Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ - ตอนที่ 432
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.432 – โลกล่องเวหา
กู่ฉิงซานจ้องมองเข้าไปในความมืด และตกลงสู่ห้วงความทรงจำ
การต่อสู้ในโลกเทวะเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าตื่นเต้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเขาจะเดินหมากตัวต่อไปอย่างไรต่างหากล่ะ
เพราะในช่วงเวลานั้น เขาได้ทำการค้นวิญญาณของผู้ฝึกยุทธจากโลกอื่น
และความลับบางอย่างที่เขาค้นพบ มันก็ได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน
พ่อของฉีหยาน คือผู้นำนิกายกวงหยาง มีนามว่าฉีรั่วหยา และกำลังก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์
ขณะที่แม้กระทั่งตัวฉีรั่วหยาเองก็ยังไม่ทราบถึงการกระทำของบุตรชายตนเมื่อเร็วๆนี้
แต่สำหรับฉีรั่วหยาแล้ว ไม่ว่าฉีหยานต้องการสิ่งใด ตนก็จะช่วยให้ได้สิ่งนั้นมา นั่นแหละจึงเป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมด
—เพราะมันได้ช่วยให้ฉีหยานได้ค้นพบโลกใหม่ทั้งสองใบเข้าโดยบังเอิญ และเจ้าตัวจึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
ว่าหากฉีรั่วหยาสามารถก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้อย่างราบรื่นและได้ยกระดับขึ้นเป็นลมปราณจิต ฉีหยานก็จะมอบโลกทั้งสองใบเป็นของขวัญแสดงความยินดีให้แก่เขา
ทว่าหากเขาล้มเหลว ฉีหยานก็จะยึดทั้งสองโลกไว้ในครอบครองด้วยตนเอง และออกจากนิกายกวงหยาง ละทิ้งโลกเดิมของเขาทันที
เพราะท้ายที่สุดนี้ อาวุโสสูงสุดและคนจากในสำนักจะไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ๆ
แผนของฉีหยานจึงกล่าวได้ว่ารอบคอบเป็นอย่างมาก
แต่น่าเสียดาย ที่ทุกคนที่เขาพาไปยังโลกเทวะนั้นถูกล้างบางจนสิ้นแล้วโดยจักรพรรรดินีมารสวรรค์
แม้กระทั่งตัวฉีหยานเอง ก็ยังถูกส่งไปยังโลกมารสวรรค์ และตอนนี้ก็คงจะตายไปแล้ว
เมื่อมาถึงจุดนี้ เดิมทีแล้วทุกอย่างสมควรที่จะจบลงด้วยดี
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานจดจำได้รางๆว่าฉีหยานยังมีผู้ติดตามคนสนิทอยู่อีกคนหนึ่งชื่อว่าหวูซาน
และหวูซานยังคงพำนักอยู่ในนิกายกวงหยาง มิได้ไปยังโลกเทวะ!
ซึ่งเขาดันเป็นคนสุดท้ายที่ยังคงรู้เรื่องราวทั้งหมด!!
กู่ฉิงซานเอ่ยถามระบบทันที “ระบบ ฉันจำได้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้ยังมีภารกิจอื่นอยู่อีกนี่ ขอฉันย้อนดูอีกรอบได้ไหม?”
