WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1605
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1605
ตอนที่ 1,605 : ที่อยู่ของป๋ายลี่หง!
ย่อมเป็นธรรมชาติที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรในโลกภายนอกเลย
เพราะตอนนี้เขากำลังฝึกฝนบ่มเพาะอยู่บนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ การไหลของห้วงเวลาบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติยังช้ากว่าในโลกภายนอกถึง 5 เท่า เช่นนั้นเขาฝึกฝนบ่มเพาะในนี้ 5 วันด้านนอกก็พึ่งผ่านพ้นไปเพียงวันเดียว เช่นนั้นแล้วเวลาในการฝึกฝนบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียน จึงมากกว่าผู้ฝึกตนคนอื่นในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่างมีนัยสำคัญ
หลังจากทำให้รากฐานของขอบเขตพลังสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่มั่นคงแน่นหนาดีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังเพื่อให้บรรลุจุดสูงสุดของขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่
เพราะมีเพียงแต่บรรลุถึงสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่แล้วเท่านั้น ถึงจะเริ่มต้นทะลวงสู่ครึ่งก้าวเซียน และในที่สุดก็บรรลุขอบเขตเซียน!
ถึงแม้ด้วยพลังความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ จะไร้ผู้ใดภายใต้ขอบเขตเซียนต้านติด
อย่างไรก็ตามพลังฝึกปรือของเขายังพึ่งแค่เข้าใกล้จุดสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เท่านั้น ยังไม่ได้บรรลุถึงสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เลย!
“ตอนนี้ด้วยพลังทั้งความแข็งแกร่งของร่างข้า หากข้าทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนล่ะก็ ทะเลปราณของข้าจะขยายใหญ่ขึ้นอย่างมาก ถึงตอนนั้นข้าคงสามารถประมือกับขอบเขตเซียนทั่วไปได้แล้วล่ะมั้ง?”
ในขณะที่บ่มเพาะพลัง ต้วนหลิงเทียนก็มักจะวาดหวังในอนาคตเสมอ
แน่นอนว่าแม้ใจเขาจะวาดหวังไว้เช่นนั้น แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นขอบเขตเซียนทั่วไปที่ร้ายกาจที่สุดมาแล้วหรือยัง แถมตัวตนครึ่งก้าวเซียนก็ไม่อาจเทียบกับขอบเขตเซียนได้เลย
มันเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารจริงๆ!
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่หากแต่เสียงเคาะพลันดังก้องไปในอากาศ ผู้เฒ่าหั่วที่ได้ยินก็เร่งกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนทันที
“มีข่าวเรื่องศิษย์พี่กับคนอื่นแล้วงั้นเหรอ!?”
ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนพลันลุกวาวขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาได้กำชับซือถูหัง คุณชายใหญ่ตระกูลซือถูเอาไว้แล้ว ว่าอย่ารบกวนเขาตอนปิดด่านบ่มเพาะ จนกว่าจะมีข่าวของป๋ายลี่หงและคนอื่นๆ
ตอนนี้ในเมื่อเสียงเคาะประตูมันดังขึ้นมา ย่อมหมายความว่ามีข่าวของป๋ายลี่หง!
หลังจากออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวอาดๆไปเปิดประตูทันที และได้เห็นว่าเป็นซือถูหังที่มาเคาะประตู “คุณชายหัง มีข่าวของศิษย์พี่ข้าแล้วหรือ?”
“ใช่!”
