WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1491
ตระกูลโอวหยาง
“ตระกูลโอวหยาง?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว
อันที่จริงตอนที่เดินดูของในตลาด ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่ามีคนสะกดรอยตามเขา ทว่าบุคคลผู้นั้นคล้ายมีสายข่าวรายงานก็ไม่ปาน แม้เขาจะสลัดมันหลุดหลายรอบ แต่สุดท้ายมันก็ยังกลับมาสะกดรอยตามเขาอยู่ไม่เลิก
ต่อมาคนผู้นั้นคล้ายทนไม่ไหวหรือจนปัญญาแล้วอย่างไรไม่ทราบ มันก็ล้มเลิกและหยุดสะกดรอยตามเขา จึงทำให้เขาเลิกสนใจมันไป
แต่ใครจะไปรู้ว่ากลับมีคนมารอพบเขาที่โรงเตี๊ยมที่พัก แถมยังเป็นคนของตระกูลโอวหยางอีก
ไม่จำเป็นต้องคาดเดาอะไร ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่านี่สมควรเป็นความคิดของโอวหยางหลัว
หาไม่แล้วชายหนุ่มที่พึ่งมาถึงเมืองหานเหอได้ไม่นานอย่างเขา ไฉนถึงได้รับความสนใจจากตระกูลโอวหยาง?
อันที่จริงที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้ก็ไม่มีผิดสักนิด
หลังจากที่กลับมาถึงตระกูลโอวหยาง สิ่งแรกที่โอวหยางหลัวทำก็คือไปหาบิดาของนางอันเป็นผู้นำตระกูลโอวหยางทันที เพื่อเล่าเรื่องราวและเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นในภูเขาจิ่วฉี
พอผู้นำโอวหยางได้รับทราบว่าบุตรีแสนมีค่าดั่งแก้วตาดวงใจของมันเกือบถูกคนย่ำยีขืนใจ มันก็คิดพุ่งไปเอาเรื่องตระกูลอี้ถึงที่ทันที!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มันจะได้ไปไหน กลับเป็นโอวหยางหลัวที่กล่าวรั้งเอาไว้เสียก่อน
และด้วยวาจาที่โอวหยางหลัวกล่าว จึงทำให้มันรับทราบความหนักเบาของเรื่องราว และรู้ว่าตอนนี้สิ่งแรกที่ควรกระทำคือไปตามหาตัวอัจฉริยะหนุ่มผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตบุตรีมันเอาไว้ก่อน…
และจากที่บุตรีมันกล่าวบอก อัจฉริยะมากพรสวรรค์หนุ่มคนนั้น 9 ใน 10 ส่วนอาจเป็นคนสำคัญของขุมพลังชั้น 7!
เช่นนั้นแล้วหลังจากที่บุตรีของมันวาดรูปเหมือนของชายหนุ่มผู้นั้นเสร็จ มันก็รีบเอาไปทำสำเนาแล้วแจกจ่ายให้คนของสกุลโอวหยางไปตามหาทั่วเมืองทันที
ต้องกล่าวเลยว่าฝีไม้ลายมือในการวาดภาพของโอวหยางหลัวนั้นน่าทึ่งนัก!
อย่างน้อยรูปที่นางวาดแล้วนำไปทำสำเนาแจกจ่าย ก็ทำให้คนของสกุลโอวหยาง สามารถระบุตัวต้วนหลิงเทียนได้ทันทีที่เห็นเขาเดินดูของในตลาด จนกระทั่งคอยเป็นหูเป็นตาให้ผู้ที่ลอบสะกดรอยตาม สุดท้ายยังได้สืบทราบที่พักของต้วนหลิงเทียน…
“เชิญคุณชาย…”
พ่อบ้านตระกูลโอวหยางยิ้มหยีตาอย่างอัธยาศัยดี ก่อนที่จะผายมือเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนอีกครั้งด้วยประกายตาเรืองวูบ
“แล้วเจ้าจะทำยังไงเหรอ หากข้าบอกว่าไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอียงคอมองถามพ่อบ้านสกุลโอวหยาง
“คุณชาย…ท่านอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลย”
พ่อบ้านตระกูลโอวหยาง ถอนหายใจค่อยกล่าว “คุณชายท่านนี้ ขอท่านโปรดวางใจ ตระกูลโอวหยางของเรามิมีวันลืมบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตคุณหนูรองไว้…ที่ข้ามาเชิญท่านนั้น เพราะนายท่านอยากกล่าวขอบคุณรวมทั้งตอบแทนท่านด้วยตัวเอง พวกเรามิได้มีเจตนาร้าย”
ต้วนหลิงเทียนมองพินิจพ่อบ้านสกุลโอวหยางเพื่อจับเท็จอีกฝ่าย จนพบว่าอีกฝ่ายกล่าวความจริง เขาก็พยักหน้ารับ “งั้นก็ไปพบผู้นำเจ้ากันเถอะ”
เขาไม่ใช่คนที่ขี้กลัวและหวาดระแวงไปทุกเรื่อง
เขาเพียงอยากรู้เจตนาที่แท้จริงของตระกูลโอวหยางเท่านั้น จึงเลือกที่จะยิงคำถามใส่พ่อบ้านที่มาเชิญ
และในระหว่างที่เดินทางไปยังตระกูลโอวหยาง ต้วนหลิงเทียนก็รับทราบว่าพ่อบ้านคนนี้เรียกว่าโอวหยางจี้
ทว่ายามที่โอวหยางจี้กล่าวถามว่าต้วนหลิงเทียนชื่ออะไรนั้นเขาเพียงตอบกลับไปสั้นๆว่าเขาแซ่ ‘ต้วน’
“คุณชายต้วน นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านมาเยือนเมืองหานเหองั้นหรือ?”
โอวหยางจี้กล่าวถามเรื่อยเปื่อย
“เจ้าถามทำไม?”
ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม
“พอดีข้าได้ยินเรื่องที่ท่านกระทำในตลาด จากคนของข้า…”
โอวหยางจี้ตอบ
“ที่แท้คนที่สะกดรอยตามข้าทั้งวันเป็นคนของพวกเจ้าสินะ”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วถาม
“มิผิด”
โอวหยางจี้กล่าวตอบตามตรง “ผู้ที่สะกดรอยตามท่านนั้นเป็นถึงสู่เซียนขั้นกลางที่ชำนาญด้านการสะกดรอยที่สุดของตระกูลโอวหยางเรา แต่ตัวมันเองก็คาดมิถึงจริงๆว่าจะถูกคุณชายต้วนค้นพบได้ทันที…ก่อนหน้านี้มิเคยมียอดฝีมือในขอบเขตสู่เซียนขั้นกลางหรือกระทั่งขั้นเชี่ยวชาญคนใดสามารถค้นพบการสะกดรอยตามของมันได้เลย…”
กล่าวถึงท้ายประโยคโอวหยางจี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“เหนือฟ้ายังมีฟ้า…ไม่ว่ามันเก่งเพียงใด บนโลกนี้ยังมีคนที่เก่งกว่ามันอยู่เสมอเพียงแค่มันยังไม่เคยพบเจอ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบ
“มิผิด! นับว่าครั้งนี้คุณชายต้วนได้สั่งสอนบทเรียนมันครั้งใหญ่แล้วจริงๆ…มันถึงกับท้อแท้เรื่องถูกท่านสลัดหลุดอยู่หลายรอบ จนต้องรอรายงานจากคนในตลาดที่กระจายกำลังกัน…”
โอวหยางจี้หัวเราะออกมา
“แต่ข้าไม่เห็นว่าจะมีใครคอยสะกดรอยตามข้ากลับมาที่พักนี่นา…แล้วพวกเจ้ารู้ได้ไง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
เขาอยากรู้เรื่องนี้มากที่สุด
ในชีวิตก่อนหน้านี้นอกจากหัวกะทิของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่า เขายังเป็นราชันทหารรับจ้างระดับยอดพระกาฬ เขามั่นใจเรื่องการสะกดรอยทั้งย้อนรอยมาก และเขาก็มั่นใจอย่างถึงที่สุดว่าไม่มีใครสะกดรอยตามเขาหลังจากที่เขาออกจากตลาด
ต้องทราบด้วยว่าตอนนี้เขาทะลวงเปิดจุดชีพจรเซียนได้ครบทั้ง 99 จุด และ 18 จุดสุดท้ายที่เขาเปิดได้นั้น เป็นจุดชีพจรส่วนประสาทสัมผัส หู ตา จมูก ของเขา ทำให้ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นการได้ยิน รับกลิ่น หรือสายตาถูกยกระดับขึ้นไปเหนือมนุษย์ ทำให้ความสามารถในการย้อนรอยของเขากลับกลายเป็นน่ากลัวมากขึ้น
อย่างไรก็ตามเขายังไม่อาจค้นพบคนที่สะกดรอยตามเขาได้เลย หลังออกจากตลาด
ไม่นับเป็นอะไรที่เขาไม่อาจค้นพบหวงเฉิงกับชายในชุดคลุมลมดำ ที่สะกดรอยตามเขาตอนที่เขาออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง เพราะอย่างไรพวกมันก็เป็นถึงสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ อีกคนยิ่งแล้วใหญ่เพราะมันเป็นถึงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่! ด่านพลังฝึกปรือของพวกมันเหนือกว่าเขาเกินไป
อย่างไรก็ตามคนที่สะกดรอยตามเขาในตลาดนั้นไม่ใช่สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบแน่ๆ เช่นนั้นแล้วใครกันที่สะกดรอยตามเขามา
ในตระกูลโอวหยางนั้น ใครก็ตามที่บรรลุพลังฝึกปรืออยู่ในระดับสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบขึ้นไป ย่อมกลายเป็นเสาหลักของตระกูลอย่างไม่ต้องสงสัยเลย และสมควรเป็นชนชั้นอาวุโสในตระกูล…
เป็นไปไม่ได้ที่คนระดับนั้นจะมาสะกดรอยตามเขาด้วยตัวเอง
“หลังจากที่ถูกคุณชายต้วนปั่นหัวที่ตลาด จนถูกท่านสลัดหลุดอยู่หลายรอบ สุดท้ายมันก็เลิกล้มความคิดสะกดรอยตามท่านและมาหาข้า”
โอวหยางจี้พยักหน้ากล่าว “หลังจากที่มันรีบแจ้นกลับมารายงานข้า ข้าจึงออกไปสะกดรอยตามคุณชายต้วนต่อด้วยตัวเอง…หลังจากที่ข้าพบท่านทั้งทิศทางที่ท่านเดินกลับทำให้ข้าพอคาดเดาโรงเตี๊ยมที่พักของท่านได้ ข้าจึงรีบรุดมาเฝ้ารอท่าน”
“เจ้ามีพลังฝึกปรือขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนพลันหยีตากล่าวถามออกไปทันที
“คุณชายต้วนปราดเปรื่องนัก”
โอวหยางจี้พยักหน้า
ใจต้วนหลิงเทียนจมลงทันใด เมื่อพบว่าความสามารถในการย้อนรอยของเขาดูเหมือนจะกลายเป็นไร้ประโยชนหากพลังฝึกปรือมันแตกต่างกันมากเกินไป
อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่ตอนนี้เขายังเป็นแค่หลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ เขาก็ทำใจได้…
เขาเป็นแค่คนที่อยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ แต่กลับหวังว่าจะค้นพบการสะกดรอยของตัวตนระดับสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ?
หากค้นพบตัวตนระดับนั้นได้จริงๆ เกรงว่าเขาจะกลายเป็นตัวประหลาดแห่งยุคแล้วจริงๆ
ต้วนหลิงเทียนที่เดินตามโอวหยางจี้ไปเรื่อยๆ ไม่ทันรู้ตัวก็มาถึงหน้าประตูใหญ่ของตระกูลโอวหยางแล้ว
ในฐานะที่เป็นตระกูลใหญ่ขุมพลังชั้น 8 ของเมืองหานเหอ เขตที่ดินของตระกูลโอวหยางที่ตั้งอยู่ในฝั่งตะวันออกของเมืองนั้น มันกว้างใหญ่ไพศาลนัก ยังแลดูงดงามเจริญตาไม่น้อย
“พ่อบ้านจี้!”
“พ่อบ้านจี้!”
