WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1602
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1602
ตอนที่ 1,602 : ทาสของนิกายหยินหมิง
นิกายหยินหมิงนั้นเป็นขุมพลังชั้น 7 ของประเทศฝูเฟิง
เพียงแต่ว่าภายในนิกายประเทสฝูเฟิงนั้น นิกายหยินหมิงถือว่าเป็นขุมพลังชั้น 7 ที่มีกำลังรบอ่อนด้อยที่สุด มันแทบจะไม่ถือว่าเป็นขุมพลังชั้น 7 ด้วยซ้ำ
ภายในนิกายหยินหมิงมีตัวตนในขอบเขตเซียนแค่ 2 คนเท่านั้น
และนิกายหยินหมิงแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยผู้ฝึกมารกว่า 8 ส่วน กล่าวได้ว่าผู้ฝึกมารสามารถพบเจอได้ทั่วไปในนิกาย หากแต่ผู้ฝึกตนที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกมารนั้นหาได้ยากนัก
นิกายหยินหมิงแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่หุบเขาอันกว้างขวางแห่งหนึ่ง
ภายในหุบเขานี้มีสายแร่หินเซียนระดับ 7 อยู่ และมันก็ถูกควบคุมดูแลโดยนิกายหยินหมิงนี่เอง พวกมันมักจะส่งคนมากมายมาขุดหาหินเซียนจากที่นี่
หากจะนับกันแต่ในเรื่องการทำเหมืองขุดหาหินเซียนแล้วล่ะก็ นิหายหยินหมิงนับว่าไม่ธรรมดาและผิดจากขุมพลังอื่นๆ…ขุมพลังทั่วไปมักจะส่งศิษย์ของพวกมันมายังเหมืองแร่หินเซียนเพื่อขุดหาหินเซียนไปใช้งาน หากแต่นิกายหยินหมิงนั้นไม่เคยใช้คนของมันกระทำเรื่องนี้…พวกมันใช้แรงงานทาสที่ไปตระเวนจับมาในการขุดหาหินเซียน!!
ด้วยเหตุนี้การขุดหาหินเซียนของนิกายหยินหมิงจึงเป็นไปด้วยความรวดเร็วและราบรื่น ยังมีแนวโน้มว่าจะเหนือกว่าขุมพลังชั้น 7 อื่นๆอีกด้วย
ถึงแม้พลังรบโดยรวมของนิกายหยินหมิงจะสู้ผู้อื่นไม่ค่อยได้ หากแต่ความเร็วในการขุดหาหินเซียนของพวกมันนับว่าเป็น 1 ในระดับแนวหน้าของขุมพลังชั้น 7 ทั้งประเทศฝูเฟิงเลยทีเดียว!
ภายในส่วนลึกของหุบเขาอันเป็นเขตของนิกายหยินหมิง เหล่าทาสจำนวนมากกำลังทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ เหนือหัวมีแสงตะวันร้อนจ้าคอยแผดเผาเคี่ยวกรำ แต่ละคนแลดูเหนื่อยล้าอิดโรย หากแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าหยุดมือ
เพี๊ยะ!!
ยามเมื่อทาสชายวัยฉกรรจ์คนผู้หนึ่งสิ้นไร้เรี่ยวแรงจนต้องนั่งลงหยุดพัก เสียงแส้หวดฟาดเลือดเนื้อพลันดังขึ้น เป็นผู้คุมของนิกายหยินหมิงที่ลงมือด้วยอำมหิต!
แส้ที่ฟาดแหวกอากาศมาอย่างรุนแรงยามต้องกระทบเนื้อก็พาลให้เนื้อแตกโลหิตซิบ แลดูปวดแสบปวดร้อนไม่น้อย
ทาสวัยกลางคนผู้นั้นเดิมทีก็สิ้นไร้เรี่ยวแรงจะยืนหยัดอยู่แล้ว พอถูกแส้นี้หวดฟาดเข้าไป มันก็ไม่เหลือซึ่งพลังจะประคองกายสืบไป ทรุดล้มลงไปกองกับพื้นปานตะเกียงไร้น้ำมัน
“ใต้เท้า…ข้า…ขยับมิไหวแล้ว”
ทาสวัยกลางคนพยายามเผยอหน้าขึ้นมามองกล่าววิงวอนร้องขอความเห็นใจจากผู้คุมนิกายหยินหมิงที่ถือแส้ทมิฬน่ากลัว
อย่างไรก็ตามทันทีที่วาจาของชายวัยกลางคนผู้นี้ดังออก ผู้คุมนิกายหยินหมิงก็ไม่คิดใช้แส้หวดฟาดมันต่อแต่อย่างไร กลับสะบัดมือเปลี่ยนเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง กระบี่ตวัดออกไปอย่างไร้ปราณี ปลดปล่อยลำแสงพลังสังหารขุมหนึ่ง พุ่งทะลวงกลางร่างชายวัยกลางคนก่อนที่จะทันได้ตั้งตัว…
หลังจากกฆ่าทาสไปอย่างไร้เรื่องราว ผู้คุมดังกล่าวก็ใช้พลังหยิบยกไร้สภาพยกศพขึ้นมาใกล้ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน มันก็จับจ้องไปยังบาดแผลกลางร่าง ก่อนที่จะใช้พลังดูดรั้งขุมหนึ่ง ชักนำโลหิตจากร่างของผู้ตายมาดื่มกินสดๆ!
