิ่งชื่นชอบการขี่อยู่บนหลังของมังกร กล่าวได้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ดูน่าเกรงขามเท่ากับการนั่งอยู่บนหลังของมังกรอีกแล้ว อีกทั้งความเร็วของมังกรน้อยยังสูงยิ่ง เซียวอวี๋จึงชอบขี่มังกรน้อยเวลาไปไหนมาไหน
ครืน……
เสียงเครื่องจากรถถังดังกระหึ่ม รถถังคันแล้วคันเล่าเคลื่อนผ่านประตุออกไป พวกทหารทมิฬที่ได้เห็นฉากนี้ก็ยังต้องหันมามอง แม้ว่าพวกมันจะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ กระนั้นพวกมันก็ยังพอมีสติปัญญาอยู่บ้าง
การต่อสู้หลายๆครั้งที่ผ่านมา พวกมันไม่เคยเห็นฝ่ายเซียวอวี๋เปิดประตูแนวป้องกันมาก่อน เมื่อพวกมันได้เห็นบานประตูที่เปิดออก พวกมันจึงอดหันมามองอย่างสงสัยใคร่รู้ไม่ได้
แต่หลังจากนั้นไม่นาน รถถังก็เคลื่อนขบวนออกมาจากประตู พวกทหารทมิฬเริ่มสัมผัสได้ถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณ เมื่อเปลวไฟพวยพุ่งออกจากปากกระบอกปืนใหญ่ พวกมันก็ทราบได้ทันทีว่าพวกมนุษย์กำลังจะตอบโต้กลับมาแล้ว
ว้าก….
พวกมันไม่รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าความตาย ดังนั้นเมื่อพวกมันกำลังรู้สึกว่าถูกยั่วยุ พวกมันก็ร้องคำรามพลางโถมเข้าหาขบวนรถถังอย่างบ้าคลั่ง
แต่ในไม่ช้า พวกมันก็พบว่ามีสัตว์ประหลาดรูปร่างสูงใหญ่จำนวนมากกำลังล้อมรอบคุ้มครองเป้าหมายของพวกมันอยู่ สัตว์ประหลาดพวกนั้นแต่ละตัวมีความสูงกว่าสามเมตร บนบ่าของพวกมันมีเสาต้นใหญ่พาดวางอยู่ ศีรษะของพวกมันดูคล้ายวัว
เหล่านักรบทัวเรนต่างก็กระเหี้ยนกระหือรือที่จะออกรบ พวกมันร้องคำรามพลางพุ่งโถมเข้าหาพวกทหารทมิฬอย่างดุดัน
เวลานี้ เหล่านักรบทัวเรนต่างก็มีระดับถึงสิบเรียบร้อยแล้ว พวกมันล้วนแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ยามเมื่อเสาโทเทมยกฟาดลงไปก็จะบังเกิดเป็นระลอกคลื่นกระแทกอันรุนแรงกินรัศมีถึงสิบเมตร
และยามที่พวกนักรบทัวเรนทั้งสามพันตัวโถมพุ่งออกไปพร้อมกัน พวกทหารทมิฬที่อยุ่ในเส้นทางต่างก็ถูกบดขยี้จนพินาศ
กระสุนปืนใหญ่จากรถถังได้กลืนกินทหารทมิฬไปนับไม่ถ้วน และยามที่พวกมันพยายามเข้าใกล้ พวกมันก็จะถูกล้อเหล็กกล้าบดทับอย่างไร้ปราณี บางส่วนที่โชคร้ายก็ไม่ทันได้เข้าถึงตัวรถถัง แต่ถูกพวกทัวเรนบดขยี้ก่อนจะถูกขว้างลอยออกไปอย่างไร้กำลังขัดขืน
นี่ก็คือทักษะของนักรบทัวเรน บดขยี้
มีทัวเรนตัวหนึ่งที่บุกทะลวงอยู่ด้านหน้าสุดด้วยขวานอันใหญ่โต ยามที่ขวานถูกเหวี่ยงฟันลงพื้นก็จะเกิดรอยแยกลุกลามเป็นทางยาวนับร้อยเมตร ศัตรูที่อยู่ในระยะล้วนถูกเปลี่ยนเป็นเศษเนื้อในทันใด
หลังจากความแข็งแกร่งของเขาอยุ่ในระดับสุดยอดของขั้นที่หก คาร์นก็กลายเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานแห่งสนามรบ
การบุกทะลวงนี้ไม่เปิดโอกาสให้พวกทหารทมิฬได้รับมือแม้แต่น้อย มีในหมู่พวกมันจะมีปีศาจที่แข็งแกร่งปะปนอยู่ แต่เหล่าฮีโร่ของเซียวอวี๋ก็สามารถสับสังหารอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว
ทิรันด้าขี่เสือดาวตะบึงไปอย่างปราดเปรียว เมื่อสายตาพบเห็นปีศาจปรากฏตัว ลูกธนูก็จะพุ่งสังหารเป้าหมายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากมาถึงขั้นที่หก ทักษะการใช้ธนูของนางก็เข้าขั้นไร้ผู้ต้าน ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่ปีศาจทั่วไปไม่แม้แต่จะสัมผัสได้ถึงลูกธนูของนางก่อนจะตายไปอย่างไม่รู้ตัว
