WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1469
ไม่รู้กาลเทศะ
“อ๊ะ! ศิษย์พี่เฮ่อจงมาแล้ว!!”
ไม่ทราบเป็นศิษย์ฝ่ายนอกคนใดที่ตาดี ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
เสียงของมันนับว่าดึงดูดความสนใจของผู้คนที่มารอในลานฝึกซ้อมไม่น้อย
เมื่อสายตาของทุกผู้คนหันไปจับจ้องยังทิศทางหนึ่งตามผู้ตะโกน ก็พบชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาแลดูหล่อเหลาไม่น้อย กำลังย่างเท้าก้าวมาอย่างสง่างาม ยามเดินชุดคลุมสีเขียวของมันโบกสะบัดเบาๆ มาดมันนับว่าเท่ห์ไม่ใช่น้อย!
“อ๊า! ศิษย์พี่เฮ่อจง!!”
ศิษย์สตรีฝ่ายนอกหลายต่อหลายคนเริ่มส่งเสียงวี๊ดว้ายออกมาด้วยความชื่นชม
เพราะบรรดาศิษย์สตรีฝ่ายนอกนั้น ก็มีหลายคนนักที่มองเฮ่อจงเป็นชายในฝันของพวกนาง
ทว่านอกจากศิษย์สตรีที่ชมชอบเฮ่อจงแล้ว ก็มีศิษย์สตรีอีกกลุ่มที่แค่นเสียงพ่นลมออกมา “ฮึ หากเทียบกับศิษย์พี่ต้วนกับศิษย์พี่เฮ่อแล้ว…ข้าว่าศิษย์พี่ต้วนน่าดูกว่ายิ่ง!”
“อื้ม! ข้าเองก็เห็นด้วย ศิษย์พี่ต้วนน่าดูกว่ายิ่ง…เมื่อคืนข้ายังฝันถึงท่านอยู่เลย!”
“หลายวันก่อนข้าก็ฝันว่าศิษย์พี่ต้วนนั่งเกี้ยวแห่ขบวนมาสู่ขอข้าไปตบแต่ง!”
“สู่ขอไปตบแต่ง? กับเจ้าเนี่ยนะ สมควรแล้วที่เป็นแค่ฝัน…อัจฉริยะที่ร้ายกาจทั้งหน้าตาดีอย่างศิษย์พี่ต้วนจะไปหลงรักคนธรรมดาเช่นเจ้าได้อย่างไร?”
“เพ่ยๆๆ! เจ้าดีนักรึไง? หนังหน้าเช่นเจ้าคิดว่าศิษย์พี่ต้วนจะเหลือบแลหรือ?”
……
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนี้เหล่าบรรดาศิษย์สตรีฝ่ายนอกปลื้มผู้ใดมากกว่ากันระหว่างเฮ่อจงกับต้วนหลิงเทียน
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะพึ่งมาอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงได้แค่ราวๆ 3 เดือน ทว่าทุกความเคลื่อนไหวของเขากลับสะท้านสะเทือนไปทั้งฝ่ายนอก!
ในประวัติศาสตร์ของสำนักจันทร์จรัสแสง ไม่เคยมีศิษย์ฝ่ายนอกที่โดดเด่นและมีอัจฉริยภาพระดับนี้ปรากฏตัวขึ้นมาก่อนเลย…
“ฮึ! หัวไชเท้าผักชิงไช่ มีทั้งชอบและมิชอบ! ข้าว่าศิษย์พี่เฮ่อจงดีกว่า!”
ศิษยสตรีฝ่ายนอกบางคนแค่นเสียงพ่นลม
ไม่นานเหล่าศิษย์สตรีก็เริ่มส่งเสียงเจื้อยแจ้วเถียงกันไปมาว่าบุรุษที่ตัวเองชื่นชมดีกว่าอย่างไร
สุดท้ายเหล่าศิษย์สตรีที่ชมชอบต้วนหลิงเทียน…ด้วยความที่มีจำนวนคนมากกว่า ก็ถล่มอีกฝ่ายด้วยวาจาจนศิษย์สตรีที่ชมชอบเฮ่อจงเถียงกลับไม่ทัน จำต้องยอมแพ้พ่ายไปโดยสดุดี
“เฮอะ!”