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลากหลากบรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ภารกิจพิเศษ : หวูซานจะต้องตาย”
“คำอธิบายภารกิจ : โปรดทราบว่าในโลกใบใหม่ที่คุณไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิงนี้ ยังมีอีกหนึ่งผู้ฝึกยุทธที่ยังคงรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธและโลกเทวะ”
“จงสังหารคนผู้นี้เสีย แล้วจะไม่มีใครทราบถึงการดำรงอยู่ของโลกทั้งสองใบอีกต่อไป”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตากรรมสุดท้ายของทั้งสองโลก ขอให้ผู้เล่นให้ความสำคัญกับมันอย่างจริงจังด้วย”
“วัตถุประสงค์ภารกิจ : จงสังหารคนวงในเสีย ก่อนที่ความลับนี้จะล่วงรู้ถึงหูผู้อื่น”
“รางวัลภารกิจ : ผู้เล่นสามารถเลือกภารกิจอื่นๆที่ได้รับมอบหมาย ให้เสร็จสมบูรณ์ได้เลยในทันที”
กู่ฉิงซานขบคิด
ด้วยเหตุนี้ เขาจะต้องสังหารหวูซาน เพื่อให้อาจารย์และคนอื่นๆได้หลุดพ้นจากภยันตรายอย่างแท้จริง
ลมในมิติอันเชี่ยวกราดยังคงพัดกระพือ อย่างไรก็ตาม มันเริ่มอ่อนกำลังลงแล้ว บ่งบอกชัดเจนว่าเขาใกล้จะถึงที่หมาย
กู่ฉิงซานมองไปข้างหน้า
และเห็นว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากประตูแสงแล้ว
กู่ฉิงซานจึงตบลงไปในถุงสัมภาระ และหยิบเอากระเป๋าเดินทางออกมา
เขาเปิดกระเป๋า และก็พบกับขวดยาพันธุกรรมสองขวดที่นอนอยู่ภายในอย่างสงบ
เขาหยิบหนึ่งในนั้นมา และฉีดเข้าใส่ตนเอง
“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?” ว่านเอ๋อเอ่ยด้วยความสงสัย
แต่ทันทีที่เธอเอ่ยถามจบ เจ้าตัวก็ต้องยกมือขึ้นกุมปากด้วยความประหลาดใจ
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างหน้าตากลายเป็นฉีหยาน
“พี่สาวฉินรั่ว ดูนั่นสิ!”
ว่านเอ๋อดึงชายเสื้อฉินรั่วและกล่าว
ฉินรั่วเงยหน้าขึ้นและมองกู่ฉิงซาน
เหมือนกันเลยทุกประการ!
“เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร?” ฉินรั่วอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ
“เป็นพลังของวิทยาศาสตร์น่ะ”
“วิทยาศาสตร์ … มันคือสิ่งใด?”
“ถ้าบอกว่ามันคล้ายๆกับสมบัติมนตราบางอย่างจะเข้าใจง่ายกว่าหรือไม่”
พอได้ฟัง ว่านเอ๋อก็กระจ่างทันใด
“ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้เจ้าก็มีสมบัติมนตราไว้ในครอบครองอยู่แล้วนี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดเจ้าจึงมั่นอกมั่นใจนัก”
“แต่ขอบเขตของเจ้าก็ยังต่ำเกินไปอยู่ดี แค่เพีย–อะไรกัน? ก้าวสู่เทพขั้นปลาย?”
ฉินรั่วตกใจ
เห็นได้ชัดว่าในการต่อสู้ครั้งก่อน พื้นฐานวรยุทธของเขาคือขอบเขตก่อกำเนิดแท้ๆ
ทว่าตอนนี้ จู่ๆมันกลับก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นก้าวสู่เทพ?
เขาใช่ปิดบังความแข็งแกร่งของตนเอาไว้หรือไม่?
