Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ - ตอนที่ 437
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.437 – จิ้งจอกขาว
ว่านเอ๋อรีบก้าวนำขึ้นไปเพื่อที่จะเปิดประตูให้เขาอย่างรวดเร็ว
แล้วทั้งสี่ก็เดินออกมา
และพบกับผู้ฝึกยุทธคนที่มารายงาน เขายังคงยืนรออยู่แม้จะผ่านมาสักพักแล้วก็ตาม
นั่นเพราะเจ้าตัวรู้ดี ว่าการหารือในครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตนจึงมิกล้าจากไปหากยังไม่เห็นว่าฉีหยานยังไม่ออกมา และเมื่อเห็นทั้งสี่ออกมา เขาก็รีบนำทางไปทันที
หลังจากเดินมาได้สักพัก พวกเขาก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของเกาะลอยฟ้า
มันเป็นแท่นเวทีสูงในพื้นที่เปิดโล่ง
กู่ฉิงซานมองขึ้นไปบนเวที
แม้ว่าจะไม่มีสิ่งใดเป็นรูปธรรมกีดขวางอยู่โดยรอบแท่นเวทีก็ตามที ทว่ามันกลับถูกจัดวางไว้ด้วยค่ายกลปกปักษ์นับหลายสิบ!
ซึ่งนี่แค่ในกรณีเผื่อไว้
เผื่อไว้ในกรณีที่ยันต์พยากรณ์มีบางอย่างผิดปกติ หรือมารโลกาจู่ๆก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน เหล่าผู้มีอำนาจในนิกายจะได้หลบหนีออกไปได้ก่อนเป็นคนแรกๆ (เพราะค่ายกลที่ว่านี้ถูกตั้งไว้ในตำแหน่งสูง ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานที่ๆเหล่าตัวตนระดับสูงพำนักอยู่)
ยิ่งหลบหนีได้เร็วเท่าไหร่ ไม่ว่าจะหนึ่งนาที หรือหนึ่งวินาที ผลลัพธ์ก็ยิ่งแตกต่างออกไปมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะเอาชีวิตรอด!
บนเวที ขณะนี้มีคนหลายคนกำลังนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
หนึ่งเป็นหญิงทรงเสน่ห์ในวัยผู้ใหญ่ สวมใส่ชุดคลุมขนนกสีขาวนวลดั่งจันทรา
ขณะที่อีกคนเป็นชายร่างใหญ่ที่ดูแข็งแรง ช่วงบนเปลือยเปล่า ปราณและเลือดลมในร่างกายไหลเวียนสูบฉีดจนพวกมันฟุ้งออกมาเป็นหมอกหนา กระจายอยู่รอบตัวเขา
ทั้งสองเพียงแค่นั่งอยู่ที่นั่นและมิได้ขยับกายไปไหน ทว่าความผันผวนทางพลังวิญญาณกลับโหมกรรโชกราวกับพายุ ส่งผลให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งนัก
นี่คือปรมาจารย์ตำหนักหนิงเยว่ -เย่หยิงเหมย และปรมาจารย์ตำหนักเจียงซี – เซ่าหวูชุ่ย
ทั้งสองเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นยอดที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า
ขณะที่เบื้องหลังทั้งสอง มีเหล่าผู้ฝึกยุทธหนุ่มสาวยืนกระจัดกระจายตัวกันไปอยู่รอบๆ คาดว่าไม่เป็นลูกศิษย์ก็คงไม่พ้นผู้ติดตาม
ทว่าที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็นจิ้งจอกขาว
มันเป็นจิ้งจอกขาวที่สวมใส่หน้ากากใบหน้าของหญิงสาว ตัวมันกำลังนั่งยองๆอยู่ไกลออกไปจากอีกมุมด้านหนึ่งของแท่นเวที
หน้ากากผู้หญิงนี้ดูเหมือนจริงมาก มีรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ ครอบครองดวงตาที่ค่อนข้างมีเสน่ห์และดึงดูดเล็กน้อย
กู่ฉิงซานยืนอยู่ใต้เวที นิ่งงันไปชั่วขณะ
สำหรับปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองเขารู้จักดี แต่จิ้งจอกขาวกลับพึ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรก
แต่แล้วในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ปรากฏคำบอกเล่าของฉินรั่วกับว่านเอ๋อผุดขึ้นมาในยามที่เพียงเธอกำลังอธิบายเกี่ยวกับโลกใบนี้
เห็นแค่เพียงหน้ากากหญิงสาวบนใบหน้าของจิ้งจอกขาว ปรากฏรอยแต้มคล้ายกลีบดอกบัวสีชมพูอยู่ตรงระหว่างคิ้ว
จากข้อมูลที่ถูกรวบรวมมาโดยฉินรั่วกับว่านเอ๋อ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นมีมีรอยแต้มดังกล่าวนี้
ผู้นำแห่งนิกายลั่วชาเฟิง – ลั่วชานู่*
*(ลั่วชาเป็นภาษาจีน ภาษาไทยคือ รากษส) (นู่ คือสตรี) = สตรีแห่งรากษส
**(รากษส อ่านว่า ราก-สด นะครับมันจะแปลกๆหน่อยเป็นยักษ์ประเภทหนึ่งที่ดุร้ายทรงพลัง และสนแต่การกินเนื้อสิ่งมีชีวิต)
***(เพื่อไม่ให้สับสนกับลั่วชาเฟิง เวลาเรียกลั่วชานู่ ผมจะใช้คำว่า สตรีแห่งรากษส นะครับ)
ผู้ที่จะได้รับตำแหน่งสตรีแห่งรากษสในแต่ละรุ่น จักต้องสังหารผู้ฝึกยุทธหญิงระดับสูงกว่า 7 คน และผู้ฝึกยุทธชายอีกกว่า 21 คน เพื่อที่จะได้รับสิทธิ์ในการสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษส
และเมื่อได้รับการสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์รากษสแล้ว จะมีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ตามมา
สิ่งแรกก็คือ ได้รับการยอมรับจากรากษส แล้วสามารถสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษสได้ จากนั้น บริเวณหว่างคิ้วของคนดังกล่าวก็จะปรากฏรอยแต้มที่อันเป็นเอกลักษณ์ออกมา
สิ่งที่สองก็คือ ถูกรากษส เกลียดชังและปฏิเสธ – ซึ่งผู้ที่ซวยโดนเกลียดชัง จักถูกมอนสเตอร์อันน่าสะพรึงที่ปรากฏกายขึ้นจากในความว่างเปล่ากลืนกินไปทันที
ด้วยเหตุนี้ —รากษสจึงได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นเทพเจ้าแห่งวิญญาณชั่วร้าย!
หากสามารถได้รับสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษสได้อย่างแท้จริง คนผู้นั้นก็จะได้รับการยอมรับว่าเป็นสตรีแห่งรากษส และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป กระทั่งเหล่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตในนิกาย ก็จักต้องก้มหัวและภักดีต่อสตรีแห่งรากษส
และผู้ฝึกยุทธที่ได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษส ก็จักปรากฏรอยแต้มในตำนานตรงตำแหน่งหว่างคิ้ว
ซึ่งนี่จะเป็นตัวบ่งบอกว่าผู้ฝึกยุทธคนนั้นได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษสมาไว้ในครอบครองแล้ว
สำหรับพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษส กล่าวได้ว่ามันมิใช่พลังศักดิ์สิทธิ์จากโลกใบนี้
—หมื่นปีมาแล้ว ที่รอยแต้มบนหน้าผากของสตรีแห่งรากษส จะไม่เหมือนกัน ดังนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาก็ย่อมแตกต่างกันเช่นกัน
สตรีแห่งรากษสคือสุดยอดปรมาจารย์แห่งลั่วชาเฟิง เป็นผู้ที่มีทั้งความแข็งแกร่งอันเด็ดขาด , สถานะอันสูงส่ง กล่าวได้เลยว่าในรอบหมื่นปี ผู้ฝึกยุทธที่สามารถเรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษสและขึ้นมาเป็นสตรีแห่งรากษสได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น!