……
หลังจากที่โอวหยางจี้พาเขาเดินเข้าประตูหน้า ผู้ที่เฝ้าประตูนับสิบๆ ก็เร่งประสานมือคารวะทักทายโอวหยางจี้ทันที
ด้านโอวหยางจี้ในขณะที่ก้าวเท้าเข้าตระกูลโอวหยาง มันก็ไม่เหลือสีหน้าเรื่อยเปื่อยยิ้มร่ายามสนทนากับต้วนหลิงเทียนสืบไป เพียงปั้นหน้าเข้มรับการคารวะทักทายจากคนทั้งหลาย ให้เหมาะสมกับฐานะและศักดิ์ศรีของพ่อบ้านตระกูลโอวหยาง
อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านประตูใหญ่ จนอยู่กันตามลำพังอีกครั้งสีหน้าเข้มๆของพ่อบ้านจี้ก็กลับมายิ้มร่าเป็นมิตรกับต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
ตระกูลโอวหยางนั้นกว้างใหญ่มาก ต้องใช้เวลาสักครู่เพื่อเดินผ่านลานว่างทั้งพื้นที่ส่วนหน้า
บริเวณสนามด้านหน้านั้นยังมีการขุดทะเลสาบ รวมถึงแปลงดอกไม้ที่เรียงรายเป็นแถวงามตา ตามทางเดินก็ปูด้วยหินอ่อนอย่างดี มีแม้กระทั่งภูเขาน้ำตกจำลอง… ประดับประดาเสียราวกับเป็นเขตพระราชวังอะไรทำนองนั้น
ตอนเดินทางมาดวงตะวันเองก็เริ่มลดต่ำลงเจียนลับขอบฟ้าอยู่รอมร่อ
พอมาถึงตระกูลโอวหยาง ม่านรัตติกาลก็เริ่มคลี่กางแล้ว
ตอนนี้เองบริเวณคฤหาสน์ด้านหน้าของตระกูลโอวหยางก็ส่องสว่างไปด้วยเทียนโคมทั้งไข่มุกเรืองแสง แลดูงดงามตระการตาไม่น้อย
“คุณชายต้วน ตอนนี้ท่านผู้นำรวมถึงคุณหนูรองกำลังรอท่านอยู่ที่ห้องโถงหลักคฤหาสน์ด้านหน้า…ทั้งคู่รอท่านมาทั้งวันแล้ว”
โอวหยางจี้ที่พาต้วนหลิงเทียนเดินมาถึงคฤหาสน์ด้านหน้ากล่าวบอก
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็มองสำรวจคฤหาสน์เบื้องหน้าทันที
มองไปเป็นอาคารสูงตระหง่านแลคล้ายพระราชวัง ด้านข้างคฤหาสน์มีอาคารที่พักสำหรับแขกเรียงราย ยามนี้เองตัวอาคารทั้งหลายก็เปล่งแสงงดงามนวลตาออกมา แลคล้ายดาวล้อมเดือนอยู่บ้าง
เมื่อพาต้วนหลิงเทียนเข้ามาในคฤหาสน์ทั้งบรรลุถึงหน้าห้องโถงใหญ่ โอวหยางจี้ก็กล่าวรายงานหน้าประตูเสียงดัง “ท่านผู้นำ คุณชายต้วนมาถึงแล้วขอรับ”
“ฮิๆ ที่แท้ท่านแซ่ต้วนหรือ?”
แทบจะทันทีที่คำรายงานของโอวหยางจี้จบคำ ร่างที่คุ้นตาต้วนหลิงเทียนร่างหนึ่งก็ออกมาจากห้องโถง เพื่อต้อนรับต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเอง
โอวหยางหลัวที่ออกมาต้อนรับ มองต้วนหลิงเทียนทั้งยิ้มกล่าว “อย่างไรเล่า? สุดท้ายพวกเราก็ได้เจอกันอีกครั้ง”
“แม่นางโอวหยางวิธีการของท่านนั้นไม่ใช่วิธีปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณ แต่เป็นวิธีปฏิบัติต่อศัตรู”
ต้วนหลิงเทียนจงใจกล่าวเสียงเย็น
“แล้วข้าจักหาท่านพบได้อย่างไรเล่า หากข้ามิใช้วิธีนี้?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของโอวหยางหลัวยังไม่เสื่อมคลาย นางพอเดาได้ว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวอะไร คงไม่พ้นเรื่องที่คนของตระกูลโอวหยางไปสะกดรอยตามแน่แท้
“หลัวเอ๋อ ใยเจ้ายังไม่เชิญผู้มีพระคุณเข้ามาอีก?”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งพลันดังออกมาจากด้านในห้องโถงใหญ่ น้ำเสียงยังเข้มขรึมมีความน่าเกรงขาม
เพียงฟังเสียงกล่าวนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าสมควรเป็นชนชั้นผู้นำ
ต้วนหลิงเทียนเองก็ตระหนักได้ทันที ว่านี่สมควรเป็นเสียงของผู้นำตระกูลโอวหยาง
“เชิญคุณชายต้วน”
โอวหยางหลัวมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนพร้อมผายมือเชื้อเชิญ
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเกรงใจอะไร ก้าวอาดๆเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของสกุลโอวหยางทันที
ห้องโถงใหญ่ของสกุลโอวหยางนับว่ากว้างขวางและตกแต่งได้สวยงามไม่น้อย
ทันทีที่เข้ามาในห้องโถงใหญ่ ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นร่างชายวัยกลางผู้หนึ่ง
ชายวัยกลางคนผู้นั้นรูปร่างหนาแกร่งแลดูกำยำมีหนวดเคราเฟิ้มหน้าตาแลดูไม่ต่างใดจากโจรป่า เพียงอีกฝ่ายนั่งอยู่กลางโถง ยังให้ความรู้สึกเสมือนพญาราชสีห์อยู่บ้าง
เป็นผู้นำตระกูลโอวหยาง โอวหยางป้า!
ด้านหลังของมันมีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่
รูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มนับว่าแลดูหล่อเหลาไม่เบา มีความละม้ายคล้ายกับโอวหยางหรัวอยู่หลายส่วน
ต้วนหลิงเทียนพอเดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลโอวหยาง พี่ชายของโอวหยางหลัว โอวหยางชิง!
‘มีคำกล่าวว่าหงส์มังกรจะอย่างไรก็ต้องให้กำเนิดบุตรเป็นหงส์มังกร…แต่ดูจากหน้าตาโอวหยางป้าผู้นี้แล้ว นับว่าขัดต่อกฏเกณฑ์ธรรมชาติจริงๆ ชายถึกเคราเฟิ้มนี่ มิคาดกลับมีลูกสาวกับลูกชายหน้าหวานแบบนี้ได้…’
ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกระตุก รู้สึกอึ้งอยู่บ้าง
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคิดไปว่าภรรยาของโอวหยางป้าผู้นี้ สมควรเป็นสตรีงามล่มเมืองนางหนึ่ง
หาไม่แล้วไฉนจะมีบุตรธิดาหน้าตาดีขนาดนี้ได้?
หากภรรยาของโอวหยางป้าไม่ใช่โฉมงามล่มเมือง ก็เหลือความเป็นไปได้อีกทางเท่านั้น…โอวหยางชิงกับโอวหยางหลัวไม่ใช่ลูกแท้ๆของมัน…
แน่นอนว่าความเป็นไปได้นี้น้อยนิดนัก
ในฐานะผู้นำตระกูลโอวหยาง มีหรือโอวหยางป้าจะเลี้ยงดูลูกคนอื่น
“ผู้นำโอวหยาง”
ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นประสานพร้อมเขย่า กล่าวทักทายโอวหยางป้า
“ข้าโอวหยางป้า ผู้นำตระกูลโอวหยาง มิทราบสหายน้อยแซ่ต้วนมีนามว่าอะไรหรือ?”
โอวหยางป้ายิ้มกว้างกล่าวทักทาย แลดูมีไมตรีขัดกับหน้าตาดุร้ายดั่งโจรป่าของมันนัก
“เรียกข้าผู้แซ่ต้วนก็พอ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบอย่างเฉยเมย ไม่คิดจะบอกชื่อตัวเองออกไป
‘ชื่อของมันต้องฟังดูแย่แน่ๆ’
หลังจากพาต้วนหลิงเทียนเข้ามาห้องโถงแล้ว โอวหยางหลัวก็เดินตามเข้ามา มองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนที่เพียงกล่าวบอกแซ่แต่ไม่ประกาศนามออกมาด้วยสายตาคาดเดา
“เหอะ!”
ในขณะที่โอวหยางป้าหน้าชากับคำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียน โอวหยางชิงที่ยืนอยู่ด้านหลังพลันชักสีหน้าบึ้งตึงกล่าวออกทันที “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? กระทั่งบิดาข้าถามเจ้ายังทำเล่นลิ้นไม่กล่าวบอก ข้าล่ะอยากรู้นักว่าเจ้ามันเป็นใครมาจากที่ใดกันแน่ถึงได้ไร้มารยาทเช่นนี้!”
“ไม่ว่าข้าจะบอกหรือไม่บอกนามของข้าก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้าทั้งสิ้น ส่วนถ้าเจ้าจะกล่าวถึงมารยาท ในฐานะที่เจ้าเป็นถึงคุณชายตระกูลโอวหยาง แต่เจ้ากล่าวกับผู้มีพระคุณช่วยชีวิตน้องสาวเจ้าแบบนี้เหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบอย่างไม่แยแส