“ถึงจะเป็นก้าวสู่เทพขั้นปลาย แต่ก็ยังห่างไกลจากขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าอีกมากโขอยู่ดี”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยอารมณ์
ว่าจบ เขาก็หยิบหมวกไม้ไผ่ออกมา
นี่คือของที่เขายึดมาได้จากผู้ฝึกยุทธต่างโลกในช่วงเวลาที่พึ่งได้เข้ามาสู่โลกเทวะในช่วงแรก
ในนิกายกวงหยาง ผู้ฝึกยุทธเกือบทุกคนจะมีหมวกไม้ไผ่ เพื่อใช้ปกปิดกลิ่นอายของตนเอง
ในเวลานั้น กู่ฉิงซานกับคนในกลุ่มของเขาได้สรุปว่า ที่ผู้ฝึกยุทธจากโลกอื่นสวมใส่เจ้าสิ่งนี้ คงเป็นเพราะพวกเขาต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
เมื่อสองสาวใช้เห็นหมวกไม้ไผ่ ในแววตาก็เกิดประกายขึ้นทันใด
“ว้าว นั่นมันหมวกไม้ไผ่หนิ เพียงเท่านี้คนอื่นๆก็ไม่สามารถล่วงรู้ถึงขอบเขตวรยุทธของเจ้าได้แล้ว” ว่านเอ๋อกล่าวออกมาพลางปรบมือด้วยความดีใจ
“ไม่หรอก ฉีหยานน่ะให้ความสำคัญกับการปรากฏตัวเป็นอย่างมาก ฉะนั้นจึงมีน้อยครั้งนัก ที่เขาจะสวมใส่หมวกไม้ไผ่” ฉินรั่วกล่าว
“ข้าเองก็ได้พิจารณาถึงเรื่องนั้นแล้วเช่นกัน แล้วหากพวกเราทำแบบนี้ล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยปากถาม
เขาชักดาบออกมา
พร้อมกับรังสีดาบที่วาดผ่านไป
ขณะนี้ บนใบหน้าของกู่ฉิงซานปรากฏร่องรอยคราบเลือดที่บาดลึก
ฉินรั่วจ้องมาที่เขา
เห็นแค่เพียงใบหน้าที่ยังคงเงียบสงบ คิ้วไม่มียับย่น
ฉินรั่วถอนหายใจ “ช่างน่ายกย่องเสียจริง รังสีดาบเมื่อครู่ทรงพลังไม่น้อยเลยแท้ๆ แต่เจ้ากลับลงมือโดยตาไม่กระพริบ นอกจากนี้ คมดาบของมันยังก่อให้เกิดบาดแผลฝังลึกที่จะไม่อาจลบเลือนออกไปได้ในทันที จำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งจังจะฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งหากเป็นในกรณีนั้น สำหรับฉีหยานที่เป็นคนให้ความสนใจกับการปรากฏกายเป็นอย่างมากแล้ว แน่นอนว่าจะต้องหาวิธีมาปกปิดร่องรอยบาดแผลบนใบหน้าพวกนี้อย่างแน่นอน”
“ดังนั้น วิธีการที่ง่ายและสะดวกที่สุดในการปกปิด ก็คือใช้หมวกไม้ไผ่ของนิกายนั่นเอง” กู่ฉิงซานกล่าว
ฉินรั่วขบคิดสักพัก ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา และซับเลือดบนใบหน้าของกู่ฉิงซานอย่างระมัดระวัง
“เจ้าไม่จำเป็นต้อง-” กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปาก
“อย่าขยับนะ” ฉินรั่วเอ่ยดุออกมา “อย่าลืมสิ ว่าข้ากับว่านเอ๋อเป็นสาวใช้ของฉีหยาน ดังนั้นนับจากนี้ไป เจ้าจะต้องคุ้นเคยกับการดูแลอย่างใกล้ชิดกับพวกเรา”
“พี่สาวพูดถูกแล้ว เจ้าไม่ควรปฏิเสธหรือทำดีกับเราจนเกินควรนะ” ว่านเอ๋อกล่าว
เธอหยิบเอาเม็ดฟื้นฟูวิญญาณออกมาด้วยสองนิ้วหยก จากนั้นก็แนบลงบนริมฝีปากของกู่ฉิงซาน
“คงต้องรบกวนพวกเจ้าแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวขออภัย
แล้วเขาก็กินเม็ดยารักษาของตน
ตอนนี้ เขาจะต้องแสดงละครเป็นฉีหยานให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หลังจากที่เขาเข้าสู่โลกอีกใบ ทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวของตนจะเกี่ยวพันธ์โดยตรงกับชีวิตและความตายของทั้งสาม และนั่นหมายความว่าเขาไม่อาจเลินเล่อได้
