World of Warcraft ราชันต่างภพ - ตอนที่ 618
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ในกลุ่มนักรบยอดฝีมือ มีหลายคนที่เซียวอวี๋รู้จัก มีหลายคนที่เป็นอดีตสมาชิกในภาคีอัศวินซึ่งติดตามคาสโซ่มาเข้าร่วมกับเซียวอวี๋ ทั้งหมดต่างพุ่งตามหลังคาสโซ่เข้าหาซาแกรลาสอย่างไม่ลังเล แม้จะทราบว่าพลังของพวกเขาส่งผลต่อซาแกรลาสไม่มากนัก
อันที่จริง คาสโซ่ในปัจจุบันก็เรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างยิ่งแล้ว อีกทั้งเขายังมีโล่เอสซินอสสุดแกร่งด้วยอีก ดังนั้นการโจมตีของซาแกรลาสจึงไม่ได้สังหารเขาในทันที คาสโซ่ยกโล่ปักลงบนพื้นพยายามต้านการโจมตีไว้ก่อนที่ต้านไม่ไหวในการโจมตีครั้งที่สี่
และขณะที่คาสโซ่ล้มลง โล่เอสซินอสของเขาก็มีคนหยิบไปถือแทน เซียวอวี๋เคยเห็นหน้าคนผู้นี้มาก่อน เขาเองก็เป็นอดีตสมาชิกภาคีอัศวินที่คาสโซ่แนะนำเข้ามา
หลังจากหยิบโล่ขึ้นมา เขาก็พยายามเข้าต้านทานการโจมตีจากซาแกรลาสก่อนจะล้มลงสิ้นใจ จากนั้นก็จะมีคนอื่นๆเข้ามาหยิบโล่เพื่อต้านทานซาแกรลาสต่อไป
“เจ้าพวกมดปลวก พวกเจ้าจะพยายามไปเพื่ออะไร? การใช้ชีวิตของตนแลกกับการปกป้องผู้อื่นั้นคุ้มค่าหรือ? พวกเจ้าช่างโง่เขลานัก” เมื่อได้เห็นฉากนี้ ซาแกรลาสที่ไม่เข้าใจก็คำรามด้วยความหงุดหงิด
ในตอนนี้เอง เซียวอวี๋และคนอื่นๆก็วิ่งมาถึง
“นั่นก็เพราะว่าเจ้าไม่ได้เข้าใจมนุษย์อย่างพวกเราแม้แต่น้อย มนุษย์ แม้จะเกิดมาไม่ทรงพลังเฉกเช่นเผ่าพันธุ์อื่น แต่ถึงอย่างนั้น มนุษย์อย่างพวกเราก็มีสิ่งที่เจ้าไม่อาจทำลายได้นั่นก็คือ ศรัทธา เพราะมนุษย์อย่างพวกเรามีความศรัทธา ดังนั้น ตราบที่พวกเรายังคงอยู่ พวกเราก็จะสู้! พวกเราไม่กลัวการเสียสละ พวกเราไม่กลัวความตาย พวกเราเชื่อมั่นว่าจะชนะ และพวกเราจะล้มปีศาจเช่นเจ้าลง”
เสียงของเซียวอวี๋ถูกถ่ายทอดไปทั่วทั้งสนามรบ และทำให้เหล่านักรบที่ต่อสู้อยู่ต่างก็คำรามตอบรับอย่างฮึกเหิม
สิ่งที่เซียวอวี๋กล่าวนั้นถูกต้อง พลังแห่งความศรัทธาของมนุษย์นั้นไร้สิ้นสุด เป็นพลังที่สามารถผลักดันผู้คนให้ลุกขึ้นสู้ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
นี่ก็คือพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล!
