Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ - ตอนที่ 473
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.473 – ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ (1)
ภูเขาสูงลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า
ณ จุดยอดของภูเขา ปรากฏตัวตนทรงอำนาจในขอบเขตลมปราณจิตอยู่ถึง 4 คน
พร้อมกับผู้หญิงที่สวมหน้ากากจิ้งจอกขาว กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์เหนือพวกเขา
“เช่นนั้น เจ้ากำลังจะบอกว่าฉีหยานได้ตายลงไปแล้ว?” สตรีแห่งรากษสเอ่ยถาม
“ใช่ ฉีหยานถูกสังหารลงแล้วโดยหวังหงษ์เต๋า นี่คือสิ่งที่หวังหงษ์เต๋ากล่าวออกมาด้วยตนเอง”
เย่หยิงเหมยที่กำลังคุกเข่า กล่าวรายงานด้วยความเคารพ
“เจ้าเชื่อในคำของหวังหงษ์เต๋างั้นรึ? มิใช่เจ้ารู้ดีอยู่แล้วหรอกหรือว่าเขาเป็นคนเช่นไร?” เสียงของสตรีแห่งรากษสค่อนข้างไม่พอใจเล็กน้อย
“รายงานนายหญิง ข้ามิได้เชื่อในคำของหวังหงษ์เต๋า” เย่หยิงเหมยเอ่ยตอบด้วยความนอบน้อม
“แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าฉีหยานตายไปแล้ว?” สตรีแห่งรากษสเค้นถาม
“เพราะข้าได้ลอบสังเกตการณ์โดยการใช้ค่ายกลแจ้งเตือนขนาดใหญ่อย่างลับๆ และพบว่าตลอดทั้งเกาะ มีเพียงหวังหงษ์เต๋าและตัวข้าเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่”
“จากนั้น ข้าจึงมุ่งหน้าไปหาหวังหงษ์เต๋า แล้วก็ได้ข้อสรุปเดียวกันนี้จากปากของเขา”
เมื่อสตรีแห่งรากษสได้ยินถึงจุดนี้ เธอก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ตนเองเพียงแค่เปิดปากสั่งเท่านั้น ก็สามารถสังหารเจ้าเศษสวะลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามใดๆ
แม้กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตนก็ยังไม่ต้องออกหน้าด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นหวังหงษ์เต๋าที่ลงมือสังหารฉีหยาน เพื่อประจบตนแทน
ในที่สุด กลิ่นเน่าเหม็นที่คอยตามรังควานก็หมดไปเสียที
เมื่อเห็นถึงการแสดงออกของฝ่ายตรงข้าม หัวใจของเย่หยิงเหมยก็ค่อยๆกลับมาสงบลง และยังคงรายงานต่อไปว่า “ปรมาจารย์เฟิง หวังหงษ์เต๋าไม่เพียงลงมือแทนพวกเรา แต่เขายังฝากฝังให้ข้านำของขวัญมามอบให้แก่ท่านปรมาจารย์เฟิงอีกด้วย”
“ของขวัญ?” สตรีแห่งรากษสเอ่ยทวนซ้ำ
“ใช่ ของขวัญ”
มุมปากของสตรีแห่งรากษสยกสูงขึ้นเล็กน้อย แสดงออกถึงรอยยิ้มเยาะหยัน
พร้อมกับผู้ฝึกยุทธในสถานที่แห่งนี้ที่ต่างพากันหัวเราะออกมา
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หวังหงษ์เต๋าผู้นี้ คงคิดจะติดสินบนเพื่อหมายจะพึ่งพาพวกเรา ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว อีกไม่นาน ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็กำลังจะกลายมาเป็นหุ่นเชิดของพวกเราในไม่ช้า … ของขวัญอย่างนั้นหรือ เหอะ!”