คิดแสดงเป็นม้า แต่หากเผลอพลั้งเผยกีบเท้าของลาออกมา สิ่งที่กำลังรอทั้งสามอยู่คงมิพ้นการสาปส่งชั่วนิรันดร์
“เช่นนั้นพวกเจ้าลองสังเกตดูหน่อยจะได้หรือไม่ ว่าความรู้สึกที่แตกต่างกันระหว่างเขาและข้าคืออะไร” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เขายืนอยู่ที่นั่น และทั้งคนทั้งร่างและการเคลื่อนไหว ล้วนเหมือนกับฉีหยานทุกประการ
แม้กระทั่งศักดิ์ศรีและความอหังการ์ที่เล็ดลอดออกมาก็ยังคล้ายคลึงกับฉีหยาน
ด้วยศักดิ์และความอหังการ์นี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการที่บุคคลๆนั้นใช้ชีวิตอยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์มาเนิ่นนาน และมันบ่งบอกถึงความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตน และสามารถถ่ายทอดมันออกมาได้ผ่านทั้งการกระทำและคำพูด
ฉินรั่วกับว่านเอ๋อตั้งใจมองอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และต่างก็ลอบยกย่องเขาอย่างลับๆ
ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะสามารถเลียนแบบได้แนบเนียนถึงขนาดนี้
“ทุกอย่างแนบเนียนหมด แต่ดูเหมือนว่าห้วงอารมณ์จะยังคงแตกต่างกัน” ฉินรั่วไตร่ตรองก่อนจะกล่าว
“ใช่ๆ ข้าก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน” ว่านเอ๋อกล่าวสนับสนุน
“เช่นนั้น แล้วความต่างที่ว่าคืออะไร? ”กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ฉีหยานผู้นี้ เป็นบุคคลที่มีห้วงอารมณ์แปรปรวน โหดร้ายเย็นชา สามารถสังหารคนได้โดยไม่กระพริบตาและไร้ซึ่งความปราณี –ดูเหมือนว่าเจ้าจะขาดกลิ่นอายชั่วร้ายที่ว่านั่นไป” ฉินรั่วเฉลย
กู่ฉิงซานหลับตาลง
เขาขยับกายแยกตัวออกไปไม่กี่ก้าว สักพักจึงเดินกลับมาพร้อมด้วยกลิ่นอายของตนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
เจตนาฆ่าอันเบาบางเล็ดลอดออกมาจากตัวเขา ส่งผลให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกอึดอัดอย่างไม่อาจเอ่ยอธิบายได้
ณ ตอนนี้ กู่ฉิงซานให้ความรู้สึกราวกับงูพิษ ที่พร้อมจะฉกกัดและแพร่พิษใส่ผู้คนได้ตลอดเวลา
“ร้ายกาจจริงๆ นี่เจ้าทำแบบนั้นได้อย่างไร?” ฉินรั่วเอ่ยสรรเสริญ
“ตราบใดที่ข้าจินตนาการว่าจะสังหารเจ้าด้วยคมดาบ ความรู้สึกและกลิ่นอายนี้ก็จักปรากฏขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าจะสามารถบรรลุได้ถึงระดับนี้” ว่านเอ๋อถอนหายใจ
“ก็ .. พอดีว่าข้าได้ไปศึกษาเกี่ยวกับทางด้านการแสดงมานิดหน่อยน่ะ”
กู่ฉิงซานกล่าว ขณะเดียวกันก็ชักดาบออกมา
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
ตามด้วยหญิงในชุดคลุมฟ้าโผล่ออกมาจากดาบ
“เป็นจิตแห่งดาบที่สวยจัง” ว่านเอ๋ออุทานออกมา
ขณะที่ฉินรั่วยังคงให้ความสนใจกับความงามของฉานนู่ ปากเอ่ยพึมพำเบาๆออกมา “จิตแห่งดาบร่างมนุษย์ช่างเป็นอะไรที่หาได้ยากยิ่ง กระทั่งข้าเองก็ยังไม่ทราบเลยว่าจิตแห่งดาบเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร”
ต้องไม่ลืมนะว่า เธอน่ะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธระดับสูงในขอบเขตพันวิบัติ และนอกจากนี้ เดิมตนเองยังเคยเป็นภุงบุตรสาวที่น่าภาคภูมิดั่งสวรรค์อวยพร ดังนั้นสายตาของเธอจึงนับว่าเป็นชั้นหนึ่งเช่นกัน
นอกจากนี้ เธอยังเห็นด้วยตาตนเองว่าฉานนู่ลอยออกมาจากดาบ ซึ่งนี่มันแตกต่างจากตอนของกู่ฉิงซานที่ในครั้งแรกเขาเห็นแค่ว่าฉานนู่บินออกมาจากเบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือนแต่มิได้เห็นดาบ สถานการณ์มันแตกต่างกัน
ดังนั้นการตัดสินถึงสถานะของฉานนู่จึงต่างกันออกไป
“นายน้อยกำลังมองหาข้าอยู่ใช่หรือไม่?” ฉานนู่เอ่ยถาม
ขณะเดียวกันเธอก็กำลังถือใบหยกในมือ
“เจ้าได้อ่านข้อมูลภายในนั้นเสร็จสิ้นแล้วรึยัง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“หลังจากอ่านจบ ข้าก็พอจะเข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบันโดยประมาณแล้ว” ฉานนู่กล่าว
“เนื่องเพราะสถานการณ์นับจากนี้ไปค่อนข้างที่จะอันตราย ข้าจึงยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าหากข้าปลอมตัวแล้ว มันจะเบี่ยงเบนจากการเป็นเป้าสนใจได้หรือไม่”
“เบี่ยงเบนความสนใจจากอะไร?”
“ก็เบี่ยงเบนความสนใจที่คนอื่นมีต่อข้าไปยังเป้าหมายอื่นอย่างไรเล่า”
กู่ฉิงซานเอ่ยต่อ “บุตรชายของผู้นำจะกลับมายังนิกาย มันย่อมต้องดึงดูดความสนใจจากหลายๆฝ่ายเป็นแน่ –ทว่าข้ายังไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับอัตลักษณ์ของฉีหยานได้อย่างเต็มที่ แม้จะมีรูปร่างลักษณะเหมือนกันกับเขา แต่ขณะเดียวกันก็จักต้องไม่เผยกีบเท้าลาออกมาเช่นกัน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเบี่ยงเบนความสนใจจากข้าไปยังเจ้า”
“มายังข้า?”
เมื่อฉานนู่ได้ฟังเธอก็เริ่มสับสน จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “เช่นนั้นแล้วข้าสมควรทำอย่างไร?”
ว่านเอ๋อเตือน “ฉีหยานเป็นคนที่หมกหมุ่นในตัณหา – หากเจ้าต้องการจะให้นางเป็นสาวใช้ หลายคนจะยอมรับเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว และจะละความสนใจจากเธอไปอย่างง่ายดาย”
“เรื่องนั้นข้าเข้าใจ เพราะอย่างงั้นฉานนู่ เจ้าจงสวมหน้ากากเป็นลูกศิษย์ของข้าเสีย” กู่ฉิงซานกล่าว
“คนอย่างฉีหยานจู่ๆก็รับลูกศิษย์แล้วพากลับมาอย่างกระทันหัน เรื่องนี้ผู้คนมากมายจักต้องตกใจเป็นแน่”
“พวกเขาจะต้องเพ่งความสนใจมายังเจ้าอย่างแน่นอน และพยายามจะค้นหาว่าต้นกำเนิดของเจ้ามาจากที่ใด และเพราะเหตุใดจึงถูกยอมรับมาเป็นลูกศิษย์ได้”
“หากเป็นในกรณีนั้น พวกเขาก็จะเบี่ยงเบนความสนใจไปยังเจ้ามากกว่าข้า”
“ถูกอย่างที่นายน้อยกล่าวแล้ว” ฉานนู่ตอบ
“ช้าก่อน แต่นางคือจิตแห่งดาบนะ” ฉินรั่วทนไม่ไหวต้องเอ่ยแทรก “หากจิตแห่งดาบปรากฏตัวออกมา ผู้ฝึกยุทธมากมายในขอบเขตพันวิบัติและขีดสุดความว่างเปล่าย่อมสามารถมองทะลุตัวตนที่แท้จริงของนางได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก”
รังสีดาบกระพริบไหว
เขาตัดเส้นเลือดในข้อมือของตนเองออก แล้วหันไปพูดกับฉานนู่ “มานี่สิ”
ฉานนู่เดินไปข้างหน้าและใช้สองมือคว้าจับเลือดในข้อมือของกู่ฉิงซานที่กำลังหยดย้อยลงอย่างช้าๆ
หลังจากนั้นหลายลมหายใจ
“เพียงพอแล้ว” ฉานนู่กล่าว
“แน่ใจใช่ไหม?”