ซือถูหังพยักหน้า
“ศิษย์พี่ข้าอยู่ที่ไหน!?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกไปด้วยความกระตือรือร้น
“ท่านปรมาจารย์ต้วน ความจริงคือพวกเรายังไม่พบศิษย์พี่ท่าน แต่ศิษย์พี่ท่านเป็นฝ่ายพบเรา…อย่างไรก็ตามดูเหมือนศิษย์พี่ท่านจะประสบปัญหาบางอย่าง จึงวานให้คนมาส่งป้ายหยกบันทึกเสียงที่ตระกูลซือถู นอกจากนี้ยังกำชับว่าต้องส่งให้ถึงมือท่าน”
ซือถูหังกล่าวออก
ป้ายหยกบันทึกเสียงที่จารึกด้วยอาคมเซียนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็เหมือนกันกับหยกบันทึกเสียงบนทวีปเมฆาล่อง จุดประสงค์ของมันมีไว้เพื่อบันทึกข้อความเสียงเอาไว้
แน่นนอนว่าป้ายหยกบันทึกเสียงของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันแข็งแรงทนทานยิ่งมากกว่าหยกบันทึกเสียงในทวีปเมฆาล่อง อีกทั้งยังสามารถเก็บข้อความที่บันทึกเอาไว้ได้นานกว่า ยากที่จะเสียหาย
ตอนที่ต้วนหรูเฟิงออกจากทวีปเมฆาล่องและทิ้งหยกบันทึกเสียงไว้ให้ต้วนหลิงเทียน หากต้วนหรูเฟิงใช้ป้ายหยกบันทึกเสียงแทนล่ะก็ มันคงไม่เกิดความเสียหายอะไรง่ายๆแบบนั้น
และเพราะว่าหยกบันทึกเสียงในกล่องนั่นมันแตกหัก จึงทำให้ข้อความขาดแหว่ง เขาเลยคลาดกับกู่มี่ที่มาเฝ้ารอเขาอยู่ที่เมืองท่า
หาไม่แล้วตอนนี้เขาคงได้เดินเฉิดฉายอย่างสบายใจในฐานะจ้าวตำหนักน้อยแห่งตำหนักเมฆาคราม!
“หืม?!”
ได้ยินวาจานี้ของซือถูหังต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วยู่ย่นทันที “นี่หมายความว่าท่านก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้ศิษย์พี่ของข้าหรือไม่งั้นเหรอ?”
“ผู้ที่นำป้ายหยกบันทึกเสียงมาส่งที่ตระกูลซือถูได้กล่าวกำชับไว้ ว่าผู้ที่ฝากป้ายหยกมาเรียกว่า ป๋ายลี่หง…ข้าคิดว่าสมควรเป็นศิษย์พี่ของท่านใช่หรือไม่?”
ซือถูหังกล่าวออกมาอีกครั้ง
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็ไม่น่าจะผิดคนแล้วล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
หลังจากที่รับป้ายหยกบันทึกเสียงมาจากมือของซือถูหัง ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มจ่ายปราณแท้ลงไปในตัวป้ายหยกบันทึกเสียงที่ว่าทันที
วิธีใช้งานป้ายหยกบันทึกเสียง ก็เหมือนกันกับวิธีใช้หยกบันทึกเสียงไม่มีผิด ไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นจากป้ายหยก “ศิษย์น้องพอข้าได้ยินมาว่าแขกกิตติมศักดิ์ที่พึ่งปรากฏตัวในตระกูลซือถู มีนามเต็มว่า ต้วนหลิงเทียน…ข้าก็มั่นใจเต็มสิบส่วนทันทีว่าสมควรเป็นเจ้าแน่ๆ เพราะคงมีแต่เจ้าเท่านั้นที่สามารถเอาชนะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งในประเทศฝูเฟิงอย่างแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยได้!”
“ตอนนี้เจ้ากลับมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งประเทศฝูเฟิงแล้ว…ข้าเชื่อว่านี่เป็นเจ้าจงใจกระทำเพื่อให้พวกเรารับทราบข่าวคราวของเจ้า…ดูเหมือนว่าข้าจะเดาไม่ผิด เจ้าสมควรมาตามหาข้าที่ประเทศฝูเฟิงจริงๆ!”
พอได้ยินเสียงที่กักเก็บเอาไว้ ต้วนหลิงเทียนถึงกับเผยความตื่นเต้นออกมาออกหน้าออกตา
เขาย่อมจดจำได้ว่านี่เป็นเสียงของป๋ายลี่หง ศิษย์พี่ของเขาไม่ผิดคนแน่!