ทันทีที่มันดื่มกินโลหิตผู้ตาย ทั่วร่างมันพลันปรากฏหมอกพลังสีแดงพวยพุ่งออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เนการบ่มเพาะด้วยกลวิธีนอกรีต!
เป็นการบ่มเพาะของผู้ฝึกมาร!
แน่นอนว่าผู้ฝึกมารทุกคนไม่ได้บ่มเพาะพลังโดยการดื่มเลือดผู้คนเท่านั้น นี่เป็นเพียงเคล็ดบ่มเพาะธรรมดาๆ เคล็ดหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเห็นฉากนี้แรงงานทาสทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ก็อดไม่ได้ที่จะสยิวกาย พวกมันรีดเค้นเรี่ยวแรงออกมาสุดชีวิต รีบกระทำงานที่ได้รับมอบหมายของตัวต่อทันที ไม่มีใครอยากพบจุดจบแบบเดียวกับชายวัยกลางคนนั่น…
ในนิกายหยินหมิงแห่งนี้ ชีวิตของทาสอย่างพวกมันไร้ค่าเสียยิ่งกว่าชาสักถ้วย…
“นี่น่ะเหรอ พวกผู้ฝึกมาร…”
ห่างออกไปไม่ไกล มีทาสกลุ่มหนึ่งยืนอยู่และกำลังช่วยกันขุดหาหินเซียน
แม้ชุดคลุมของทาสกลุ่งนี้จะแลดูหรูหรามีราคาคล้ายทำจากเนื้อผ้าชั้นดี หากทว่าตอนนี้ชุดผ้าทั้งขาดวิ่นทั้งเปรอะเปื้อนฝุ่นดิน เรียกว่าแลดูมอมแมมตั้งแต่หัวจรดเท้า สภาพบัดซบเสียยิ่งกว่าขอทานอนาถาเสียอีก!
แต่หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ล่ะก็ เขาต้องสามารถระบุอัตลักษณ์ของร่างมอมแมมสกปรกกลุ่มนี้ได้ทันที…เป็นพวกเฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟงและสหายคนอื่นๆของเขา!
ตอนนี้นอกจากป๋ายลี่หงที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คนรู้จักของเขารวมตัวกันอยู่ที่นี่หมดสิ้น!
หากแต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับกลายเป็นแรงงานทาสของนิกายหยินหมิง
“โชคดีที่พวกเรายังพอมีบารมีของอาวุโสป๋ายลี่คุ้มครอง…หาไม่แล้วข้าเองก็คงถูกฆ่าตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
หนานกงยี่กล่าวออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม
เมื่อวานเพราะมันเหน็ดเหนื่อยเกินไป จึงหยุดพักเพื่อฟืนคืนเรี่ยวแรง และนั่นทำให้มันถูกหวดไปเสียหลายแส้!
ตอนนั้นมันยังถูกหวดจนไร้เรี่ยวแรงจะลุกยืนอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามผู้คุมของนิกายหยินหมิงไม่ได้ฆ่ามัน
และสาเหตุที่ทำให้มันไม่ถูกฆาตายเหมือนทาสคนอื่นๆนั้น ไม่พ้นเพราะป๋ายลี่หงได้กระทำอันใดสักอย่างไปแล้วแน่ๆ
“ข้าสงสัยนักว่าทางอาวุโสป๋ายลี่เป็นเช่นไรบ้าง…นิกายหยินหมิงนั่นมันหยาบคายต่ออาวุโสป๋ายลี่นัก ยิ่งพอพบว่าพวกเราเป็นจุดอ่อนของอาวุโสป๋ายลี่ พวกมันก็ใช้ชีวิตพวกเราบีบคั้นให้อาวุโสป๋ายลี่จารึกอาคมเซียนให้พวกมัน…”
เฉินเฉ่าช่วยกล่าวออกมาด้วยความกังวล
“ตอนนี้อาวุโสป๋ายลี่หงสมควรสบายดีอยู่…หาไม่แล้วคนของนิกายหยินหมิงจะไม่เลือกปฏิบัติกับหนานกงยี่เป็นพิเศษอย่างเมื่อวาน”
ฉงเฉวียนกล่าวออก
“กล่าวไปแล้วเป็นเพราะพวกเราแท้ๆ ผู้อาวุโสป๋ายลี่ถึงได้พลอยประสบเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปด้วย…หากมิใช่เพราะพวกนิกายหยินหมิงนั่นจับพวกเราเป็นตัวประกัน มีหรืออาวุโสป๋ายลี่จะยินดียอมถูกจับโดยไม่ขัดขืน”
โฉดคลุมทองกล่าว ในวาจาท้ายประโยคยังแฝงเร้นไปด้วยการตำหนิตัวเอง
“มิผิด ด้วยพลังฝีมือของอาวุโสป๋ายลี่ถึงแม้จักมิอาจพาพวกเราหลบหนีไปด้วยได้ แต่คิดหลบหนีไปเพียงลำพังย่อมเป็นเรื่องราวอันง่ายดายนัก”