“ใช่ เพียงพอแล้ว”
กู่ฉิงซานจึงปิดปากแผล และพูดออกมาว่า “ถ้าอย่างงั้น ตอนนี้เจ้าก็จงใช้มันเสีย”
“เจ้าค่ะนายน้อย”
ฉานนู่หลับตาลง และเริ่มใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตด้วยเลือดของกู่ฉิงซาน
ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ‘ทรงปัญญา’ ส่งผลให้เธอสามารถใช้ทักษะและประสบการณ์ทั้งหมดของกู่ฉิงซานได้
และเนื่องด้วยพลังของเธอนั้นมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่จำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณเลย
กู่ฉิงซานแข็งแกร่งแค่ไหน เธอก็จะแข็งแกร่งเท่านั้น
“ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต : คุณจะได้เรียนรู้ที่จะแยกแยะความแตกต่างของแต่ละองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของการดำรงอยู่ต่างๆ และจะได้รับความสามารถในการปรับตัวเองให้เป็นชนิดเดียวกันกับการดำรงอยู่นั้นได้”
“คำอธิบาย : คุณต้องได้รับส่วนประกอบของการดำรงอยู่ชนิดนั้น เพื่อแยกแยะลักษณะ และกฏเกณฑ์ในตัวมันเสียก่อน คุณจึงจะสามารถอำพรางปลอมตัวเป็นการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตนั้นๆได้”
และเลือด ก็คือหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกายมนุษย์!
หลังจากนั้นไม่นาน สรีระลักษณะของฉานนู่ก็ค่อยๆกลายมาเป็นกู่ฉิงซาน
แต่ในทางกลับกัน ขณะนี้กู่ฉิงซานได้กลายเป็นฉีหยานอยู่
นี่เหมือนว่าจะดูยุ่งเหยิงไปสักเล็กน้อย ….
เห็นแค่เพียง ‘กู่ฉิงซาน’ โน้มกายถอนสายบัวไปทาง ‘ฉีหยาน’ ปากเอ่ยถาม “นายน้อย ท่านคิดว่าข้าดูเป็นอย่างไรบ้าง”
‘ฉีหยาน’ ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าละเอียดอ่อน “ก็ดีนี่ … แต่ช่วยอย่าเคลื่อนกายหรือทำอะไรที่มันดูเหมือนกับผู้หญิงจะได้ไหม”
“เจ้าค่ – ขอรับ”
ฉานนู่ได้สติทันที เธอกำลังขบคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมตามปกติของกู่ฉิงซาน ก่อนจะยืดอก เชิดหัวขึ้น ยืนหลังตรง
‘ฉีหยาน’ เฝ้ามองและขบคิดอยู่สักพักจึงกล่าวว่า “หลังจากนี้ไปเจ้าก็เรียกข้าว่าอาจารย์นะ”
‘กู่ฉิงซาน’ สะบัดกำปั้นประสานเข้ากับฝ่ามือ ปากเอ่ยตะโกน “ศิษย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบท่านอาจารย์”
‘ฉีหยาน’ เอ่ยด้วยความพอใจ “ใช่นั่นแหละ ดีมาก”
ฉานนู่เอ่ยออกมาอย่างขาดความมั่นใจ ปากเอ่ยถาม “ทั้งหมดนี้ดีแล้วจริงๆหรือ? แต่ข้าดูไม่เหมือนท่านเลยนะ นายน้อย ท่านต้องการให้ข้าใช้ทักษะการแสดงของท่านด้วยไหม?”