แต่สำหรับในเรื่องนี้แล้ว ทุกอย่างล้วนเกือบจะเป็นความลับสุดยอดของลั่วชาเฟิง และมีเพียงน้อยคนนักที่จะได้รู้เรื่องนี้
แท้จริงแล้วฉินรั่วกับว่านเอ๋อเองก็ยังไม่สามารถตระหนักได้ว่าสตรีแห่งรากษสในรุ่นนี้ทรงพลังถึงเพียงใด
ทว่าการดำรงอยู่ของตัวตนที่แปลกประหลาดเช่นนี้ กล่าวได้ว่าภายในโลกล่องเวหา ล้วนไม่มีผู้ใดที่ต้องการจะเผชิญหน้า
และหน้ากากหญิงสาวที่จิ้งจอกขาวสวมใส่อยู่ คงมิแคล้วคือใบหน้าของสตรีแห่งรากษส -นี่พอจะบ่งบอกได้ว่ามันคืออสูรวิญญาณของเธอ
นี่แสดงให้เห็นว่าสตรีแห่งรากษส ก็คือแขกที่มาเยือนนิกายกวงหยางและให้ความสนใจเกี่ยวกับการหารืออย่างเป็นทางการในวันนี้
และเหตุการณ์นี้ยังได้รับการยินยอมจากพวกระดับสูงในนิกายกวงหยางแล้วอีกด้วย
ในหัวใจของฉินรั่วกับว่านเอ๋อบัดนี้กระวนกระวายจนหลุดลอยออกไปไกลแล้ว
พวกเธอไม่คาดหวังเลยว่า จู่ๆสตรีแห่งรากษสจะสนใจการหารืออย่างเป็นทางการของนิกาย แล้วส่งอสูรวิญญาณมาเยี่ยมเยือนถึงที่เช่นนี้
ในเวลานี้ มันชักจะเป็นการยากยิ่งกว่าเดิมซะแล้วสิ หากไม่ต้องการที่จะถูกเปิดเผย
กู่ฉิงซานเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นก้าวสู่เทพ แล้วเขาจะแก้สถานการณ์ปัจจุบันนี้อย่างไรดี?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะส่งจิตสัมผัสเทวะอันบางเบาออกไปเพื่อเฝ้าสังเกตกู่ฉิงซาน
แต่กลับเห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยกพัดขึ้นมา
—พัดอันงดงามของฉีหยาน
พัดถูกคลี่ออกอย่างช้าๆ หนึ่งมือโบกสะบัดมันเข้าหาตนเองอย่างแผ่วเบา สองเท้าค่อยๆก้าวเดินขึ้นไปบนแท่นเวที
“แล้วตาแก่เล่า?”
กู่ฉิงซานที่กำลังเดินขึ้นไปเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา
ตลอดทั้งนิกายกวงหยาง มีเพียงฉีหยานเท่านั้นที่กล้าเรียกผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าเช่นนั้น
“ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้มาที่นี่ แต่ตอนนี้พวกเรามีบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าจะต้องหารือ – ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของเจ้า?” เย่หยิงเหมยเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานลูบไล้ใบหน้าของเขา ปากเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา “ ก็แค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
เย่หยิงเหมยจ้องมองบาดแผลบนใบหน้าของกู่ฉิงซานอย่างพิถีพิถัน และรู้สึกตะหงิดๆใจเล็กน้อย
‘ผู้ใดกันที่สามารถสร้างบาดแผลลึกหลายแผลบนใบหน้าของฉีหยานได้?’
อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักเย่หยิงเหมยก็ตระหนักถึงคนแปลกหน้าที่ฉีหยานนำเข้ามาร่วมประชุม
วิสัยทัศน์ของเธอถูกดึงดูดโดยคนผู้นั้นทันที
‘เอ๊ะ? นี่มันชักจะน่าสนใจซะแล้วสิ’
คนอย่างฉีนหยาน ที่มักจะนำสาวใช้ติดตัวไปด้วยทุกที่ ครานี้กลับมีผู้อื่นปะปนเข้ามาด้วย
ขณะกำลังขบคิด เย่หยิงเหมยก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยัง ‘กู่ฉิงซาน’
ส่วน‘ฉีหยาน’ ก็ถูกละความสนใจออกไป แผนเบี่ยงเบนประสบความสำเร็จอีกครา
“เหอะ! เจ้าได้รับคำสั่งอันใดจากท่านผู้นำกัน เหตุใดผู้คนจำนวนหนึ่งในตำหนักซานเหว่ยจึงหายหัวไป แถมตัวเจ้าเองก็ยังได้รับบาดเจ็บอีก?” สองตาของเซ่าหวูชุ่ยหรี่แคบลง ปากเอ่ยตะโกนออกมา
คนจากสาขาซานเหว่ยทุกคนได้ถูกย้ำเตือนเอาไว้ว่าห้ามแพร่งพรายสิ่งใด และถูกนำพาไปยังโลกเทวะโดยฉีหยาน
และพวกเขาทั้งหมดได้ตกตายลงด้วยน้ำมือของมารสวรรค์แล้ว
กู่ฉิงซานเพียงแค่รับฟัง แต่มิได้ตอบสิ่งใดกลับไป
เขาเดินผ่านทั้งสองไปอย่างรวดเร็วและนั่งลงบนที่นั่งของเขา
“เอาล่ะ ในเมื่อข้าได้มาแล้ว ไหนลองบอกมาซิว่าทำไมการหารืออย่างเป็นทางการในครั้งนี้จึงจัดขึ้นก่อนกำหนด” เขากล่าว
“ปรมาจารย์ตำหนักฉี เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า!” เซ่าหวูชุ่ยจ้องมาทางเขา
กู่ฉิงซานหุบพัด ปากเอ่ยกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “สหายเซ่า นี่มันเรื่องของตำหนักซานเหว่ย เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ – และอีกอย่างเจ้ามิใช่แม่ข้าเสียหน่อย อย่าถามถึงอะไรจู้จี้จุกจิกให้มากความนัก เพราะมันน่ารำคาญ”
“ฉีหยาน เปล่งวาจาก้าวร้าวเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวลงไปนอนจูบกับพื้นด้วยน้ำมือข้าหรือ? อยากลองดูหรือไม่เล่าว่ามันจะมีรสสัมผัสเช่นไร?”
เซ่าหวูชุ่ยกำมือแน่น เค้นทุกคำพูดออกมาจากปาก
“เจ้าต้องการจะสู้งั้นรึ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรย์ “ก็แล้วจะทำไม เจ้ามันก็แค่พึ่งก้าวขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่า กล้าที่จะมาท้าทายข้าเชียวรึ?”
ฉีหยานได้มาถึงขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าแล้ว ซึ่งกระทั่งในโลกใบนี้ ก็ยังนับว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังยิ่ง!
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานเป็นเพียงก้าวสู่เทพขั้นปลาย และยังห่างไกลจากขอบเขตที่ว่านั่นอยู่หลายขุม
ขณะเดียวกัน แม้ฉีหยานจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า แต่หากเทียบเปรียบกับเซ่าหวูชุ่ยแล้ว ก็ยังนับว่าด้อยกว่า
หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ ตัวตนของกู่ฉิงซานก็จะถูกเปิดเผยทันที
ฉินรั่วอดไม่ได้ที่จะลอบชำเลืองมองไปทางกู่ฉิงซาน
แต่กลับเห็นแค่ว่าเขากำลังแสร้งแสดงท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อยออกมา
และการครุ่นคิดของเขา มันก็ได้ดึงดูดความสนใจจากเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยอย่างรวดเร็ว
เซ่าหวูชุ่ยกำลังจะเอ่ยปากอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกกู่ฉิงซานชิงตัดหน้าไปเสียก่อน
“ข้ารับคำท้าแน่หากเจ้าต้องการจะสู้ แต่ยามนี้คงต้องรอไปก่อน” สีหน้าของเขายังคงแสดงออกถึงความครุ่นคิด ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เพราะเหตุใด?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยด้วยความสงสัย
กู่ฉิงซานขมวดคิ้วและกล่าว “มีแขกผู้มีเกียรติอยู่ที่นี่ ดังนั้นอันดับแรกที่เจ้าต้องทำ มิใช่ว่าคือการสมควรที่จะหาชุดคลุมมาสวมใส่ก่อนหรอกหรือ หากข้าสู้พัวพันกับเจ้าในสภาพเปิดเผยเนื้อหนังเช่นนี้ เกรงว่าแขกผู้มีเกียรติอาจจะเข้าใจผิดได้ ถึงเวลานั้นหากข้าอธิบายสิ่งใดไป มันก็คงจะฟังไม่ขึ้นแล้ว”
เซ่าหวูชุ่ยนิ่งงันไป
บังเกิดความเงียบขึ้นโดยรอบ
บรรดาเหล่าลูกศิษย์ต่างก็พากันลดศีรษะลง เพื่อปกปิดถึงการแสดงออกทางสีหน้าของตน
ขณะที่จิ้งจอกขาวยกสองขาของมันขึ้นมาทำท่าทีปิดปากหน้ากากหญิงสาว ทั้งตนทั้งร่างส่ายไปมาด้วยความเหนียมอายเล็กน้อย
เซ่าหวูชุ่ยนิ่งงันไปกว่าสองลมหายใจ ก่อนจะเข้าใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายได้สื่อออกมา
อ้ายทารกวาจาเราะร้าย!
สารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า!!
ทั้งคนทั้งร่างของเซ่าหวูชุ่ยพลันระเบิดแรงกดดันออกมา
ปัง!
เจตนาฆ่าเอ่อล้นราวกับน้ำหลาก ส่งผลให้เหล่าสาวกทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะหวาดเกรง
กระทั่งฉินรั่วและว่านเอ๋อก็ยังต้องลดสายตาลง
พวกเธอเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติที่ด้อยกว่า แถมยังโดนผนึกความแข็งแกร่งเอาไว้อีก ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเซ่าหวูชุ่ยที่เป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า พวกเธอจึงยิ่งมิกล้าเงยหน้าขึ้น เพราะเกรงว่าคนอื่นจะตรวจพบถึงการแสดงออกที่ผิดปกติของตน
กู่ฉิงซานค่อยๆยกชาบนโต๊ะขึ้นมา และจิบอย่างแผ่วเบา
“ใครก็ได้ มาที่นี่ที ช่วยมาจัดตั้งค่ายกลปิดล้อม ท่านแขกผู้มีเกียรติจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับผลพวงจากการต่อสู้ระหว่างข้ากับปรมาจารย์ตำหนักเซ่า”
เขายังคงกล่าวอย่างสงบ
สองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าจะสู้กัน นั่นย่อมหมายถึงค่ายกลนับไม่ถ้วนที่จะถูกทำลายลง
และที่นี่ยังเป็นพื้นที่หลักของนิกายกวงหยางอีก …
การต่อสู้ระหว่างพวกเขาย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงที่จะเกิดการทำลายล้างอย่างรุนแรงในนิกายได้!
ปรมาจารย์ค่ายกลก้าวเข้ามา และมองไปยังปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ปรมาจารย์ตำหนักเซ่า เอ่อท่านลองมองรอบๆแล้วคิดดีๆดูก่อน … ”
เขาไม่กล้าที่จะขัดใจฉีหยาน ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าที่จะขัดใจเซ่าหวูชุ่ยเช่นกัน
ยามนี้ฉีหยานได้เปล่งวาจาออกมาแล้วว่าหากเซ่าหวูชุ่ยตกลง เขาก็จะเปิดค่ายกลทั้งหมดเพื่อทำการต่อสู้ จากนั้นก็จะไม่มีกล้ามาตำหนิเขาได้อีก
เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้ เห็นแค่เพียงจิ้งจอกขาวที่เอ่ยปากออกมาทันใด “อันที่จริงแล้วข้าก็สนใจการต่อสู้ระหว่างคนระดับสูงของนิกายกวงหยางอยู่เหมือนกัน ข้าสามารถอยู่ที่นี่เพื่อร่วมรับชมจะได้หรือไม่?”