อีกลมปราณจิตก็กล่าวด้วย “นั่นสิ อีกไม่นานของทุกสิ่งที่เขาครอบครองก็ต้องกลายมาเป็นของปรมาจารย์เฟิงอยู่แล้ว ตอนนี้ต่อให้จะมอบของขวัญอะไรมา มันก็เป็นเพียงแค่การหยิบยื่นให้ปรมาจารย์เฟิงล่วงหน้าก็เท่านั้นเอง”
“ลืมมันเถอะ มาดูกันว่าดีกว่าว่าของขวัญที่ว่านี้คือสิ่งใด” สตรีแห่งรากษสโบกมือและกล่าว
“เจ้าค่ะ”
เย่หยิงเหมยตบลงในถุงสัมภาระ หยิบเอากล่องขนาดใหญ่ออกมา แล้วส่งมันผ่านทางอากาศ
กล่องใหญ่ค่อยๆลอยเบาๆมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของสตรีแห่งรากษส
นี่คือกล่องเก็บของทั่วๆไป ที่สามารถป้องกันมิให้ใช้จิตสัมผัสเทวะเข้ามาตรวจสอบภายในได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าของที่อยู่ภายในนี้นั้นคือสิ่งใด
“ปรมาจารย์เฟิง ได้โปรดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตรวจสอบกล่องก่อนเถิด เผื่อในกรณีที่ว่าอาจมีการวางอุบายเอาไว้” ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตกล่าว
หากมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตลงมือตรวจสอบด้วยตนเอง ต่อให้กล่องใบนี้กำลังเก็บซ่อนตัวของหวังหงษ์เต๋าเอาไว้ เขาก็ไม่สามารถทำการลอบสังหารใดๆได้อย่างแน่นอน
ทุกสิ่งอย่าง ไม่เว้นกระทั่งกับดัก หากเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธลมปราณจิต มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด
สตรีแห่งรากษสขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตยื่นมือออกไป และลูบไล้ตามกล่อง
แล้วอักษรรูนที่ประทับอยู่บนกล่องก็หายไปทันที
ซึ่งตราประทับอักษรรูนนี้ เป็นตัวบ่งบอกว่ากล่องยังไม่เคยได้ถูกเปิด
นี่คือการรับประกันว่าสิ่งของด้านใน จะมิได้ถูกลอบดูหรือสับเปลี่ยนระหว่างทางที่จัดส่งมา
ผู้ฝึกยุทธลมปราณจจิตจีบออกด้วยวิชาลับ และตบลงบนกล่องอย่างแรง
พลังวิญญาณอันไร้ที่สิ้นสุดผลุบหายเข้าไปในกล่อง
เมื่อถูกเจ้าสิ่งนี้เข้าไป หากเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างเช่นนักฆ่าแล้วล่ะก็ ผู้ฝึกยุทธที่มีพลังวิญญาณในขอบเขตลมปราณจิตก็จะรับรู้ได้ทันที
—หรือหากมีกับดัก , เทคนิคมนตรา ฯลฯ อยู่ภายใน เมื่อสัมผัสกับพลังวิญญาณเมื่อครู่ มันก็สมควรที่จะถูกเปิดใช้งานไปแล้ว
ทว่ากล่องยังคงสงบนิ่ง ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ดูเหมือนว่ามันสมควรจะไม่มีปัญหา
ฝูงชนโดยรอบคลายใจลงเล็กน้อย
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หวังหงษ์เต๋าคงอยากจะเข้ามาขออาศัยในนิกายข้าจนอดรนทนไม่ไหวแล้วกระมัง เอ .. แต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจเขาอยู่ดี บางทีคนผู้นี้อาจกินดีหมีหัวใจเสือมาแล้วคิดทำอะไรแผลงๆก็ได้ แต่หากเขาทำ ข้านี่แหละจะเป็นผู้ออกไปกำจัดเขาด้วยตนเอง”
“หวังหงษ์เต๋าน่ะเป็นพวกมีสมอง ข้าไม่คิดว่าเขาจะวางกับดักเอาไว้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้มีกับดัก ทั้งข้า และพวกเจ้าในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ย่อมสามารถรับมือกับมันได้อย่างแน่นอน ” หนึ่งในนั้นส่ายหัว
ว่าจบ ต่างคนก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่พวกเราก็ต้องระมัดระวังอยู่ดี มาเปิดกล่องจากด้านล่างนี้กันดีกว่า” ลมปราณจิตที่ถือกล่องกล่าว
“เฮ้อ .. เปิดๆมันสักทีเถอะ” สตรีแห่งรากษสหาวด้วยความเบื่อหน่าย
สิ่งของดีๆในโลกใบนี้น่ะ สตรีแห่งรากษสได้เก็บรวบรวมเอาไว้จนเกือบจะครบทุกสิ่งแล้ว
ดังนั้น สมบัติใดที่หวังหงษ์เต๋ามอบให้มา เธอจึงไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันเลย
ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตเปิดกล่อง
เห็นแค่เพียงดิสก์ค่ายกลที่ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังสั่นไหวเบาๆอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกับอีกหลายค่ายกล ที่กำลังวิ่งวนอยู่รอบตัวดิสก์
“ดิสก์ค่ายกลงั้นหรือ?” ทุกคนร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
นี่มันช่างประหลาดนัก
หากนี่เป็นดิสก์ค่ายกลโจมตี มันก็สมควรจะถูกกระตุ้นใช้งานไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ดิสก์ค่ายกลนี้ เห็นได้ชัดว่ามันมิได้ปลดปล่อยมนตราโจมตีใดๆออกมา
เช่นนั้นแล้วนี่คือดิสก์ค่ายกลประเภทใดกัน?