“มันไม่เป็นไรหรอก เพราะในโลกใบนั้นไม่มีใครเคยเห็นข้ามาก่อน ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเลียนแบบพฤติกรรมเดิมของข้าก็ได้ … ขอแค่ไม่ทำท่าทีราวอิสตรี พฤติกรรมอื่นๆก็ไม่สำคัญ”
ฉานนู่ผ่อนคลายลงและพยักหน้า “เช่นนั้นข้าว่าข้าย่อมสามารถทำมันได้อย่างแน่นอน”
ฉินรั่วกับว่านเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆจ้องมองฉากนี้อย่างโง่งม
……
กลางค่ำคืน
อุณหภูมิลดต่ำลงชนิดที่ว่าน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง
บนผืนดินช่างสงบและเงียบงัน
ขณะที่มีเกาะลอยฟ้ามากมายกระจายตัวกันไปดั่งดวงดารา ปกคลุมหนาแน่นทั้งผืนฟ้า
ดวงจันทร์ของโลกใบนี้ได้หายไปนานแล้ว ดังนั้นความมืดมิดจึงปกคลุมทุกสิ่ง
สักพักหนึ่ง
บนเกาะธรรมดาๆที่ลอยอยู่ในอากาศ หินสีเทาหลายร้อยก้อนก็เริ่มที่จะสั่นไหว
ท่ามกลางความเงียบ เริ่มบังเกิดร่องรอยของรูปแบบค่ายกลลึกลับ
และค่ายกลก็เริ่มก่อตัวขึ้น
ฟุบ!
ทันใดนั้นเอง รอยแยกมิติก็เปิดออก พร้อมกับบางสิ่งที่ค่อยๆลดระดับลงกับพื้นดิน
มันคือดิสก์ค่ายกลขนาดเล็ก
เมื่อมันสัมผัสถึงพื้น ตัวดิสก์ก็เกิดการระเบิดออก แตกกระจายเป็นเศษผงทันที
ดิสก์ค่ายกลได้เสียหายโดยสมบูรณ์แล้ว
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ
สี่ร่างก็ปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า ลงตกลงแถวๆค่ายกลนั่น
ตามด้วยเสียงของผู้หญิงที่ดังขึ้นพร้อมกัน
“เปิดใช้งานค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก”
ขณะที่เสียงผู้หญิงอีกคนกล่าวออกมาว่า “บริเวณโดยรอบทุกอย่างปกติดี ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว”
ด้วยสองประโยคนี้ที่เปล่งออกมา ส่งผลให้บรรยากาศดูเหมือนจะผ่อนคลายลง
“ว่านเอ๋อ เจ้าจัดการดูเรื่องเวลาโชคลางซิ” เสียงของกู่ฉิงซานดังขึ้น
เขายกมือขึ้นจับขอบหมวกไม้ไผ่ และปรับองศามันให้สายตาสามารถมองสำรวจโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้ได้
ว่านเอ๋อตบลงในถุงสัมภาระและหยิบยันต์สีดำออกมา
แล้วเธอก็กระตุ้นพลังวิญญาณลงไปในยันต์
ทันใดนั้นเอง สองตัวอักษรที่ถูกสร้างขึ้นจากเส้นแสงสีขาวเรืองรองก็ปรากฏขึ้น
‘ดี’ และ ‘ร้าย’
ทั้งสองคำนี้สลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว และในที่สุด ‘ดี’ ก็หายไป
“นายน้อย ช่วงเวลานี้คือลางร้าย” ว่านเอ๋อกล่าว
“หรืออีกความหมายนึงก็คือ พวกเราจะต้องพำนักอยู่ในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก เฝ้ารอให้ลางร้ายผ่านพ้นไปเสียก่อน แล้วจึงจะสามารถกลับไปยังนิกายได้ถูกต้องหรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“เป็นเช่นนั้น มันไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะเดินทางในเวลานี้ เพราะมีอันตรายรอบด้าน ร่างกายอาจดับสูญ จิตแห่งเต๋าอาจสลายไปได้ทุกที่ทุกเวลา”ฉินรั่วกล่าว
