WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1562
ทักษะลี้ลับ ควาญวิญญาณ!
ยิ่งไปกว่านั้นจากลักษณะท่าทีของชายวัยกลางคนที่คล้ายต้วนหลิงเทียน ก็เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ย่อมไม่ธรรมดา!
หากต้วนหลิงเทียนมีความสัมพันธ์กับผู้นำขุมพลังชั้น 5 หรือเหนือกว่านั้นจริง ไหนเลยจะมาปรากฏตัวในสำนักจันทร์จรัสแสงได้?
จังหวะนี้ไม่ว่าจะเป็นเจียงเว่ยหรืออาวุโสทั้งหลาย ก็ล้วนมีความคิดไปในทางเดียวกัน
อย่างไรก็ตามพริบตาต่อมาพวกมันจำต้องเปลี่ยนความคิดทันที
เพราะพวกมันได้พบพานกับเรื่องอันน่าตกตะลึงพรึงเพริด!
เพราะทันทีที่ชายชราร่างผอมที่ลอยล่องอยู่ไม่ไกลยกมือขึ้น อาณาบริเวณในรัศมี 100 หมี่รอบกายอีกฝ่าย พลันมืดลงปานอยู่ในยามค่ำคืน!
ขณะเดียวกันกับที่ทุกอย่างมืดลงนั้น ก็มีเถาวัลย์ไม้เลื้อยที่แลคล้ายจะแห้งเหี่ยวผุดโผล่งอกเงยออกมาจากความว่างเปล่า!
สึบ! สึบ! สึบ! สึบ! สึบ!
……
ความเร็วของเถาวัลย์แห้งเหล่านั้นกลับเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวนัก พริบตาเดียวร่างเจียงเว่ยและอาวุโสทั้งหลาย ก็ถูกเถาวัลย์แห้งเหล่านี้รัดตัวพัวพัน! ต่างถูกพันธนาการเอาไว้อย่างไม่อาจขัดขืน!!
‘ไม่ดี! ปราณแรกกำเนิดของข้าถูกสะกด!!’
ในขณะที่พยายามดิ้นรน หน้าเจียงเว่ยก็เปลี่ยนสีไปทันที
นั่นเพราะมันพบพานเรื่องราวอันน่ากลัวประการหนึ่ง เถาวัลย์ไม้เลื้อยแห้งๆเหล่านี้ ทันทีที่รัดพันตัวมัน ก็เปล่งพลังสะกดอันน่ากลัว! สามารถระงับพลังปราณแรกกำเนิดของมันได้อย่างหมดจด ไม่อาจรีดเค้นออกมาใช้งานได้แม้แต่หยาดหยด!!
“ปราณแรกกำเนิดของข้าถูกระงับ!”
“สวรรค์! นี่มันเขตแดนอันใดกัน!?”
……
ตอนนี้เองเหล่าอาวุโสขอบเขตเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความเสียขวัญ น้ำเสียงของพวกมันยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด หวาดกลัวจับใจ!
พวกมันจดจำไม่ได้ว่าเนิ่นนานเพียงใดแล้วที่พวกมันไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแบบนี้!
ตอนนี้เองพอเจียงเว่ยและทั้งหมดหันมองกู่มี่อีกครั้ง ในลูกตาก็มีแต่ความหวาดผวา…ถึงแม้พวกมันรู้ดีว่าชายชราร่างผอมสมควรมีพลังฝีมือเหนือกว่าพวกมัน แต่พวกมันก็ไม่คิดเลยว่าจะห่างชั้นปานทารกน้อยกับผู้ใหญ่แบบนี้!
เพียงแค่เปิดใช้เขตแดน ชีวิตของพวกมันทั้งหมดก็ตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายเสียแล้ว!
“ใต้เท้า ข้ามิเคยได้ยินนามต้วนหลิงเทียนมาก่อนเลยจริงๆ!”