ถึงแม้ว่าเฮ่อจงจะไม่ค่อยสนใจ ‘การต่อสู้’ กันของเหล่าศิษย์สตรีฝ่ายนอกสักเท่าไหร่ แต่มันล้วนได้ยินเรื่องราวชัดถนัดหู
ครู่หนึ่งมันอดไม่ได้ที่จะลอบกล่าวอาฆาตในใจเบาๆ ลูกตาทอประกายเรื่องวูบด้วยอำมหิต ‘ต้วนหลิงเทียนหลังจากวันนี้ไป เจ้ามันจบสิ้นแล้ว…’
‘ถึงตอนนั้นข้าอยากจะรู้นักว่ายังจะมีอีนังโง่ตัวใดไปหลงรักชมชอบเจ้า…’
เรื่องนี้ทัศนคติของเฮ่อจงค่อนข้างบิดเบี้ยวอยู่บ้าง…
เพราะในอดีตนั้นมันไม่เคยเหลียวแลแยแสเหล่าศิษย์สตรีฝ่ายนอกพวกนี้เลย ถึงแม้พวกนางจะชื่นชมมันมากเพียงใดมันก็แค่ทำเฉยใส่พวกนางเท่านั้น
ทว่าตอนนี้พอมันเห็นว่าบรรดาศิษย์สตรีฝ่ายนอกส่วนใหญ่เริ่มหันไปชื่นชมต้วนหลิงเทียนแทนมัน มันก็รู้สึกยากยอมรับและขุ่นขึ้งขัดใจไม่น้อย ประหนึ่งสุนัขหวงก้างก็ไม่ปาน!
ราวกับมันไม่พอใจจะให้สิ่งเหล่านี้ถูกต้วนหลิงเทียนพรากไปจากมัน!
“เฮ่ทางนั้น! ศิษย์พี่ต้วนมาแล้ว!!”
ทันใดนั้นเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดังขึ้น ดึงสายตาเฮ่อจงให้หันมองตามไปทันที และไม่นานมันก็แลเห็นร่างในชุดสีม่วงร่างหนึ่งกำลังก้าวอาดๆมาทางลานฝึกซ้อม
ร่างในชุดสีม่วงนั้นเป็นชายหนุ่มหลอเหล่าคมคาย คิ้วดั่งดาบ รอยยิ้มบางๆยามตอบรับการทักทายของเหล่าศิษย์นั้น ช่างให้บรรยากาศอบอุ่นเสมือนแสงอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลินัก มองแล้วต่างกับรอยยิ้มเสแสร้งมากเล่ห์ของเฮ่อจงไม่น้อย
ยามผู้ใดมองเฮ่อจงตอนยิ้มเสแสร้ง ล้วนอดไม่ได้ที่จะขนลุกและหดหู่
หากทว่าเห็นยิ้มบนหน้าต้วนหลิงเทียน กลับรู้สึกสดชื่นสบายๆอย่างไรไม่ทราบ
“นั่นเหรอต้วนหลิงเทียน…ให้ตายเถอะ อายุ 35 เองเหรอ! ไฉนยังเด็กนักเล่า!?”
ในบรรดาศิษย์ฝ่ายในมากมายที่มาชมดูการประลองครั้งนี้ อดที่จะสงสัยในตัวต้วนหลิงเทียนเสียไม่ได้ เร่งใช้ทักษะวิญญาณลี้ลับตรวจสอบอายุทั้งพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที
สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณกวาดผ่านมาสำรวจร่าง ต้วนหลิงเทียนเพียงย่นคิ้ววูบหนึ่งค่อยคลายออก ราวกับไม่ถือสาหาความอะไร
เพราะตอนนี้ถึงเขาจะถือสาหาความ แต่ก็จนปัญญาจะตามสั่งสอนผู้คนอยู่บ้าง
เพราะพลังวิญญาณที่แผ่พุ่งมาสำรวจตรวจสอบร่างเขานั้น มันประดังมาทั่วทุกสารทิศ! ไม่ถึงครึ่งลมหายใจก็มีนับพลังวิญญาณนับสิบๆขุมกวาดผ่าน จนปัญญาที่จะว่ายตามองจดจำว่าเป็นผู้ใดในฝูงชน และไปสั่งสอนพวกมันวันหลังแล้วจริงๆ!
เขาไม่ได้มีสามารถขนาดนั้น!