“อันที่จริงหลังจากเจ้าหลบหนีออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง พวกข้าก็เกือบเผชิญกับหายนะแล้วเหมือนกัน โชคดีที่ยอดฝีมือของขอบเขตเซียนได้ทุ่มกำลังออกไปตามหาเจ้ากันจนหมด หาไม่แล้วพวกเราคงมิอาจหลบหนีออกมาจากสำนักจันทร์จรัสแสงได้”
“ตั้งแต่ที่ข้าหลบหนีออกมาจากสำนักจันทร์จรัสแสงพร้อมสหายของเจ้า ข้าก็คิดพาสหายของเจ้ามาตั้งหลักที่ประเทศฝูเฟิง…อีกทั้งข้ายังคิดจะพาทั้งหมดมายังเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง เพราะนั่นเป็นสถานที่ๆเจริญรุ่งเรืองทั้งมีความปลอดภัยมากที่สุดในประเทศฝูเฟิง…แต่ผู้ใดจะไปคิดฝัน พอพวกเราเดินทางเข้าเขตประเทศฝูเฟิงได้ไม่ทันไร กลับเผชิญคราวเคราะห์ กระทั่งถูกจับขังไว้ที่นิกายหยินหมิงเพื่อเป็นทาสของพวกมัน…”
“ยังโชคดีที่ศิษย์พี่เจ้าคนนี้ก็นับเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว ทำให้คนของนิกายหยินหมิงไม่ฆ่าพวกเรา…แต่สหายของเจ้าทั้งหมดยังคงถูกพวกนิกายหยินหมิงส่งไปเป็นคนงานที่เหมือง เพื่อขุดหาหินเซียนให้พวกมัน…”
“จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถพาทุกคนหลบหนีออกมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ…หากเจ้าสามารถกล่าวขอความช่วยเหลือจากตระกูลซือถูจนตระกูลซือถือยอมช่วยล่ะก็ ข้าเชื่อว่าพวกนิกายหยินหมิงต้องไม่กล้าไม่ปล่อยพวกเรา…”
เสียงของป๋ายลี่หงยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง “แน่นอนว่าถ้าหากตระกูลซือถูมิคิดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ…ศิษย์พี่จักพยายามหาหนทางหลบหนีออกจากนิกายหยินหมิงให้ได้โดยที่ไม่ให้มีใครเจ็บตัว…และตราบใดที่พวกเราสามารถหลบหนีออกจากนิกายหยินหมิงไปถึงเมืองหลวงได้พวกเราจะรีบไปหาเจ้าทันที…สำหรับความเป็นอยู่ของพวกเราตอนนี้ ก็ยังพอทนอยู่กันได้ มิมีอันตรายถึงชีวิตแต่อย่างไร”
นอกเหนือจากคำพูดเหล่านี้แล้ว ป๋ายลี่หงยังกล่าวถึงเหตุผลว่ามาเมืองหลวงได้อย่างไรบอกข้ออ้างที่ใช้ในการออกมา รวมถึงเรื่องที่มีรองประมุขนิกายหยินหมิงอย่างถานฉี และอาวุโสระดับสูง 2 คนที่ติดตามมาด้วย
รองประมุขนิกายหยินหมิงที่มีนามว่าถานฉีผู้นี้ คือครึ่งก้าวเซียนผู้หนึ่ง
สำหรับอาวุโสที่ติดตามมาทั้ง 2 ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ ยอดฝีมือที่บรรลุจุดสูงสุดของครึ่งก้าวเซียน
หลังจากนั้นข้อความบันทึกไว้ในป้ายหยกบันทึกเสียงก็หมดลง
“นิกายหยินหมิง!”
สองตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายเย็นเยียบออกมา จิตสังหารเริ่มคุกรุ่นในใจ!
นิกายหยินหมิงมันกล้าดีอย่างไรถึงได้กล่าจับพวกลุ่งเฟิ่งและสหายของเขาไปเป็นทาสแรงงาน!
สำหรับเขาแล้ว เรื่องนี้เสมือนพวกมันตบหน้าเขาดังฉาด!
“ท่านปรมาจารย์ต้วน ในป้ายหยกบันทึกเสียงนั่นศิษย์พี่ท่านว่าอะไรหรือ? แล้วมีอันใดให้ข้าช่วยได้บ้าง?”
หลังจากที่เห็นว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปเป็นมืดดำ ซือถูหังเร่งกล่าวออกมาทันทีดั่งสายฝนที่โปรยลงมาในยามแล้ง
“คุณชายใหญ่หัง ท่านรู้จักนิกายหยินหมิงหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนมองซือถูหัง ถาม
ในป้ายหยกบันทึกเสียงป๋ายลี่หงได้บอกรายละเอียดของนิกายหยินหมิง เขาพอเดาได้ว่าไฉนศิษย์พี่ถึงไม่กล่าวอธิบายอะไรให้มาก
เพราะอีกฝ่ายรู้ดีว่าเขาสมควรหาข้อมูลจากตระกูลซือถูได้อย่างไม่ยากเย็น
“นิกายหยินหมิงงั้นหรือ? ข้ารู้!”
ซือถูหังพยักหน้า “เช่นเดียวกับนิกายอัคคีล่องลอย นิกายหยินหมิงก็เป็นขุมพลังชั้น 7 ในประเทศฝูเฟิง อย่างไรก็ตามถึงพวกมันจะจัดว่าเป็นขุมพลังชั้น 7 แต่นิกายหยินหมิงก็ไม่อาจเทียบกับนิกายอัคคีล่องลอยได้เลย ไม่เพียงเท่านั้น…พวกมันยังห่างไกลจากการจะเทียบชั้นตระกูลซือถูของเราได้! ในประเทศฝูเฟิงกล่าวได้ว่านิกายหยินหมิงเป็ขุมพลังชั้น 7 ที่อ่อนด้อยที่สุด พวกมันมีตัวตนในขอบเขตเซียนแค่ 2 คนเท่านั้น นอกจากนี้ขอบเขตเซียนทั้ง 2 นั่นก็พึ่งทะลวงถึงขอบเขตเซียนได้เมื่อไม่กี่สิบปีก่อน”
ขุมพลังชั้น 7?
ขอบเขตเซียน 2 คน?
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว
ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจทรงพลังเพียงใด แต่หากอยู่ภายใต้ขอบเขตเซียน จะให้มันมีเป็นสิบต้วนหลิงเทียนก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย
ด้วยพลังฝีมือในตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนมั่นใจว่าเขาไร้เทียมทานภายใต้ขอบเขตเซียน!
อย่างไรก็ตามตัวตนในขอบเขตเซียนยังเป็นอะไรที่เขายากรับมืออยู่บ้าง อย่างน้อยๆด้วยพลังฝีมือของเขาหากไม่ใช้กระบี่นิลสวรรค์ คงยากจะจัดการกับพวกมัน
“ท่านปรมาจารย์ต้วน ท่านถามถึงนิกายหยินหมิงเช่นนี้ หรือศิษย์พี่ท่านเกี่ยวพันกับนิกายหยินหมิงงั้นหรือ?”
ในฐานะคุณชายใหญ่ของตระกูลซือถู ซือถูหังย่อมไม่ใช่ตัวโง่งมมันพอคาดเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ปิดบังอะไร และบอกเรื่องราวที่ศิษย์พี่และสหายของเขาออกไปโดยตรง ว่าตอนนี้ทั้งหมดถูกนิกายหยินหมิงจับตัวเอาไว้ และยังถูกบังคับให้ลายเป็นทาส “ในเมื่อนิกายหยินหมิงเป็นขุมพลังชั้น 7 ด้วยพลังฝีมือของข้าตอนนี้คิดจะช่วยเหลือพวกศิษย์พี่คงยากจะเป็นไปได้…ซือถูหัง ท่านกับบิดาพอจะช่วยเหลือข้าเรื่องนี้ได้หรือไม่?”