เจียงเว่ยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ใต้เท้าพวกเรามิได้โกหกท่านจริงๆ…หากท่านไม่เชื่อ ท่านลองไปถามคนอื่นๆในสำนักเราดูเถอะใต้เท้า”
หนึ่งในอาวุโสสำนักจันทร์จรัสแสงกล่าวเสแสร้งออกมา
“มิจำเป็นต้องวุ่นวายถึงเพียงนั้น”
ได้ยินคำตอบเสแสร้งของอาวุโสที่ถูกมัด กู่มีก็กล่าวออกด้วยเสียงแหบแห้ง
ขณะเดียวกันมันก็หันไปมองสบตาเจียงเว่ย
“มองตาข้า!”
กู่มี่กล่าวออกเสียงแข็ง เสียงนี้ยังราวกับจะเจาะทะลวงหูเจียงเว่ยก็ไม่ปาน ทำให้เจียงเว่ยอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งตกใจและหันมองสบตากู่มี่ตามสัญชาตญาณ
ทันใดนั้นเองดวงตาของกู่มี่คล้ายจะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
ทั้งลูกตาสีแดงนั่นยังคล้ายจะยิงลำแสงสีแดงหนึ่ง พุ่งเข้าลูกตาของเจียงเว่ย!
ทันใดนั้นแววตาของเจียงเว่ยก็กลับกลายเป็นเลื่อนลอยไร้ประกายทันที
“นั่นมัน…”
เห็นฉากนี้อาวุโสขอบเขตเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงอดไม่ได้ที่จะหน้าเสียปานเห็นผีจนขวัญหนีดีฝ่อกันหมด ยังอดไม่ได้ที่จะโพล่งคำออกมาอย่างหวาดผวา “ควาญวิญญาณ! นั่นมันทักษะลี้ลับควาญวิญญาณ!!”
“ทักษะลี้ลับควาญวิญญาณ…ปะ…เป็นไปได้อย่างไร! มะ…ไม่จริง!!”
“ยอดฝีมือที่ใช้ทักษะลี้ลับควาญวิญญาณได้ ไฉนมาปรากฏตัวที่นี่!”
……
เหล่าอาวุโสสำนักจันทร์จรัสแสงที่เห็นเรื่องราว อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจนตัวสั่น แววตายังเลื่อนลอยคล้ายไม่อยากจะเชื่อเรื่องราว
อย่างไรก็ตามความจริงเผยให้เห็นตรงหน้า พวกมันไม่เชื่อก็ไม่ได้
อาวุโสสำนักจันทร์จรัสแสง แม้จะบรรลุขอบเขตเซียนที่ต่ำต้อยที่สุด จะอย่างไรพวกมันก็นับว่าเป็นตัวตนในขอบเขตเซียน แน่นอนว่าย่อมรู้จักทักษะลี้ลับควาญวิญญาณในตำนาน
พวกมันรู้ดีว่าผู้ที่ใช้ทักษะลี้ลับควาญวิญญาณได้ต้องเชี่ยวชาญการควบคุมพลังวิญญาณสูงเพียงใด ทั้งพลังฝีมือต้องสูงส่งขนาดไหน สำนึกเทวะต้องบรรลุความสำเร็จเช่นไร!
อย่างน้อยๆน่ากลัวว่าผู้ที่จะทำแบบนี้ได้มีแต่เสาหลักของขุมพลังชั้น 6 หรือกระทั่งระดับสูงๆ ของตระกูลราชวงศ์ที่ปกครองประเทศ
จังหวะนี้หัวใจของพวกมันแทบจะหยุดเต้นลงเสียให้ได้
มาตอนนี้พวกมันค่อยนึกย้อนไปถึงตอนที่ชายชราเรียกหาชายวัยกลางคนว่า ‘จ้าวตำหนัก’ “จะ…จ้าวตำหนัก จ้าวตำหนัก…อย่าได้บอกข้าว่าชายวัยกลางคนที่แลคล้ายต้วนหลิงเทียนผู้นี้ เป็นผู้นำของขุมพลังชั้น 5 หรือเหนือกว่านั้นจริงๆ?”