แม้ในสมองจะยังคงขบคิด แต่จิตใจและท่าทีกลับคลายลง
เพราะไม่ว่ามันจะเป็นดิสก์ค่ายกลประเภทใดก็ตาม ย่อมไม่มีทางสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตลงได้ – แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ตัวดิสก์ค่ายกลก็ยังไม่สามารถสังหารได้
“นี่มันคืออะไ-” สตรีแห่งรากษสกำลังเปิดปากถาม
ทว่าหนึ่งในปรมาจารย์ค่ายกลกลับตะโกนออกมาตัดหน้าเธอเสียก่อน
“ระวัง! นั่นมันคือดิสก์ค่ายกลทะลวงมิติขนาดเล็ก!”
ค่ายกลทะลวงมิติ ถูกคิดค้นขึ้นโดยปรมาจารย์ค่ายกลในอดีตที่ผ่านมา มันมีไว้ใช้ฉีกมิติที่ว่างเปล่า เพื่อหลบหนีออกจากโลกใบนี้
ขณะที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่ได้ใช้ค่ายกลทะลวงมิติ … ล้วนไม่เคยมีผู้ใดได้กลับมาอีกเลย
เสียงยังมิทันได้ตกลง ตัวดิสก์ค่ายกลก็ถูกกระตุ้นขึ้นโดยสมบูรณ์
วินาทีต่อมา ตัวตนทรงอำนาจอย่างลมปราณจิตทั้งสี่และเย่หยิงเหมยที่อยู่ตรงหน้ากล่องก็หายวับไป
สีหน้าของสตรีแห่งรากษสแปรเปลี่ยนกลับกลาย นางมีเวลามากพอที่จะหยิบสิ่งหนึ่งออกมาเท่านั้น แล้วก็หายตัวไป มิอาจหาร่องรอยได้อีกเลย
—นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายฉับพลันขนาดเล็ก ซึ่งได้นำพาผู้ฝึกยุทธที่แสนน่าหวาดหวั่น ทะลวงมิติจากไป
ตั้งแต่ที่ปรมาจารย์ค่ายกลได้คิดค้นถึงวิธีการทะลวงมิติในครั้งอดีตที่ผ่านมา ค่ายกลตรงหน้านี้ บางทีอาจจะเป็นค่ายกลทะลวงมิติที่รวดเร็วและชวนให้น่าตกตะลึงที่สุดที่เคยปรากฏขึ้นมาเลยก็เป็นได้
ย้อนความกลับไปในเหตุการณ์เมื่อครู่อีกครั้ง -กระบวนการเคลื่อนย้ายมิติบังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสถานที่แห่งนั้นถูกส่งทะลวงมิติไป ขณะเดียวกัน สตรีแห่งรากษสทุ่มความพยายามสุดกำลัง เพื่อกระตุ้นใช้งานสิ่งที่อยู่ในมือของเธอ
บังเกิดประกายแสงเรืองรองกระพริบไหว
เธอถูกแยกตัวออกจากแสงปกคลุมของค่ายกลเคลื่อนย้าย ขณะเดียวกันก็ฉีกมิติไปยังอีกความว่างเปล่าหนึ่ง
ในช่วงเวลาสุดท้าย เธอยังสามารถตอบสนองได้ทัน!