“โง่เขลา พวกเจ้าช่างโง่เขลานัก!” ซาแกรลาสตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“ความเขลาที่เจ้าเรียกก็คือความกล้าหาญของพวกเรา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มนุษย์ได้ครองทวีป และเจ้า ซาแกรลาส เจ้าจะไม่มีวันชนะพวกเรา”
เซียวอวี๋ตะโกนตอบก่อนจะยกดาบคาริมดอร์ฟันเข้าใส่ซาแกรลาสจนทำให้ซาแกรลาสไม่อาจเข้าใกล้สามจ้าวมนตราได้อีก
คนที่เหลือต่างก็ตามมาถึงในเวลานี้เอง โดยเฉพาะมังกรน้อยที่ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งดุดัน
ฉัวะ……
ในตอนนั้นเอง ดาบน้ำแข็งเล่มใหญ่ก็เสียบใส่ร่างของซาแกรลาส ก่อนที่แขนของซาแกรลาสจะถูกตัดในดาบถัดมา
เมื่อทุกคนหันไปยังทิศทางที่ดาบพุ่งมา พวกเขาก็พบเห็นหลินมู่เสวี่ยที่มีสีหน้าเหนื่อยอ่อนอยู่ตรงนั้น
ดาบน้ำแข็งเมื่อครู่ ชัดเจนว่าเป็นฝีมือของนางเอง
ในตอนนี้ จ้าวมนตราที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปไม่ใช่สามจ้าวมนตราอีกต่อไป หากแต่เป็นหลินมู่เสวี่ยที่เป็นผู้สืบทอดพลังจากเอกวินน์
หลังจากบรรลุขั้นที่เจ็ด ความแข็งแกร่งของนางก็เหนือล้ำผู้อาวุโสทั้งสามไปมาก
ดังนั้นการโจมตีของนางจึงมีพลังทำลายล้างมหาศาล
อ๊ากกกกก………
ซาแกรลาสกรีดร้องโหยหวน
“รีบมาจบเรื่องนี้กันเถอะ” เซียวอวี๋หันไปมองหลินมู่เสวี่ยที่กำลังร่ายเวทต้องห้ามด้วยใบหน้าซีดเผือดอย่างเป็นกังวล ในใจของเขาตัดสินใจว่าต้องรีบจัดการซาแกรลาสให้ได้โดยเร็วที่สุด
จ้าวมนตราทั้งสามต่างหันไปสบตากัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มอันปลอดโปร่งออกมา ในที่สุดภาระหน้าที่ที่พวกเขาแบกรับเอาไว้ก็สิ้นสุดลง ต่อให้โลกในภายหน้าจะไม่มีพวกเขาทั้งสามอยู่ แต่ก็จะมีผู้คนคอยปกป้องทวีปแห่งนี้ต่อไป
หลินมู่เสวี่ยได้ก้าวเข้ามารับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ทวีปอย่างเต็มตัวแล้ว
เมื่อตัดสินใจได้ จ้าวมนตราทั้งสามก็นำน้ำยาฟื้นฟูมานาออกมาดื่มจนหมด จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มต้นร่ายเวทต้องห้ามเป็นครั้งสุดท้าย
อันที่จริง พวกเขาทั้งสามไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงใดๆพอจะสู้ต่ออีกแล้ว ซึ่งการปลดปล่อยเวทต้องห้ามอีกครั้งก็ไม่ต่างจากการเดินเข้าอ้อมกอดของความตาย แต่พวกเขาจะสนใจไปใย ภาระใดๆล้วนถูกปล่อยวางไปแล้ว
“อารักขาผู้อาวุโสทั้งสาม!” เซียวอวี๋ที่เห็นดังนั้นก็พลันตะโกนออกมา “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะไม่มีผู้ใดแตะต้องพวกเขาได้!”
ถึงจุดนี้ ซาแกรลาสก้พบว่าการต้องต่อสู้เพียงลำพังนั้นเหน็ดเหนื่อยยิ่ง ดังนั้นมันจึงส่งฝูงปีศาจอ้อมไปโจมตีกลุ่มจ้าวมนตราทั้งสาม หลินมู่เสวี่ยและเหล่านักรบที่แข็งแกร่งพอจะคุกคามมัน
อาร์ทัสที่เห็นฝูงปีศาจถาโถมเข้าใส่ดุจน้ำหลากก็พลันยกดาบสั่งการกองทัพอันเดดให้เข้าปะทะ
ทั่วทุกหนแห่งเต็มไปด้วยการฆ่าฟัน เปลวเพลิงที่ลุกโชน แสงจากการใช้เวทมนตร์ที่ใส่อีกฝ่าย ทั้งหมดล้วนแต่ก่อเกิดเป็นธารโลหิตไหลนองทั่วท้องธาร
ครืน……..