“มิผิดแน่! มีแต่ชนชั้นผู้นำขุมพลังชั้น 5 ขึ้นไป ถึงจักมีข้ารับใช้ที่มีทักษะลี้ลับควาญวิญญาณเช่นนี้!”
เรื่องมาถึงจุดนี้ เหล่าอาวุโสของสำนักจันทร์จรัสแสงต่างสิ้นหวังกันแล้ว
พวกมันรู้ดีว่าต่อหน้าทักษะวิญญาณลี้ลับ เจียงเว่ยไม่มีวันเก็บความลับอันใดได้อีก…
อีกฝ่ายสามารถล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจียงเว่ยรู้
หลังจากนั้นไม่นานลำแสงสีแดงที่พุ่งออกจากดวงตาของกู่มี่ก็ค่อยๆจางลง สุดท้ายก็ดับหายไป ทักษะวิญญาณลี้ลับเสร็จสิ้นแล้ว
อย่างไรก็ตามลูกตาของกู่มี่ยังคงเย็นชานัก
“หืม?”
หลังจากที่กู่มี่ยกเลิกทักษะลี้ลับควาญวิญญาณ เจียงเว่ยเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง และทันทีที่มันรู้สึกตัวก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง
แต่เมื่อเห็นว่ากู่มี่มองมาด้วยสายตาเย็นเยียบมันก็เร่งกล่าวออกไปทันที “ใต้เท้า ข้ามิเคยได้ยินนามต้วนหลิงเทียนในสำนักจันทร์จรัสแสงมาก่อนเลยจริงๆ”
ได้ยินวาจานี้ของเจียงเว่ย อาวุโสขอบเขตเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขื่นขม ในใจรู้สึกระทมนัก!
“เจ้าสำนักพอเถิด ไร้ประโยชน์ที่จะกล่าวอันใดแล้ว…ใต้เท้าผู้นั้นได้ใช้ทักษะวิญญาณลี้ลับควาญวิญญาณกับเจ้าไปแล้ว”
ตอนนี้เองหนึ่งในอาวุโสพลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ท่าทางยังคล้ายแก่ตัวลงไปนับสิบปี
ได้ยินคำนี้เจียงเว่ยก็หน้าเสียไปทันที “ทะ…ทักษะลี้ลับ คะ…ควาญวิญญาณ?”
ทักษะลี้ลับควาญวิญญาณคืออะไร มันย่อมรู้ดี!
ในขณะเดียวกันมันก็รู้ว่าตัวตนที่สามารถใช้ทักษะลี้ลับอันน่ากลัวเช่นนั้นได้..มีพลังฝีมือร้ายกาจถึงเพียงใด!
น่ากลัวว่ากระทั่งขุมพลังชั้น 6 ยังแทบไม่มีตัวตนระดับนั้น!
ทว่าแค่เพียงขุมพลังชั้น 6 คิดทำลายขุมพลังชั้น 7 อย่างสำนักจันทร์จรัสแสง ก็เป็นเรื่องราวอันง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ!
จังหวะนี้ใจของเจียงเว่ยอดไม่ได้ที่จะจมจ่อมไปด้วยความสิ้นหวัง
“ท่านจ้าวตำหนัก…”
ตอนนี้เองกู่มี่ที่ได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างจากเจียงเว่ยด้วยทักษะลี้ลับควาญวิญญาณ ก็ได้กล่าวบอกเรื่องราวความเป็นไปทั้งหมดให้ต้วนหรูเฟิงรับทราบ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวตั้งแต่ช่วงต้วนหลิงเทียนเข้าสำนักมาใหม่ๆ หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นล่าสุด
ฆ่าหลิวฮ่วน อาวุโสฝ่ายในสำนักที่มีด่านพลังสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่
กระบี่เดียวผ่าร่างเฉียนคง อาวุโสสูงของสำนักที่อยู่ในขอบเขตเซียน
หลังจากนั้นภายใต้การตามล่าขอบขอบเขตเซียนมากมายหลายคน กลับสามารถหลบหนีไปได้
รวมถึงเรื่องความไม่ธรรมดาของกระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนใช้และอำนาจที่น่ากลัวของกระบี่นั่น กู่มี่ก็กล่าวเล่าออกไปหมดสิ้น
ในระหว่างที่กู่มี่เล่า ด้านเจียงเว่ยและอาวุโสขอบเขตเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงก็ได้ยินกู่มี่เรียกหาต้วนหลิงเทียนว่านายน้อยชัดเจนดี ในที่สุดพวกมันก็พบความสัมพันธ์ระหว่างชายวัยกลางคนผู้มาเยือนกับต้วนหลิงเทียน…ที่แท้ต้วนหลิงเทียนเป็นบุตรชายของคนผู้นี้!!
พริบตานี้พวกมันเสมือนตกอยู่ในหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง..
พวกมันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะมีบิดาที่สมควรเป็นผู้นำขุมพลังชั้นที่ 5 ขึ้นไป…
“เป็นอย่างที่ท่านผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวไว้ไม่มีผิด ลูกชายของข้านับว่าได้รับพรจากฟ้าแล้วจริงๆ…ข้าคิดว่ากระบี่ที่เทียนเอ๋อใช้ฆ่าขอบเขตเซียนนั่น น่าจักมีพลังอำนาจเหนือกว่ายอดศาสตราเซียน ที่อยู่ใน 10 อันดับแรกศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่นั่นเสียอีก!!”
หลังจากได้ยินเรื่องที่กู่มี่เล่า ต้วนหรูเฟิงก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะต้วนหลิงเทียนยังปลอดภัยดี
“ท่านจ้าวตำหนัก แล้วพวกมัน…”
ชายชราร่างผอมกล่าวถามต้วนหรูเฟิงด้วยความสุภาพ
“แล้วแต่เจ้า”
ต้วนหรูเฟิงตอบส่งๆอย่างไม่แยแส ค่อยกล่าวออกอีกครั้ง “ไปเผ่ามังกรกันเถอะ”
ทันทีที่กล่าวจบคำร่างต้วนหรูเฟิงก็อันตรธานหายไปในอากาศ ในสายตาของเจียงเว่ยและทั้งหมดเสมือนว่าอยู่ดีๆร่างต้วนหรูเฟิงก็หายไปดื้อๆ
ความเร็วนี้ทำให้ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจับใจ
อย่างไรก็ตามเมื่อตระหนักได้ว่ากู่มี่กำลังหันมองมาทางพวกมันด้วยสายตาเฉยเมยไร้แยแส พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกเร่งกล่าวร่ำร้องออกมาอย่างร้อนรน “ขอใต้เท้าโปรดละเว้นด้วย!”
“พวกเรามีตาหามีแววไม่ ไท่ซานตั้งอยู่เบื้องหน้ามิอาจแลเห็น กลับทำให้นายน้อยจ้าวตำหนักขุ่นขึ้ง! ขอใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย พวกเรายังมิได้ทำร้ายอันใดนายน้อยของท่าน!!”
“พวกเรายินดีช่วยเหลือใต้เท้าออกตามหานายน้อย!!”
……
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันที่เริ่มแผ่ออกมาจากแววตากู่มี่ อาวุโสทั้งหลายแทบจะฉี่ราดรดกางเกงเสียให้ได้ ทั้งหมดร่ำร้องออกมาราวกับเด็กน้อย
ตอนนี้ศักดิ์ศรีของผู้บรรลุขอบเขตเซียนอันใด พวกมันโยนทิ้งไปหมดสิ้นแล้ว
สำหรับพวกมันในโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของพวกมัน
มีชีวิตอยู่เท่านั้นที่สำคัญ
ตายไปก็ไม่เหลืออะไร…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่บรรลุขอบเขตเซียนเช่นพวกมัน กว่าที่พวกมันจะฟันฝ่าจนมามีอย่างทุกวันนี้ได้ ต้องผ่านพ้นอะไรมาและเหน็ดเหนื่อยเพียงใด มีแต่พวกมันที่รู้
เช่นนั้นแล้วพวกมันไม่อยากตายจริงๆ
“หนวกหู”
สิ้นคำไร้แยแส เถาวัลย์ไม้เลื้อยแห้งเหี่ยวที่รัดพันตัวทั้งหมดเอาไว้ก็เปล่งพลังอำนาจบีบรัด ยังมีเถาวัลย์แห้งทยอยกันผุดโผล่จากความว่างเพิ่มเติมพุ่งมารัดพวกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พริบตาร่างของเจียงเว่ยและอาวุโสขอบเขตเซียนทั้งหลายก็ถูกเถาวัลย์รัดขยี้จนร่างแหลกเหลว อีกทั้งเถาวัลย์ยังดูดกลืนเลือดเนื้อของพวกมัน จนอันตรานหายไปเกลี้ยง…
หลังจากนั้นร่างกู่มี่ก็พุ่งวาบตัดฟ้าติดตามต้วนหรูเฟิงไปทันที
หลังจากที่กู่มี่จากไป เขตแดนทรงกลมดั่งกลมแก้วรัศมี 100 หมี่ ที่ด้านในมืดประหนึ่งอยู่ในราตรีกาลก็สลายหายไป
เถาวัลย์ทั้งหลายก่อนหน้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนเจียงเว่ยเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง และอาวุโสขอบเขตเซียน ก็เสมือนสาบสูญไปจากโลกหล้าอย่างสมบูรณ์
แน่นอนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด คนของสำนักจันทร์จรัสแสงไม่มีผู้ใดรู้เห็นเลย
หลังจากนั้นไม่นานผู้คนในสำนักก็พบว่าระดับสูงของสำนักได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ตัวเจ้าสำนักเองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ด้วยไร้ตัวตนในขอบเขตเซียนกุมบังเหียนสำนัก ไม่นานสำนักจันทร์จรัสแสงก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่มีวันได้หวนคืนสู่ความรุ่งเรืองดั่งครั้งในอดีตได้อีกเลย
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวหลังจากนั้น
…
ที่ชายแดนทางใต้ของประเทศฝูเฟิงพื้นที่ติดกับทะเลทรายอันร้อนระอุ วันนี้ก็ยังมีฝุ่นทรายพัดปลิดปลิวคลุ้งตลบ หอบไอความร้อนแผดเผาสาดมาไม่หน่ายเหมือนเคยดั่งเช่นทุกวัน
“นี่น่ะเหรอประเทศฝูเฟิง”
ต้วนหลิงเทียนที่เดินทางมาจากชายแดนเขตปกครอง 9 พันธมิตร สามารถข้ามทะเลทรายอันกว้างใหญ่มาจนถึงชายแดนประเทศฝูเฟิงได้ในที่สุด
ต้วนหลิงเทียนที่หยุดร่างลงระหว่างตะเข็บชายแดน มองไปยังทิศทางของประเทศฝูเฟิงด้วยสายตาอึ้งๆ เพราะเบื้องหน้านั้นคือแหล่งน้ำกลางทะเลทราย มีพืชไม้เขียวชะอุ่ม เรียกว่าฉากด้านหน้ากับด้านหลังเสมือนโลก 2 ใบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
‘ลองไปหาคนพื้นที่แถวนี้สักคน แล้วถามทางไปเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงดีกว่า…’
ต้วนหลิงเทียนพูดในใจ