ซื่อหม่าฉางฟงกล่าวออกเสียงเข้ม
กลับกลายเป็นว่าหลังจากที่ป๋ายลี่หงพาพวกเฟิ่งหวู่เต้าหลบหนีออกมาจากสำนักจันทร์จรัสแสง มันก็พาทั้งหมดมายังประเทศฝูเฟิงอย่างที่ต้วนหิงเทียนคาดเดาเอาไว้จริงๆ
และจุดหมายปลายทางของทั้งหมดก็คือเมืองหลวง
อนิจจาทั้งหมดกลับโชคร้ายนัก เพราะก่อนที่จะเดินทางไปถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง กลับต้องพบพานกับกลุ่มล่าทาสของนิกายหยินหมิงที่ออกมาจับผู้คนไปเป็นแรงงานทาสเสียก่อน และกลุ่มล่าทาสดังกล่าวก็ถูกนำมาโดยรองประมุขนิกายหยินหมิงเอง ซึ่งพลังฝึกปรือของมันก็บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียน นับเป็น 1 ใน 5 ของผู้เข้มแข็งนิกายหยินหมิง
ต่อหน้าผู้ที่มีพลังฝีมือเท่านี้ ลำพังป๋ายลี่หงเองย่อมสามารถหลบหนีหรือต่อกรกับมันได้
อย่างไรก็ตามมันมิได้อยู่ตัวคนเดียว และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพาพวกเฟิ่งหวู่เต้าหลบหนีไปได้ทั้งหมด
เนื่องจากป๋ายลี่หงไม่คิดหลบหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว ทั้งหมดจึงถูกคนของนิกายหยินหมิงจับมาด้วยกัน
ตอนแรกป๋ายลี่หงตั้งใจเปิดเผยฐานะปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวออกไป เพื่อหวังให้นิกายหยินหมิงเห็นคุณค่าและปฏิบัติต่อมันและพวกเฟิ่งหวู่เต้าด้วยดี ไม่ต้องกลายเป็นแรงงานทาสอะไร
อน่างไรก็ตามในฐานะนิกายที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกมาร ไหนเลยเรื่องราวจะเรียบง่ายดั่งที่ป๋ายลี่หงคิด
พวกมันไม่เพียงจับพวกเฟิ่งหวู่เต้าเป็นแรงงานทาสเหมือนเดิม แต่ยังเอาชีวิตของพวกเฟิ่งหวู่เต้ามาบังคับขู่เข็ญป๋ายลี่หงให้จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวให้นิกายหยินหมิงพวกมัน
หากป๋ายลี่หงไม่จารึกอาคมให้พวกมัน พวกมันจะฆ่าพวกเฟิ่งหวู่เต้าเสีย!
ในสายตาของป๋ายลี่หง พวกเฟิ่งหวู่เต้าคือญาติสนิทมิตรสหายที่ศิษย์น้องอย่างต้วนหลิงเทียนฝากฝังมันไว้ด้วยความเชื่อใจ หากมีใครสักคนเกิดเรื่องขึ้นมา มันย่อมไม่มีหน้าไปพบกับต้วนหลิงเทียนอีกแน่ ดังนั้นป๋ายลี่หงจึงให้ความร่วมมือกับนิกายหยินหมิงแต่โดยดีและไม่กล้าขัดขืน
อย่างไรก็ตามป๋ายลี่หงยั่งยื่นคำขาดออกมา
นั่นคือห้ามให้เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆถูกทำร้ายถึงตายเด็ดขาด หาไม่แล้วต่อให้มันต้องตายมันก็ไม่มีวันจารึกอาคมเซียนให้นิกายหยินหมิงอีกต่อไป!
นิกายหยินหมิงเองก็รู้ว่านี่เป็นขีดจำกัดล่างของป๋ายลี่หงแล้ว จึงยอมรับคำขอแต่โดยดี
ด้วยเหตุนี้แม้พวกเฟิ่งหวู่เต้าจะต้องกลายเป็นแรงงานทาสของนิกายหยินหมิง แต่ทั้งหมดก็นับว่าไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอะไร
“เฮ่สหาย! เจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือไม่ ดูเหมือนประเทศฝูเฟิงเราจักมีอัจฉริยะอีกคนปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว…ดูเหมือนอัจฉริยะผู้นั้นจะเรียกว่าต้วนหลิงเทียนอันใดนี่ล่ะ เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูแห่งเมืองหลวง!”
ทันใดนั้นเองบทสนาทนาของผู้คุม 2 คนที่อยู่ไม่ไกลพลันแว่วดังมาให้พวกเฟิ่งหวู่เต้าได้ยิน