ส่วนสำหรับศิษย์ฝ่ายนอกนั้นไม่มีใครคิดสำรวจตรวจสอบต้วนหลิงเทียนเลย เพราะตั้งแต่เมื่อ 3 เดือนที่แล้วเรื่องราวรายละเอียดของเขามันกระจ่างชัดนัก
3 เดือนที่แล้วตอนทดสอบเข้าสำนักจันทร์จรัสแสง ก็มีการวัดอายุและด่านพลังฝึกปรือ ทำให้อายุ 35 ปีของต้วนหลิงเทียนไม่ถือเป็นความลับ ส่วนพลังฝึกปรือก็มีผู้คนกล้าหาญตรวจสอบและกล่าวออกมาให้รู้เช่นกัน
“ต้วนหลิงเทียน!”
เมื่อเห็นว่าความสนใจของผู้คนที่มีมายังมันตอนแรกที่มันมาถึง บัดนี้ถูกเปลี่ยนไปให้ความสนใจต้วนหลิงเทียนผู้มาใหม่แทน อดไม่ได้ที่เฮ่อจงจะหน้าดำคล้ำลงทันใด
ถึงแม้จะมีน้อยคนนักในฝ่ายนอกที่รู้ว่ามันเป็นศิษย์ของชนชั้นรองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง…
แต่จะอย่างไรมัน เฮ่อจงก็อยู่ในอันดับที่ 3 ของฝ่ายนอกสำนักจันทร์จรัสแสง อีกทั้งมันยังเป็นยอดฝีมือติดอันดับที่ 66 ในรายนามปฐพี…
ทว่าตอนนี้ศิษย์ฝ่ายนอกคนใหม่ที่เข้ามายังสำนักได้ไม่ถึง 3 เดือนดี กลับแย่งความโดดเด่นไปจากมัน!
เรื่องพรรค์นี้จะให้มันยอมรับได้อย่างไร
ศิษย์ฝ่ายนอกที่เข้าร่วมสำนักจันทร์จรัสแสงมาได้ไม่ถึง 3 เดือนดี กลับโดดเด่น เฉิดฉายและมีผู้ชื่นชมเหนือกว่ามันที่อยู่ในสำนักมานานกว่า 5 ปี…นี่ทำให้มันรู้สึกเสมือนถูกย่ำเหยียบศักดิ์ศรีอยู่บ้าง!
“เจ้าน่ะหรือ คือศิษย์น้องต้วนหลิงเทียน?”
ทว่ายามเมื่อเฮ่อจงเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน มันเลือกที่จะชักสีหน้าแย้มยิ้ม กล่าวทักต้วนหลิงเทียนอย่างอารมณ์ดีแลดูเป็นมิตร ไม่เหลือสีหน้ามืดคล้ำดำลงแม้แต่น้อย
แน่นอนว่ารอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้าเฮ่อจงนั้น ไม่น่าดูแม้แต่น้อย ชวนให้อึดอัดอย่างไรไม่ทราบ
“เจ้าน่ะเหรอ เฮ่อจง?”
ต้วนหลิงเทียนมองเฮ่อจงด้วยสายตาไม่แยแส กล่าวออกเสียงเรียบ “คำ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เจ้าเรียกข้า ดูเหมือนว่าจะปากไวไปบ้าง? ในโลกแห่งยุทธ์ผู้ที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งถือเป็นอาวุโสไม่ใช่รึไง? หากเจ้าไม่มีสามารถเท่าข้า แต่มาเรียกข้าว่าศิษย์น้องแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าจะกลายเป็นคนไม่รู้กาลเทศะหรอกหรือ?”
หลังจากที่ได้รับทราบ ‘อัตลักษณ์’ ของเฮ่อจงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าใบหน้าระรื่นของเฮ่อจงล้วนเป็นการ ‘ซ่อนดาบในรอยยิ้ม’ ทั้งสิ้น…
เช่นนั้นถึงแม้จะเจอกับเฮ่อจงครั้งแรก เขาก็ไม่คิดจะพูดดีหรือเป็นสุภาพชนกับมัน
อย่างไรเสียความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเขากับหลิวฮ่วนก็เป็นอะไรที่ยากจะลงรอยกันได้
ในเมื่อเฮ่อจงมันเป็นหลานของหลิวฮ่วน ทั้งคู่เสมือนลงเรือลำเดียวกัน แน่นอนว่าเฮ่อจงเองก็ไม่พ้นอยากให้เขาตายด้วยเช่นกัน!