พอได้ยิน แรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างของเซ่าหวูชุ่ยก็ซบเซาลงทันที
จิ้งจอกขาวคืออสูรวิญญาณของสตรีแห่งรากษส ไม่ว่ามันจะเดินไปที่ใดในโลกใบนี้ มันก็จะเปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของเธอ
หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลั่วชาเฟิงแล้วนั้น เซ่าหวูชุ่ยจำต้องบังคับตนให้สงบลง และพิจารณาให้รอบคอบ
–นี่เขาต้องการที่จะต่อสู้ต่อหน้าแขกจากนิกายอื่นจริงๆหรือ
การกระทำเช่นนั้น มันน่าเกลียดเกินไปที่จะกล่าว
ฉีหยานมันสามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ก็จริง แต่นั่นเพราะมันเป็นคนสารเลวอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามสำหรับเซ่าหวูชุ่ย … เขามิอาจทำเช่นนั้นได้
ด้วยจิ้งจอกขาวที่มาที่นี่ แถมยังมาในฐานะตัวแทนของสตรีแห่งรากษสที่กำลังให้ความสนใจกับการหารืออย่างเป็นทางการในครั้งนี้อีก
กล่าวง่ายๆว่ามันคือตัวแทนที่ถูกส่งมาเยี่ยมเยือนนิกายล่วงหน้า แล้วหลังจากนั้น ผู้คนจากนิกายลั่วชาเฟิงก็จะมาสมทบจริงๆในภายหลัง
เมื่อถึงเวลาที่คนอื่นๆได้เดินทางมายังนิกายกวงหยาง แต่แท้จริงแล้วกลับพบเห็นว่าสองปรมาจารย์ตำหนักแห่งนิกายกำลังฆ่าฟันกันเอง แถมยังสร้างความเสียหายต่อพื้นที่หลักของนิกาย นี่มันจะมิเป็นการสร้างเรื่องราวขบขันให้ผู้คนหัวร่อกันจนฟันร่วงหรอกหรือ?
ใครๆก็รู้ว่าเจ้าฉีหยานน่ะมันเป็นคนไร้ยางอาย มิสนใจเรื่องนี้หรอก
แต่สำหรับเซ่าหวูชุ่ยล่ะ?
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด เขาจำเป็นต้องพิจารณาถึงภาพรวมเป็นหลัก
แถมเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันธ์กับท่านอาจารย์อีก …
เมื่อตนเองอยู่ต่อหน้าแขกสำคัญ แต่กระทำการไม่ยั้งคิด แล้วนับจากนี้ไปท่านอาจารย์จะมองเขาเป็นตัวอะไร?
เซ่าหวูชุ่ยแข็งค้างอยู่ในจุดเดิม
“ปรมาจารย์ตำหนักทั้งสอง โปรดสงบใจลงก่อน!”
เย่หยิงเหมยยืนขึ้นและเข้ามาขวางเซ่าหวูชุ่ย
“สหายเซ่า แขกผู้มีเกียรติมาเยือนที่นี่ เรื่องบาดหมางกับปรมาจารย์ตำหนักฉีในตอนนี้ก็ลืมมันไปก่อนเถิด อย่าพึ่งเก็บมาใส่ใจเลย”
“ปรมาจารย์ตำหนักฉี เจ้าเองก็ไปรับการรักษาให้หายดีเถอะ ท้ายที่สุดนี้ พวกเราทุกคนล้วนเป็นปรมาจารย์ตำหนัก เป็นขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า เหตุใดจึงต้องสู้กันทุวี่วันด้วยเล่า?”
เธอกระตุ้นเตือนทั้งสองฝ่าย
“ศิษย์น้องหยิงเหมยกล่าวได้เหมาะสมแล้ว”
กูฉิงซานวางถ้วยชาลงราวกับว่าเขาลืมเรื่องราวที่พูดกับเซ่าหวูชุ่ยไปจนสิ้น
เขามองไปยังจิ้งจอกขาว และอดไม่ได้ที่จะกวาดสายตาสำรวจมัน
ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจจิ้งจอกขาวเป็นพิเศษ แต่ก็มิได้คิดจะพูดอะไรกับมัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับเซ่าหวูชุ่ยแล้ว ตัวเขาขณะนี้ราวกับกำลังยืนอยู่กลางเชือกที่ถูกขึงจนตึงระหว่างยอดเขาสูง เขาไม่รู้ว่าสมควรจะทำเช่นไรดี จะไปต่อก็ไม่ได้ แต่จะให้ถอดใจก็ไม่ยินดีเช่นกัน –บังเกิดช่วงเวลาแห่งความลำบากใจขึ้นครู่หนึ่ง
เซ่าหวูชุ่ยทั้งลังเลและครุ่นคิด แต่ในที่สุดก็สรุปได้ว่าเวลานี้มันไม่เหมาะสมจริงๆ เขาจึงจำต้องโยนความโกรธเอาไว้เบื้องหลัง หย่อนก้นนั่งลงแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม