Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ - ตอนที่ 461
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.461 – จุดสิ้นสุดของนิกายกวงหยาง
นี่ก็เป็นระยะเวลานานมากแล้ว ที่ตลอดทั้งนิกายไม่มีสิ่งใดหลบรอดไปจากการสายตาของหวังหงษ์เต๋า
แต่ตอนนี้ จู่ๆก็ดันมีฉีหยานคนที่สองปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน?
ทันทีที่คิดได้ถึงจุดนี้ แม้กระทั่งคนอย่างหวังหงษ์เต๋าเองก็ยังเกิดความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ
แน่นอน ว่าเขามิได้หวาดกลัวฉีหยาน แต่เขาหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จักต่างหาก
เพราะสิ่งที่ไม่รู้จัก นั่นหมายถึง-
-ตัวแปรที่ไม่อาจควบคุมได้
หวังหงษ์เต๋าอดไม่ได้ที่จะเหยียดมือไปยังเบื้องหลัง และคว้ากุมด้ามจับกระบี่ประจำกายของตนเอาไว้
มันเป็นกระบี่ที่เขาพกติดตัวตลอดเวลา
ในอดีตที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่เฉียนซานเย่ถูกสังหาร เขาก็เคยแสดงอาการคว้ากุมด้ามจับกระบี่ที่อยู่เบื้องหลังแบบนี้เช่นกัน
ในช่วงนานปีที่ผ่านพ้น น้อยคนนักที่จะมีความสามารถมากพอที่จะให้เขาชักกระบี่ยาวออกมาอีกครั้งได้
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาตลอดทั้ง 500 ปี มีเพียงฉีรั่วหยาคนเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ฉีรั่วหยามันก็ได้ตายไปแล้ว
ตกตายลงภายใต้คมกระบี่ของตนเอง
หวังหงษ์เต๋ากุมกระบี่ในมือ ขณะที่หัวใจของเขาค่อยๆสงบลง
แล้วเจ้าตัวก็เริ่มใช้สมองตริตรอง
มิผิดแล้ว
ฉีหยานจะต้องมีสองคนอย่างแน่นอน
มีเพียงข้อสรุปนี้ข้อเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างสมเหตุสมผล
มิฉะนั้นแล้ว คำมั่นสาบานต่อฟ้าดินย่อมไม่ถูกยอมรับอย่างแน่นอน
ชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ
ฉีหยานสองคนอย่างงั้นหรือ ….
เช่นนั้น แล้วคนใดกันที่เป็นตัวจริง?
หรือว่าฉีหยานที่เห็นจากหวูซานจะเป็นตัวปลอม? ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะอีกฝ่ายครอบครองพิกัดของโลกใหม่เอาไว้อย่างชัดเจน
หรือว่าฉีหยานอีกคนในเวทีหารือจะเป็นตัวปลอม? ก็ไม่น่าจะใช่เช่นกัน เพราะฝีปากและสมองของเขาหลักแหลมถึงขั้นสามารถโน้มน้าวใจเย่หยิงเหมยได้ – นี่แสดงให้เห็นว่าเขาคุ้นเคยกับเย่หยิงเหมยเป็นอย่างดี จะต้องเคยสนทนากันจนล่วงรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย และวิธีในการที่จะชักชวนเธอ
เย่หยิงเหมยน่ะอยู่ภายใต้การควบคุมของหวังหงษ์เต๋ามานานปี นอกเหนือไปจากเซ่าหวูชุ่ยกับฉีหยานแล้ว คนอื่นๆก็แทบจะไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลย ดังนั้นการที่ฉีหยานรู้จักเธอดี ย่อมบ่งบอกว่าเขาเป็นตัวจริงอย่างแน่นอน
….