“หากพวกท่านสามารถช่วยเหลือศิษย์พี่และสหายของข้าได้ ถือว่าข้าติดหนี้บุญคุณท่าน!”
วาจาท้ายประโยคต้วนหลิงเทียนยังกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง
หายากนักที่ต้วนหลิงเทียนจะยินดีติดหนี้บุญคุณผู้อื่น เพราะสุดท้ายแล้วหนี้บุญคุณก็เป็นอะไรที่ยากจะชดใช้ตอบแทน
อย่างไรก็ตามวันนี้เรื่องราวมันเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของศิษย์พี่และเหล่าสหายของเขา จึงไม่ขัดข้องหากจะติดค้างใคร
“นิกายหยินหมิง…”
หลังจากได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สองตาซือถูหังทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง ค่อยกล่าว “ท่านปรมาจารย์ต้วน หากไม่ใช่นิกายหยินหมิงแต่เป็นขุมพลังชั้น 7 อื่นๆ ต่อให้มันจะแข็งแกร่งกว่านิกายหยินหมิง ข้าสามารถตอบรับคำขอท่านได้ทันที…อย่างไรก็ตามหากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนิกายหยินหมิงจริงๆ ข้าต้องไปหารือกับท่านพ่อก่อน เพื่อให้ท่านพ่อตัดสินใจ”
ทันทีที่ซือถูหังกล่าวประโยคนี้ออกมา คิ้วต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดเป็นปม
เขารู้สึกได้ทันทีว่าซือถูหังกำลังหลีกเลี่ยง!
นิกายหยินหมิงเป็นแค่ขุมพลังชั้น 7 ที่อ่อนแอที่สุดในประเทศฝูเฟิง แล้วทำไมตระกูลซือถูถึงกลัวพวกมัน?
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเป็นปม ซือถูหังได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เพราะมันย่อมเข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนกำลังคิดอะไรอยู่ “ท่านปรมาจารย์ต้วนเหตุผลที่ข้ากล่าวเช่นนี้มิใช่เพราะตั้งใจหลบเลี่ยง…หากแต่นิกายหยินหมิงกับตระกูลซือถูของพวกเรา มีสายสัมพันธ์บางอย่าง…”
“พวกมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซือถูของเจ้าด้วยงั้นเหรอ?”
หน้าต้วนหลิงเทียนจมลงโดยพลัน เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านิกายหยินหมิงจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลซือถู หากเขารู้แต่แรกเขาคงไม่คิดช่วยชีวิตซือถูหัง
แน่นอนว่าเขาก็ได้แค่คิดอยู่ในใจเท่านั้น
ตอนนั้นแม้เขาจะรู้ว่าตระกูลซือถูเกี่ยวข้องกับนิกายหยินหมิง แต่เขาก็คงรักษาซือถูหังอยู่ดีเพราะเห็นแก่รางวัลที่อีกฝ่ายสัญญาเอาไว้ แต่แน่นอนว่าถ้าเขารู้มาก่อนว่าศิษย์พี่และสหายของเขาถูกนิกายหยินหมิงจับไปเป็นทาสและกดขี่ข่มเหงแบบนี้ เขาไม่มีวันช่วยซือถูหังแน่!
“ใช่”
ซือถูหังพยักหน้า และพอเห็นสีหน้าต้วนหลิงเทียนมืดลงเรื่อยๆ มันก็รู้ว่าต้วนหลิงเทียนต้องกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่แน่ๆ จึงเร่งกล่าวอธิบายออกมาทันที “กล่าวให้ชัดพวกมันไม่ได้มีสัมพันธ์กับทั้งตระกูลซือถูของพวกเรา…แต่พวกมันมีสัมพันธ์กับฝ่ายซือถูหมิงและซือถูจั๋ว…”