เช่นนั้นแล้วยิ่งเจอเฮ่อจงปั้นหน้ายิ้มเสแสร้งทักทายแบบนี้ เขายิ่งนึกรังเกียจมันเข้าไปใหญ่
โอ! อา!!
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา ศิษย์ฝ่ายนอกและฝ่ายในที่ชมดูอยู่รอบๆถึงกับฮือฮากันขึ้นมาทันที
พวกมันไหนเลยคิดคาดจินตนาการถึง ว่าเพียงแรกพบหน้ากันระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเฮ่อจง บรรยากาศก็กลายเป็นคลุ้งกลิ่นดินปืนขนาดนี้! ทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าใช่ 2 คนนี้ไปมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อนรึเปล่า!!
เฮ่อจงเองก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะ ‘ดุร้าย’ ขนาดนี้
ประกายเย็นเยียบคล้ายผุดโผล่ขึ้นมาในแววตาวาบหนึ่ง ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นได้ชัด!
“อ่านั่นสินะ…เป็นข้าวู่วามไปแล้วจริงๆ ขออภัยเจ้าด้วย”
อย่างไรก็ตามผิดกับที่ทุกคนคิดนัก เฮ่อจงไม่ระเบิดอารมณ์อะไร เพียงขออภัยต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม ครู่ต่อมาคล้ายมันเป็นคนผิดและยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง
“สมแล้วที่เป็นศิษย์พี่เฮ่อจงที่ข้าชื่นชม! พวกเจ้าดูเองเถอะว่าจิตใจศิษย์พี่เฮ่อจงกว้างขวางเพียงใด มิเหมือนศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนที่พวกเจ้านับถือสักนิด! แรกพบศิษย์พี่เฮ่อจงก็ประพฤติตัวก้าวร้าว จิตใจคับแคบมิรู้สัมมาคารวะ ยังกล้าเถียงคำข้างๆคูๆน่าตายนัก!!”
ไม่ทราบศิษย์สตรีที่ชื่นชมเฮ่อจงคนไหนตะโกนเปิดประเด็นออกมา
“ก้าวร้าว? จิตใจคับแคบ? เพ่ยๆๆ! นี่ล่ะความองอาจของศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน! พวกเจ้ามันโง่เขลาเกินกว่าจะเข้าใจ ในเมื่อศิษย์พี่ต้วนกล่าวออกมาเช่นนี้ หมายความว่าท่านต้องมั่นใจว่าจักชนะศิษย์พี่เฮ่อจงของพวกเจ้า และกลายเป็นศิษย์พี่!!”
ศิษย์สตรีฝ่ายนอกที่อยู่ข้างต้วนหลิงเทียนก็ตะโกนตอบคำกลับไป
ลูกตาต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหรี่ลง มุมปากยังแสยะยิ้มออกมา
หากเขาไม่รู้จัก ‘ตัวตน’ ของเฮ่อจง ไม่แน่ว่าเขาอาจถูกรอยยิ้มเสแสร้งและความเป็นมิตรของมันหลอกเอาได้!
อย่างไรก็ตามตอนนี้ในใจเขาอดไม่ได้ที่จะเพิ่มความระแวดระวังขึ้นหลายส่วน
เฮ่อจงสามารถแบกรับการเสียหน้ากล้ำกลืนความอัปยศ ทั้งยอมถอยคล้ายเผยธาตุอ่อนแอแบบนี้ เห็นได้ชัดว่ามันมากเล่ห์นัก คนพรรค์นี้พอได้ทีเห็นศัตรูผ่อนปรนคลายการระวังเมื่อไหร่ล่ะก็ เกรงว่ามันคงชิงลงมือดั่งสายฟ้าฟาด!!
‘ทัพมาจัดทัพสู้ น้ำมาก่อทำนบกั้น…ข้าหวังว่ามันจะรู้ความ ว่าข้าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่พลับสุกให้มันบีบเล่นได้ง่ายๆ!’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองไปยังเฮ่อจง ก่อนที่จะเร่งเดินไปยังกลางลานฝึกซ้อมค่อยกล่าว “เริ่มกันเลยเถอะ เวลาข้ามีจำกัด หลังเอาชนะเจ้าแล้วข้ายังต้องรีบกลับไปบ่มเพาะอีก”
“เอาชนะข้าหรือ?”