หวังหงษ์เต๋าขบคิดอยู่พักหนึ่ง แต่กลับพบว่ามันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินให้ได้คำตอบที่ชัดเจนแบบเด็ดขาดอยู่ดี
ทว่าเมื่อลองคิดกลับกันถึงอีกเรื่องราวหนึ่ง จู่ๆเขาก็หัวเราะขึ้นทันใด
ฉีรั่วหยาช่างโง่เง่านัก ที่คิดทำการทะลวงขอบเขตอย่างเต็มรูปแบบ ฆ่าตัวตายชัดๆ
อีกฝ่ายคงไม่ทันคิดเลยด้วยซ้ำ ว่าตัวหวังหงษ์เต๋าจะลอบลงมือเช่นนี้
แต่ทุกอย่างช่างซับซ้อนยิ่งกว่า เพราะกลับกลายเป็นหวังหงษ์เต๋าเสียเองที่ไม่ทันคาดคิดว่า แท้จริงแล้วบุตรชายของฉีรั่วหยาจะมีลูกเล่นเล็กๆน้อยๆเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ฉีหยานเป็นเพียงนายน้อยเสเพลในนิกาย วิสัยทัศน์ของมันผู้นี้ตื้นเขินเกินไป
มันยังเด็กเกินไปที่จะมาใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเขา
ขณะที่หวังหงษ์เต๋ากำลังคิด เขาก็หยิบยันต์ใบหนึ่งออกมา
เขาหันไปเอ่ยปากพูดกับยันต์ “ทำการแจ้งเตือนไป ตอนนี้ในทัน-”
แต่ยังไม่ทันกล่าวจนจบประโยค หวังหงษ์เต๋าก็ชะงักไป เขาก้มลงมองชุดคลุมยาวของตนที่เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือด
การที่จะต้องไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นในสภาพนี้ มันคงเป็นเรื่องที่น่าอับอายไม่น้อย
หวังหงษ์เต๋าจึงหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า
“หลังจากนี้อีกครึ่งชั่วยาม ขอให้ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในนิกายไปรวมตัวกันเบื้องหน้าเวทีหารือ ข้ามีบางสิ่งที่ต้องการจะกล่าว”
สิ้นเสียง พลังวิญญาณก็ถูกถ่ายเทเข้าไปในยันต์
และยันต์ก็ลุกไหม้ แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟพุ่งออกไปทันที
หวังหงษ์เต๋าควักแมลงมารออกมาจากอกของเขา
เขาก้มลงมองกลุ่มแมลงมาร ปากเอ่ยพึมพำเสียงต่ำกับตนเอง
“มันไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะฝากฝังพิกัดของโลกใหม่ให้ผู้ใดดูแล เพราะตราบใดที่ข้าผู้ชราคนนี้มีอำนาจควบคุมคนในนิกายทั้งหมด สุดท้ายคนที่เจ้าไว้วางใจก็จักถูกเปิดเผยอยู่ดี”
“เรื่องนี้จะไม่นับว่าเป็นปัญหาอีกต่อไป”
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ หวังหงษ์เต๋าก็บังเกิดความลังเลเล็กน้อย
ต้องไม่ลืมนะว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายของตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญ ทว่าแน่นอน ว่าโลกใหม่ก็สำคัญไม่แพ้กัน และมีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่สำคัญเท่ากับทั้งสองสิ่งที่พึ่งกล่าวมานี้ นั่นก็คือ ‘นิกาย’
นิกายแห่งนี้ … นิกายที่ไม่ว่าผู้ใดก็มักจะอ้าปากร้องขอแต่ศิลาวิญญาณ
แล้วเหตุใดจึงยังต้องเลี้ยงพวกมันต่อไปให้เปลืองทรัพยากรด้วยเล่า?
ฉีรั่วหยาก็ตายไปแล้ว คราวนี้ยังจะมีใครสามารถขัดขวางตัวเขาได้อีก?
เมื่อหวังหงษ์เต๋าคิดมาถึงจุดนี้
ท่าทีการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง สองมือประสาน ประกบแปรผันท่าร่างวิชาลับอย่างไม่รู้จบ
พลังวิญญาณถูกผลักดันเข้าสู่สองมือ เพื่อทำการกระตุ้นออกด้วยวิชาลับอย่างต่อเนื่อง
วิชาลับเริ่มทำงาน
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ
ก็เห็นแค่เพียงแมลงมารหลากสีสัน คืบคลานออกมาจากกระเป๋าชุดคลุมตรงเอวของหวังหงษ์เต๋า
มันเป็นแมลงมารที่มีขนาดเพียงนิ้วก้อย ร่างของมันส่ายไปมาเบาๆ ก่อนจะเริ่มออกตัวบินหายไปในท้องฟ้าอันมืดมิดในช่วงเวลา ‘ลางร้าย’
แล้วต่อมาหลังจากนั้น แมลงนับไม่ถ้วนก็ค่อยๆคืบคลานตามๆกันออกมาจากกระเป๋าชุดคลุมของหวังหงษ์เต๋า และพากันโบยบิน กระจายไปทั่วทั้งเกาะลอยฟ้า
….