ทว่า … เมื่อมองไปยังทิศทางที่เธอกำลังมุ่งไป มันดูเหมือนจะเป็นสถานที่อันไกลแสนไกลในกระแสมิติอันว่างเปล่า และบางที มันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะสามารถกลับมายังโลกล่องเวหาได้
อีกด้านหนึ่ง
บนเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยาง
“นายน้อย ด้วยวิธีนี้ บางทีมันคงจะสามารถทำให้ผู้ทดสอบแห่งรากษสอีกคนถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันกับท่านไปเลยก็ได้นะ” ฉานนู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่หรอก ข้าก็แค่ทำให้อีกฝ่ายประสบปัญหาเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง บางทีสำหรับอีกฝ่ายแล้ว นางอาจจะสามารถกลับมาก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว
“แต่ข้าว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก การที่จะสามารถถอนตัวจากค่ายกลทะลวงมิติน่ะ …” ฉานนู่เอ่ยอย่างไม่แน่ใจ
กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “อีกฝ่ายเคยถูกสังหารด้วยค่ายกลมาแล้วครั้งหนึ่งโดยข้า ฉะนั้น หากหลงกลด้วยวิธีเดิมซ้ำสอง นางก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่แข่งของข้า”
“สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นอกเหนือไปจากในด้านความแข็งแกร่ง อีกฝ่ายสมควรจะเป็นศัตรูที่ข้าจักต้องทุ่มออกอย่างจริงจัง”
ฉานนู่รับฟัง แต่ขนาดใช้เวลาไปสักพักหนึ่งแล้ว เธอก็ยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่กู่ฉิงซานอธิบายอยู่ดี
กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในความคิด
ตนเองครอบครอง ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’ ขณะที่อีกฝ่ายครอบครอง ‘ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ’
ในช่วงเวลาสุดท้ายแห่งการทำลายโลก ทั้งสองวิชาลี้ลับนี้ล้วนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง
หากสตรีแห่งรากษสสามารถกลับมาได้ แล้วใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุเพื่อต่อกรกับตนเอง แล้วผู้ใดกันหนอ … ที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ยาวนานกว่ากัน
ในเวลานั้นเอง ฉานนู่ก็ได้สติกลับคืน
“นายน้อย ข้าคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะได้เปรียบมากกว่าพวกเรานะ” เธอกล่าวด้วยความกังวล
“เพราะเหตุใดกันล่ะ?”
“เพราะอีกฝ่ายสามารถแปลงกายเป็นวัตถุที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณได้ โดยไม่ต้องมามัวสนใจว่าโลกจะถูกทำลาย ขณะที่นายน้อยสามารถแปลงกายเป็นสิ่งมีชีวิตได้เท่านั้น และต้องมั่นใจว่าสิ่งที่ตนจะแปลง มันจะสามารถรักษาชีวิตให้รอดต่อไปได้อีกด้วย”
ที่พูดมามันก็ถูก
สตรีแห่งรากษสมิต้องทำอะไรมากมายเลย เธอเพียงแค่แสร้งแปลงกายเป็นก้อนหิน และหาที่โง่ๆนอนลง แล้วเฝ้ารอให้กระบวนการของโลกถูกทำลายลงก็พอแล้ว
ขณะที่กู่ฉิงซาน ไม่ว่าเขาจะแปลงกายเป็นสิ่งมีชีวิตใด ก็จักต้องเผชิญหน้ากับการล่มสลายของโลกโดยตรงอยู่ดี