ฉานนู่เอ่ยพึมพำเบาๆ “นี่มันเป็นโลกที่อันตรายจริงๆ”
แน่นอน ว่าตอนนี้เธอปรากฏกายในรูปลักษณ์ของกู่ฉิงซาน
“ใช่แล้ว นี่แหละคือโลกที่กำลังใกล้จะถึงจุดจบล่ะ” ว่านเอ๋อกล่าว
“งั้นพวกเรารอกันก่อนก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาหยิบเอาฟูกออกมาหลายอัน แล้วมอบให้ทุกคนเพื่อที่จะได้นั่งลงอย่างสบายๆ
เกาะลอยฟ้าขนาดเล็กแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยค่ายกลอำพรางโดยสมบูรณ์ ดังนั้นนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาปลอดภัย
“ถึงแม้ว่าข้าจะได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมันมาบ้าง แต่ก็อยากจะรู้จริงๆนะว่า เจ้าสิ่งที่อยู่ภายนอกในช่วงเวลานี้มันเป็นการดำรงอยู่แบบใดกันแน่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นเอง ในอีกไม่กี่ลมหายใจต่อจากนี้” ฉินรั่วกล่าว
“เวลานี้ พวกเราจะสามารถมองเห็นถึง ‘ร่างแยกไร้จิตสำนึก’ ได้ – นายน้อยโปรดจับตาดูให้ดีด้วย” ว่านเอ๋อกล่าว
เธอหยิบก้อนหินก้อนเล็กๆขึ้นมาจากพื้นดิน ทำการถ่ายเทพลังวิญญาณ แล้วโยนมันออกไป
หินเล็กแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา และทะลุออกจากค่ายกล
เนื่องจากมีพลังวิญญาณแนบมาด้วย ดังนั้นแรงส่งของหินเล็กจึงไม่อ่อนโทรมลง มันบินออกจากเกาะลอยที่พวกเขาพำนักอยู่ด้วยความเร็วคงที่
ทันใดนั้นเอง ปากสีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด และงับ! เข้าใส่หินเล็กก้อนนั้นทันที
กร๊อบ กร๊อบ
ปากใหญ่สีดำกำลังเคี้ยวหิน และครู่หนึ่งมันก็หายไป
“กล่าวได้ว่าช่วงเวลาที่มันกำลังตื่น ก็จะเป็นช่วงเวลาลางร้าย และผู้ฝึกยุทธจะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณใดๆได้สินะ” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ถูกต้อง นี่คือร่างแยกไร้จิตสำนึกของมัน และเมื่อมันรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณใดๆ มันก็จะพุ่งเข้าหา และกลืนกินทันที” ว่านเอ๋อกล่าว
“แล้วถ้าหากมีการต่อต้านขัดขืนโดยตัวตนที่ทรงพลังอำนาจ ร่างแยกไร้จิตสำนึกก็จะสลายตัวไป และถูกแทนที่ร่างแยกที่มีจิตสำนึกแทน ทว่าหากมันยังมิอาจกำจัดผู้ขัดขืนได้อีก ร่างหลักของมารโลกาก็จักมาด้วยตนเอง”
“แล้วผู้ใดบ้างที่จะสามารถโค่นร่างหลักของมันได้? ตัวตนสุดแกร่งอย่างขอบเขตลมปราณจิตนี่สู้ได้ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองหน้ากันวูบหนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวโดยพร้อมเพรียง