ภายในห้องอันมืดมิด
เย่หยิงเหมยกำลังยืนอยู่หน้ากระจกเงา และพึ่งเอ่ยรายงานเสร็จสิ้นไป
ผ่านไปสักพัก เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“โลกใหม่อย่างงั้นหรือ? ทำได้ดีมาก ในที่สุดการที่ข้าเลือกที่จะซุ่มซ่อนมากว่า 1000 ปี ก็พอจะได้รับผลประโยชน์กลับคืนมาบ้างเสียที”
“เจ้าค่ะ” เย่หยิงเหมยลดศีรษะลงและกล่าว
“แต่เจ้ายังไม่ได้ตรวจสอบให้มันชัดเจนเกี่ยวกับความลับของเฉียนซานเย่กับหวังหงษ์เต๋าเลยนี่” เสียงผู้ชายกล่าว
“สำหรับเรื่องนั้น ถึงแม้ว่าหวังหงษ์เต๋าจะถูกล่อลวงโดยข้าแล้วก็ตามที ทว่าเขาก็ยังไม่เต็มใจจะไว้วางใจข้าโดยสมบูรณ์ แล้วเผยเงื่อนงำของเรื่องราวที่ว่านั่นออกมาอยู่ดี” เมื่อนึกถึงความหวาดระแวงจนเกินควรของหวังหงษ์เต๋า น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของเย่หยิงเหมยก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัว
ขณะที่น้ำเสียงของผู้ชายดูจะกำลังขบคิด “ว่าแต่ปริมาณพิษเท่าใดกัน ที่เขาได้รับ?”
“เขาตรวจสอบร่างกายของข้าหลายต่อหลายครั้ง และไม่เคยพบพิษใดๆ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโล่งใจทุกครั้งที่เขาทรมานข้า” เย่หยิงเหมยกล่าวทันที
“ไป่น้อย เจ้าก็รู้ดีนี่ว่าคุณสมบัติพิษของนิกายลั่วชาเฟิงเรายอดเยี่ยมเพียงใด? ดังนั้นในกรณีนี้ พิษที่หวังหงษ์เต๋าได้รับจากกายเจ้ามันคงมากพอที่จะแทรกซึมลึก … อ่า ช่างมันเถอะ ในเมื่อแผนการที่วางไว้เป็นไปอย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ก็ดีแล้ว”
เสียงของผู้ชายฟังดูจะค่อนข้างพอใจ เขาเอ่ยต่อ “โลกใบนี้กำลังจะล่มสลายลงในไม่ช้า ทางนิกายจึงไม่เต็มใจไปที่รออีกต่อไป”
พอได้ฟัง เย่หยิงเหมยเงยหน้าขึ้น จ้องมองเข้าไปในกระจกเงาด้วยความกังวล
แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆจากกระจกอยู่ครู่หนึ่ง
หัวใจของเย่หยิงเหมยเต้นครึกโครม ปากเอ่ยร่ำร้อง “นายท่าน!”