จู่ๆพื้นดินที่ใต้ฝ่าเท้าของทั้งหมดก็พลันสั่นสะเทือน และสนามรบก็เต็มไปด้วยรอยแตกแยกของพื้นดิน จากนั้นเสาที่มีความสูงหลายร้อยเมตรก็ค่อยๆผุดขึ้นมาจากรอยแยกทั่วสนามรบ
นักรบฝ่ายมนุษย์นั้นตกตะลึงในคราแรก หากแต่ชั่ววินาทีถัดมาในใจของพวกเขาก็พลันรู้สึกเชื่อมั่นอย่างแปลกประหลาด พวกเขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตรงกันข้าม ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยศรัทธา
ศรัทธานี้ได้บอกต่อพวกเขาว่าในท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์จะเป็นฝ่ายชนะ และศรัทธานั้นยังบอกต่อพวกเขาว่า พวกเขาจะต่อทุ่มเทสุดกำลังเพื่อปกป้องจ้าวมนตราทั้งสาม
เหล่าปีศาจที่สัมผัสได้ถึงลางร้ายต่างก็พุ่งเข้าหาต้นตอแห่งลางร้ายโดยไม่สนใจใดอีกต่อไป ซึ่งตำแหน่งที่พวกมันสัมผัสได้ก็คือตำแหน่งที่จ้าวมนตราทั้งสามอยู่
นิโคลัสรีบนำกลุ่มองค์รักษ์ของเขาเข้าขัดขวางพวกปีศาจอยู่เบื้องหน้าของสามจ้าวมนตราโดยไม่สนใจค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย
เหล่าองค์รักษ์ที่เข้าฟาดฟันกับพวกปีศาจเริ่มล้มตายลงอย่างรวดเร็ว กระนั้นนิโคลัสก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้อยู่ที่นั่นอย่างแน่วแน่
ถึงตอนนี้ นิโคลัสทราบว่าตนนั้นมีส่วนช่วยในการจัดการกับซาแกรลาสได้ไม่มาก หากแต่ยังมีผู้ที่กระทำได้ นั่นก็คือ เซียวอวี๋
ในที่สุดเขาก็เข้าใจและยอมรับได้ ผู้ที่เป็นราชาแห่งราชันย์นั้นไม่ใช่เขา แต่เป็นเซียวอวี๋
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? ตัวเขาก็ยังคงมีส่วนในการปกป้องทวีปแห่งนี้ และเขาจะไม่ยอมให้มีปีศาจตนใดเข้าถึงตัวจ้าวมนตราทั้งสามได้เป็นอันขาด
นี่ก็คือความมุ่งมั่นของเขา นิโคลัส
ต่อให้เขาต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ มันก็เป็นการเสียสละเพื่อทวีป
ความแข็งแกร่งของนิโคลัสเองก็ไม่ใช่ธรรมดา เขามีพลังอยู่ในขั้นที่หก ดาบที่อยู่ในมือของเขาถูกกวัดแกว่งออกไปนับครั้งไม่ถ้วนจนประสาทมือของเขาด้านชาไร้ความรู้สึก
ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ ต่างฝ่ายต่างไม่จำเป็นต้องเก็บออมสิ่งใดไว้อีกต่อไป และนิโคลัสเองก็นำไพ่ตายออกมาใช้แล้วเช่นกัน
ฝูงปีศาจถูกหยุดเอาไว้ ไพ่ตายที่ตระกูลของนิโคลัสเก็บซ่อนเอาไว้มานานหลายปีล้วนถูกใช้ออกมาในเวลานี้เอง ทั้งม้วนคัมภีร์เวทและอาวุธเวทต่างก็ถูกใช้ออกอย่างไม่มีสิ้นสุด
หากไม่มีไพ่ตายเหล่านี้ของนิโคลัส ฝูงปีศาจก็คงเข้าถึงตัวและฉีกร่างของจ้าวมนตราทั้งสามไปแล้ว นักรบทุกนายต่างก็ต่อสู้จนตาแดงฉาน หลงเหลือไว้เพียงความคิดที่จะสังหารศัตรูให้ได้มากที่สุด
พวกเขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าในศึกครั้งนี้ มนุษย์จะต้องชนะ…..