เฮ่อจงได้ยินพลันยิ้มกล่าวออกมาทันที “ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนว่าเจ้าจักมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองนักนะ”
“แล้วเจ้าไม่มั่นใจรึไง? ถ้าเจ้าไม่มั่นใจงั้นก็ไม่ต้องเสียเวลาสู้แล้ว รีบๆกล่าวยอมแพ้ออกมาเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ
พอได้ยินวาจาสวนกลับมาของต้วนหลิงเทียน หน้าเฮ่อจงสะท้านไปวูบหนึ่ง หากแต่มันยังไม่ได้ระเบิดอารมณ์อะไร เลือกจะกล้ำกลืนโทสะลงไป ทว่ามันก็ไม่อาจปั้นหน้ายิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนได้อีก สีหน้ายังเริ่มเคร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ต้วนหลิงเทียน ข้าได้ยินมานานแล้วว่าวาจาเจ้าคมคายนัก…วันนี้ได้เจอกับตัว ข้าทราบแล้วจริงๆ”
“วาจาคมคาย?”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเยาะออกมาทันใด “ถ้าเจ้าคิดว่าวาจาข้าคมคาย งั้นเจ้าก็ไม่ต้องมาตีฝีปากกับข้าแต่แรกไม่ดีกว่าเหรอ?”
“เฮอะ! เจ้าคิดว่าการที่เจ้าฆ่าเฝิงฟ่านได้และเอาชนะศิษย์ฝ่ายในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นได้คนหนึ่ง จะทำให้ไม่มีผู้ใดในฝ่ายนอกสยบเจ้าได้ยังงั้นเหรอ!?”
เมื่อถูกวาจาของต้วนหลิงเทียนจี้มามากเข้า ใบหน้าเฮ่อจงก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยโทสะ มันไม่อาจระงับอารมณ์ใดสืบไป ระเบิดโพล่งออกมาทันที “ถึงตอนนี้เจ้าจักมีอันดับที่ 99 ในรายนามปฐพี แต่ในสายตาข้าเจ้ายังอ่อนแอไม่แม้แต่จะทนรับข้าได้สักท่าด้วยซ้ำ!’
“ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้าลงมือนัก เช่นนั้นข้าก็จะลงมือ!”
เฮ่อจงกล่าวถึงท้ายประโยคมันก็เริ่มหัวเราะเยาะออกมาเสียงเย็น
มือพุ่งออกคว้าจับกระบี่อ่อน 3 ฉื่อเล่มหนึ่งที่ผุดออกมาจากความว่าง
ยามถ่ายทอดปราณแท้ลงไป ตัวกระบี่ก็แผ่กลิ่นอายคมกล้าน่าเกรงขามออกมาสะกดข่มในบรรยากาศ
กลิ่นอายพลังของมันนั้น นับว่าเป็นอะไรที่ไม่ใช่กระบี่ 3 ฉื่อธรรมดาๆจะมีได้!
“อาคมเซียนงั้นเหรอ?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคมกล้าน่าเกรงขาม ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่ากระบี่ในมือเฮ่อจง สมควรเป็นกระบี่ที่มีอาคมเซียนจารึกเอาไว้!
“ต้วนหลิงเทียน ข้าจักให้เจ้าได้รับรู้เอาไว้…ว่าการที่เจ้าฆ่าเฝิงฟ่านได้ ก็ยังมิอาจนับว่าเป็นตัวอะไรในสายตาข้า!”
กระบี่ 3 ฉื่อในมือเฮ่อจงเริ่มสั่นไหว ใบดาบกระเพื่อมปานอสรพิษมีชีวิต แลดูอ่อนนุ่มยืดหยุ่นนัก!
“เจ้าว่าวาจาข้าคมคาย แต่เจ้าเองก็ปากดีไม่น้อยนี่นา?”
ต้วนหลิงเทียนยังคงกล่าวเสียดสีออกไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“หาที่ตาย!!”
สองตาเฮ่อจงทอประกายเย็นวูบ กระบี่ 3 ฉื่อในมือตวัดจี้ขึ้นมาทันใด ยังเสือกแทงพุ่งมาทางต้วนหลิงเทียน!
พริบตาต่อมาร่างเฮ่อจงก็คล้ายกลับกลายเป็นสายลมสีเขียวพัดกรรโชกมาหอบหนึ่ง กระบี่ 3 ฉื่อจี้แหวกอากาศออกไปหมายทะลวงร่างต้วนหลิงเทียน เสียงกระบี่หวีดหวิวแสบหู!