แต่สักพักหนึ่ง เสียงของผู้ชายก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“อย่าพึ่งโวยวายไป เจ้าได้เฝ้าติดตามผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตมานานปี และลอบวางยาพิษเขาได้สำเร็จ ซึ่งนี่จะเท่ากับว่าทางนิกายจะได้มีหุ่นเชิดลมปราณจิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง นี่นับว่าเป็นความสำเร็จที่ดีทีเดียว”
“และด้วยเหตุนี้ ทางนิกายจึงไม่ยอมให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานที่เจ้าได้ค้นพบโลกใหม่ถึงสองใบ นี่ก็นับว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน”
ด้วยประโยคนี้ ส่งผลให้หัวใจของเย่หยิงเหมยที่จมลง ค่อยๆฟื้นคืนกลับมาอย่างช้าๆ ปากเอ่ยด้วยความปิติ “ท่านกำลังหมายความว่า … ”
“สตรีแห่งรากษสได้ส่งผ่านคำสั่งลงมาแล้ว”
เสียงของผู้ชายกล่าวด้วยความเคารพลึก
“เย่หยิงเหมย ความสำเร็จของเจ้านับว่าไม่น้อยเลย ตำแหน่งอาวุโสในนิกายย่อมต้องมีที่ว่างสำหรับเจ้าอย่างแน่นอน – ยังไงก็ตาม นายเหนือของพวกเราเอ่ยปากออกมาด้วยตนเองว่าต้องการที่จะเห็นศีรษะของฉีหยาน ดังนั้นก่อนที่จะกลับมายังนิกาย เจ้าจะต้องสังหารเขาเสียและตัดศีรษะของเขานำกลับมาด้วย”
“เจ้าค่ะ!” เย่หยิงเหมยขานรับเสียงดังด้วยความสุข
…….
หวังหงษ์เต๋ากำลังหลับตา ขณะที่ในมือจีบออกด้วยวิชาลับอย่างเงียบๆ
นอกเหนือไปจากเย่หยิงเหมย เซ่าหวูชุ่ย และแน่นอนว่ารวมถึงฉีหยานที่อยู่ในห้องลับ ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆในนิกายล้วนไม่มีผู้ใดก้าวขึ้นมาถึงขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าได้เลย
ดังนั้น ในกรณีนี้ พวกเขาจึงมิทันได้ตระหนักถึงวิชาลับของหวังหงษ์เต๋า
หวังหงษ์เต๋าเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าผ่อนคลายออกมา
แมลงมารได้บินไปตกทั่วทุกภาคส่วนของเกาะลอยฟ้า
พวกมันค่อยๆทยอยกันหายไปจากสายตาของหวังหงษ์เต๋า
ไม่นานนัก
ผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งนิกายก็มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของหวังหงษ์เต๋า
และทุกคน … ล้วนมีสายตาดั่งปลาตาย ไร้ซึ่งประกายของความมีชีวิตชีวา การแสดงออกบนใบหน้าแข็งค้าง
เมื่อต้องเผชิญกับเทคนิคมนตราของผู้ฝึกยุทธขั้นลมปราณจิต ผู้ฝึกยุทธในระดับนี่ลดหลั่นกันมาของนิกาย ก็มิอาจต้านทานใดๆได้
พวกเขาทั้งหมดได้ตายลงแล้ว
และตอนนี้ ศพทั้งหมดของพวกเขากำลังถูกควบคุมอยู่
“ผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ มันทำให้ข้าลำบากเสียจริงๆ”
“แต่ก็ช่างมันเถิด หากพวกมันยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรนิกายไปโดยเปล่าประโยชน์อยู่ดี เป็นแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน เพราะพวกมันจะได้ไม่ต้องล้างผลาญอะไรอีกต่อไป”
หวังหงษ์เต๋ากล่าวพลางขมวดคิ้ว
เขาปิดตาทั้งสองข้าง วิชาลับในมือแปรผันท่าร่างไม่รู้จบ
และเมื่อใดก็ตามที่มือของเขาขยับไหว ศีรษะของผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก็จะระเบิดออกทันที
ร่างไร้ศีรษะของผู้ฝึกยุทธคนแล้วคนเล่าค่อยๆล้มลงกับพื้น
จนในที่สุด ก็ไม่มีผู้ใดยืนหยัดอยู่ได้อีกเลย
หวังหงษ์เต๋าเปิดตาของเขาขึ้น
“สารเลวเอ๊ย … ”
แม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาต้องการอย่างง่ายดาย แต่หวังหงษ์เต๋ากลับไม่เผยถึงความสุขใดๆออกมาเลย
เพราะเขาถึงขั้นลงมือสังหารคนทั้งหมด แต่ก็ยังไม่พบถึงคนที่กุมความลับของฉีหยานเอาไว้อยู่ดี!
งั้นอาจจะเป็นคนอื่นๆที่ยังรอดอยู่รึเปล่านะ?
ไม่ใช่เซ่าหวูชุ่ยแน่ๆ
หรือว่าจะเป็นเย่หยิงเหมย?