และแม้จะปีศาจที่แข็งแกร่งเทียบเท่าระดับสุดยอดของขั้นที่หกหรือกระทั่งขั้นที่เจ็ดเทียม มังกรน้อยก็สามารถจัดการอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็น ทอนฟาในมือของมันเมื่อฟาดออกยังหนักหน่วงยิ่งกว่าขุนเขาถล่มใส่
ความแข็งแกร่งของมังกรน้อยในปัจจุบันนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ และมันยังอยู่ห่างจากการทะลวงขั้นที่หกอีกไม่ไกลแล้ว
หากให้มังกรน้อยในเวลานี้ได้สู้กับพวกผู้นำกอล็อกที่บึงตะวันลับอีกครั้ง มังกรน้อยจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้โดยใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที
หรือหากว่ามังกรน้อยสู้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ฝ่ายเขายังมีสามจ้าวมนตราอยู่
หากว่ามังกรน้อยและสามจ้าวมนตราลงมือพร้อมกัน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกล่าวถึงการต่อสู้แล้ว อีกฝ่ายคงตกตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้สู้
ในการต่อสู้นี้ สามจ้าวมนตราได้ใช้เวทต้องห้ามอย่างต่อเนื่อง แม้กล่าวได้ว่าการใช้เวทต้องห้ามออกไปจะเป็นการบั่นทอนอายุขัย และหากว่าใช้ออกถี่เกินไปจะเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างใหญ่หลวง
แต่ในเวลาเช่นนี้ พวกเขาไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นใดอีกแล้ว การรุกรานของพวกทหารทมิฬคือมหันตภัยร้ายแรงที่สุด ยังมีพวกปีศาจหนุนเสริมจนแทบจะทำให้แนวร่วมฝ่ายมนุษย์พ่ายแพ้
ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า พวกเขาจึงต้องใช้เวทต้องห้ามออกมา หนึ่งเวทที่ใช้ออกของพวกเขาจะสามารถช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ได้นับไม่ถ้วน
สงครามหลายครั้งที่ผ่านมานั้นดุเดือดจนแทบลากเลือด หากว่าการศึกไม่เข้าขั้นร้ายแรงจริงๆ เซียวอวี๋คงไม่เรียกใช้กองทัพอันเดด
เมื่อแผนการโต้กลับเริ่มต้นขึ้น กองทัพชั้นยอดของเซียวอวี๋ก็มีบทบาทสำคัญอีกครั้ง เหล่าฮีโร่ของเขาทุกคนเรียกได้ว่ามีผลต่อสถานการณ์อย่างมาก
แต่ฮีโร่ที่น่าตื่นตะลึงที่สุดก็คือ จ้าวอัคคี ฮีโร่ผู้นี้แข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผล ทุกที่ที่เขาเคลื่อนตัวผ่าน เปลวเพลิงจะเข้ากลืนกินศัตรูจนหลงเหลือไว้เพียงเถ้าถ่าน
การบุกทะลวงได้กวาดล้างศัตรูไปนับไม่ถ้วน และเมื่อทั้งสองทัพได้กลับมาบรรจบกัน พวกทหารทมิฬก็ไม่มีหนทางให้หลบหนี พวกที่ติดค้างถูกบีบเข้ามุม ทำได้เพียงรอคอยการถูกเชือด
แผนการของเซียวอวี๋ประสบผลสำเร็จ หลังจากการบุกทะลวงดำเนินไปหลายรอบ พวกทหารทมิฬก็สูยเสียอย่างหนัก หลังจากผ่านไปสิบกว่าวัน กองทัพพันธมิตรมนุษย์ก็รุกคืบไปได้นับร้อยกิโลเมตร
ในตอนนี้ กองทัพของพวกเขานั้นใกล้จะพบเจอกับทัพอันเดดแล้ว
ขณะที่เซียวอวี๋กำลังขบคิดหาวิธีการเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะกับพวกอันเดด จุ่ๆเขาก็พลันรู้สึกได้ว่าแผ่นดินกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นที่บนท้องฟ้าก็ปรากฏหลุมขนาดใหญ่ ลูกไฟขนาดมหึมาตกกระหน่ำลงจากฟ้าราวกับวันสิ้นโลกกำลังอุบัติ
“มันมาแล้ว”
เซียวอวี๋พึมพำ….