“สำหรับเรื่องนี้ มันก็ไม่แน่นักหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว
ปากเอ่ยรำพึง ขณะที่สมองขบคิด
“ข้าไม่เคยเห็นกระบวนการล่มสลายของโลกด้วยตาตัวเองมาก่อน ฉะนั้น นอกเหนือไปจากมารโลกาซึ่งเป็นตัวแปรขนาดใหญ่แล้ว – ข้าก็มิอาจคาดเดาได้อีกเลยว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แท้จริงจะยังคงมีตัวแปรใดหลงเหลืออยู่อีกบ้างหรือไม่”
กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ ขณะเดียวกันก็โบกมือไปทางฉานนู่
“พวกเราไปมองหาบางสิ่งกันเถิด”
“เจ้าค่ะ”
ว่าจบ กู่ฉิงซานก็กลายเป็นกระแสแสง บินวนไปทั่วทุกหย่อมหญ้ารอบๆเกาะลอยฟ้า
ขณะที่ฉานนู่ติดตามเขาไปอย่างใกล้ชิด
ยามเมื่อข้ามผ่านสวน กู่ฉิงซานก็จะอ้าแขน และคว้าจับผีเสื้อเอาไว้
ยามเมื่อข้ามผ่านลำธาร กู่ฉิงซานก็จะเอนกาย กระแสแสงม้วนลงเป็นเส้นโค้งและคว้าจับ ปลาที่กำลังแหวกว่าย
ยามเมื่อกระโจนขึ้นไปบนหน้าผาใหญ่ เขาก็ถลกขนของลิงหางไหม้ และเก็บมันไว้อย่างระมัดระวัง
ยามเมื่อโบยบินบนท้องฟ้า กู่ฉิงซานก็เด็ดขนของนกตัวหนึ่งมา
กู่ฉิงซานกับฉานนู่วนไปทั่วทุกสารทิศบนเกาะลอยฟ้า
เนื่องจากวัสดุบนโลกใบนี้มันไม่เพียงพอ ดังนั้นผู้ฝึกยุทธระดับสูงจึงให้ความสนใจอย่างยิ่งต่อการเพาะพันธุ์ของสัตว์และอสูรในป่าใหญ่
นี่คือแหล่งอาหาร เป็นปัจจัยพื้นฐานที่รับประกันว่าเขาจะอยู่รอดได้นานที่สุด และจะไม่มีปัญหาใดๆ
เวลาช่างไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก
กู่ฉิงซานเก็บรวบรวมขนของสิ่งมีชีวิตนับร้อยชนิด ขณะเดียวกันก็เก็บสิ่งมีชีวิตบางอย่างติดไม้ติดมือกลับมาด้วย
เขาเปิดแม้กระทั่งจี้หยกของหวังหงษ์เต๋า ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นถุงสัมภาระของโลกใบนี้ และเลือกเอาขากวางทั้งแท่งออกมา
ขากวางยู่หลูนี้ได้ถูกเก็บรวมรวมมาโดยหวังหงษ์เต๋า ซึ่งมันได้รับการปรุงอย่างพิถีพิถัน และเป็นถึงอาหารอันโอชะชั้นนำของโลก
ในที่สุด กู่ฉิงซานก็มาถึงตรงส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า และได้เติมศิลาวิญญาณลงในแต่ละค่ายกลจนคิดว่าเพียงพอ
ฉานนู่ติดตามเขามาอย่างเงียบๆจนถึงจุดนี้
เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานกำลังเติมศิลาวิญญาณอย่างระมัดระวังจนเสร็จสิ้น ฉานนู่ก็ทนไม่ไหว จำต้องเอ่ยปากออกมาในที่สุด
“นายน้อย สิ่งมีชีวิตกว่าหลายร้อยชนิดบนเกาะแห่งนี้ได้ถูกรวบรวมจนสิ้นแล้วโดยท่าน แต่ข้าคิดว่าท่านอาจจะไม่ได้ใช้มันมากขนาดนั้นหรอกนะ”
กู่ฉิงซานไม่ได้พูดตอบกลับไป
เขาหยิบขนขึ้นมาไว้ในกำมือและมองมัน
นี่คือขนของลิงหางไหม้
พร้อมกันกับการกระทำของกู่ฉิงซาน เส้นแสงหิ่งห้อยสามแถวก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ค้นพบเส้นขนของลิงหางไหม้”
“โปรดใช้เส้นขนนี้ทำการวิเคราะห์หาความลึกลับขององค์ประกอบร่างกายของลิงหางไหม้ด้วย”
“หากต้องการจะเปลี่ยนเป็นลิงหางไหม้ จำต้องจ่าย 270 แต้มพลังวิญญาณ ร้องถามผู้เล่นยินดีจะจ่ายหรือไม่?”
กู่ฉิงซานมองไปยังเส้นแสงตัวอักษรเหล่านั้น และลอบพยักหน้าอย่างลับๆ
เป็นอย่างที่ตนเองคาดเดาเอาไว้จริงๆ
ในช่วงต้นของถ้ำมืดในโลกปรภพ เขาได้แปลงกายเป็นมารกระดูก
และเพราะเขาได้กลายเป็นเผ่ามาร ตนจึงสามารถข้ามผ่านถ้ำมืดไปได้อย่างรวดเร็ว
จากมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปเป็นเผ่ามารระดับสูง แน่นอนว่าย่อมเป็นกระบวนการที่ไม่ธรรมดา
ดังนั้น เขาจึงจำต้องจ่ายออกไปกว่า 1000 แต้มพลังวิญญาณในครานั้น
ขณะที่ลิงหางไหม้ เป็นเพียงสัตว์ประหลาดสามัญที่พบเห็นได้ทั่วๆไป จึงเป็นธรรมดาที่องค์ประกอบของมันจะไม่มีความซับซ้อนหรือวิเคราะห์ได้ยากเย็นอะไรนัก
จริงๆแล้วการแปลงกายเป็นทุกๆสิ่งมีชีวิตโดยอาศัยแต้มพลังวิญญาณ มันจะขึ้นอยู่กับความยากง่ายของการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
อย่างเช่นหากต้องการที่จะแปลงกายเป็นอสูรกายหรือไม่ก็พวกเฉาฟ่าน(ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ) คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงการได้รับชิ้นส่วนร่างกายของอีกฝ่าย แค่เพียงแต้มพลังวิญญาณที่จะต้องใช้งานมันคงมากมายมหาศาลจนเขาไม่อาจหาได้แล้ว
ขณะนั้นเอง กู่ฉิงซานก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในจิตใจ
—เขาไม่ทราบว่าสตรีแห่งรากษสที่มีวิชาคล้ายคลึงกัน อย่างการแปลงตนเป็นวัตถุ แท้จริงแล้วจำเป็นต้องจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญาณเหมือนกันหรือไม่
วันสิ้นโลกในปัจจุบันนี้
จักเป็นสิ่งมีชีวิตอันหลากหลาย หรือสิ่งมีชีวิตที่หลบซ่อนตัวได้ดีที่สุดกันแน่นะ … ที่จะสามารถมีชีวิตรอดได้ยาวนานกว่ากัน?
กู่ฉิงซานขบคิดอย่างเงียบๆ
เขาเทียบเปรียบข้อดีข้อเสียระหว่างสองวิชาลี้ลับนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในจิตใจ
หลังจากทั้งหมดนี้ ดูเหมือนว่าความเป็นจริงจะกระจ่างออกมาในไม่ช้า
ไม่นานนัก หลังจากที่กู่ฉิงซานเก็บเส้นขนกลับคืน เขาก็ตอบคำถามของฉานนู่
“ที่ต้องสะสมพวกมันไว้มากมาย นั่นก็เพราะว่าจะได้เป็นการ ‘เผื่อเลือก’ สายพันธุ์ของพวกมัน เพื่อที่จะรับประกันว่าข้าจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ท่ามกลางโลกที่กำลังล่มสลายนี้ลงได้”
“เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างงั้นหรือ?” สีหน้าของฉานนู่เผยถึงความสงสัย
“ใช่แล้วล่ะฉานนู่” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอันร้ายแรงของสภาพแวดล้อมอย่างมิอาจต้านทาน เจ้าทราบหรือไม่ว่าสายพันธุ์ใดกันที่จะสามารถมีชีวิตอยู่รอดไปได้นานที่สุด?”
“ก็สายพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไรเล่า … มิใช่หรือ?” ฉานนู่คิดสักครู่และตอบคำ
“ไม่ใช่หรอก”
“ … งั้นก็สายพันธุ์ที่ฉลาดที่สุด”
“ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี”
“นายน้อย แล้วมันคืออะไรกันแน่ ท่านเฉลยมาเถอะ”
“มันคือสายพันธุ์ที่ ‘สามารถปรับตัวได้ดีที่สุด’ อย่างไรล่ะ”