หรือสองสาวใช้ข้างกายของฉีหยาน?
อา หญิงสาวที่งดงามโดดเด่น … จะสังหารเลยทันทีคงไม่ดี อันดับแรกก็ลองทำการค้นวิญญาณแล้วเล่นสนุกกับพวกนางก่อนก็แล้วกัน
ไม่สิ จะทำแบบนั้นไม่ได้! สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการค้นหาพิกัดของโลกใหม่ต่างหาก!
นอกจากนี้ ไม่ว่าจะลองเทียบเปรียบอย่างไร โลกใหม่ก็ยังมีความสำคัญมากกว่าหญิงงาม 1-2 คนอยู่ดี
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หวังหงษ์เต๋าก็หยิบยันต์สื่อสารออกมาทันที เพื่อหมายจะเรียกตัวเย่หยิงเหมยมา
แต่แล้วจู่ๆเขาก็ต้องชะงักงันไป
ยันต์สื่อสารยังคงถูกกุมอยู่ในมือเขา ทว่ามันมิได้ถูกกระตุ้นออกไป
“โอ้ นั่นมันปรมาจารย์ตำหนักฉีมิใช่หรือ นานเท่าใดแล้วหนอ ที่พวกเรามิได้พบหน้ากัน?” หวังหงษ์เต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นั่นสิ มิได้พบเจอกันนานเลยนะ อาวุโสหวัง” ฉีหยานกล่าว
ฉีหยานได้ปรากฏกายขึ้นตรงข้ามกับเขาไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป
‘นี่ฉีหยานบังเกิดความคิดริเริ่ม กล้าที่จะมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยตนเองอย่างงั้นหรือ!?’
ฉากนี้ มันได้เกินความคาดหมายของหวังหงษ์เต๋าไปแล้วโดยสิ้นเชิง
“ข้าละรู้สึกสงสัยจริงๆ ว่าด้วยกงการอันใดกันหนอ ที่ถึงขั้นทำให้เจ้าต้องมาหาข้าด้วยตัวเองเช่นนี้?” หวังหงษ์เต๋าเอ่ยถาม
“ข้ามีบางสิ่งบางอย่างจะบอกกับเจ้า”
“สิ่งใดกระนั้นหรือ?”
“สองศิษย์ทรยศเจ้า”
“แล้วเจ้ามีอะไรมายืนยันคำกล่าวนี้?”
ฉีหยานหยิบสองสมบัติมนตราขึ้นมา และโยนมันออกไป
สมบัติมนตราลอยไปอย่างเฉื่อยชาเข้าหาหวังหงษ์เต๋า
หวังหงษ์เต๋าเพ่งมองมัน และกวาดแขนออกไปเบาๆ
สองสมบัติมนตราลอยอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่าย ทว่ามิได้เข้าไปถึงขั้นในระยะสัมผัส
หวังหงษ์เต๋าปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา และกวาดมองพวกมันอย่างรอบคอบ
ทั้งสองสิ่งนี้เป็นของจริง
ว่าแต่ เหตุใดฉีหยานจึงได้แสดงเจตนาดีต่อเขาโดยการเปิดเผยข้อมูลของตนเองเช่นนี้ล่ะ?
“ขอบคุณมากปรมาจารย์ตำหนักฉี สำหรับเรื่องนี้ข้าจะตรวจสอบด้วยตัวเองในภายหลัง … แล้วเจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ข้าอยากจะขอให้ท่านอาวุโสร่วมมือด้วย”
“เรื่องอันใด”
“ช่วยมอบชีวิตให้ข้าด้วย”
พอประโยคนี้เปล่งออกมา ก็พลันบังเกิดความเงียบงันขึ้นโดยรอบ
สองตาของหวังหงษ์เต๋าหรี่แคบลง จดจ้องไปยังฝ่ายตรงข้าม
ในมือของฉีหยานกำลังกุมดาบยาวที่สาดแสงดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง ขณะที่บนศีรษะสวมหมวกไม้ไผ่
ขอบของหมวกไม้ไผ่ถูกกดลงมาจนต่ำเกินควร จนทำให้ผู้ที่มองมา มิอาจเห็นถึงเค้าโครงหน้าที่แท้จริงของเขาได้