WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1609
ตอนที่ 1609 : บุกนิกายหยินหมิง ช่วยคน!
เมื่อมองไปยังร่างสงบของต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่บนกระบี่บินเล่มเขื่อง ในแววตาของป๋ายลี่หงเอ่อล้นไปด้วยความประหลาดใจ!
ถึงแม้จะเคยได้ยินมาแล้วว่าพลังฝีมือของศิษย์น้องมันร้ายกาจไม่ธรรมดา แต่นั่นก็เป็นแค่เพียงข่าวลือเท่านั้น พอได้มาเห็นชัดถนัดตา นับว่าสร้างความตกตะลึงให้มันนัก!
รองประมุขนิกายหยินหมิง ผู้ดูแลฐานปฏิบัติการในเมืองหลวง โจวชู กลับตกตายลงง่ายดายเช่นนั้น!
ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในนิกายหยินหมิงได้ไม่นาน แต่มันก็ได้ยินเรื่องของโจวชูมาไม่น้อย ว่านี่คือผู้ที่มีพลังฝีมือร้ายกาจเป็นอันดับ 3 ของนิกายหยินหมิง อีกฝ่ายเป็นรองแค่ประมุขนิกายกับอาวุโสสูงสุดของนิกายเท่านั้น และทั้งสองก็คือตัวตนในขอบเขตเซียน!!
‘โจวชูผู้นี้แม้จะค้างอยู่ที่อันดับ 30 ในรายนามนภามานานปี…แต่ถึงมันจะไม่ท้าทายอันดับที่เหนือกว่าตลอดหลายปีที่ผ่าน แต่พลังฝีมือของมันน่ากลัวว่าจะเหนือกว่าอันดับที่ 30 ในรายนามนภาไปไกล’
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าอย่างสะท้าน ปากยังอ้าออกค้างปล่อยหวอ จมอยู่กับความตะลึงในพลังของต้วนหลิงเทียนไม่หาย!
ส่วนอีกด้านนั้น ถานฉีกลับมองต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนกใจ
‘โจวชูกลับถูกสังหารลงง่ายดายเช่นนั้น…นอกจากนี้เจ้านั่นมันยังใช้แค่ความเคลื่อนไหวเดียว! นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!? แม้จะเทียบกับแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย โจวชูก็มิได้อ่อนแอกว่านางแม้แต่น้อย ต้วนหลิงเทียนบัดซบนี่มันเป็นตัวประหลาดอันใดกันแน่ ถึงฆ่าโจวชูได้อย่างง่ายดายแบบนี้!’
ใจถานฉีเต็มไปด้วยความสยดสยอง ยากที่มันจะทำใจเชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้จริงๆ
หลังเห็นร่างของโจวชูไปทางหัวไปทาง สีหน้าท่าทีของอาวุโสนิกายหยินหมิงทั้ง 2 ก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ยามมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาก็คงเหลือแต่เพียงความหวาดผวาพรั่นกลัวเท่านั้น!
แม้จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือลำดับที่ 3 ของนิกายหยินหมิงพวกมัน ต้วนหลิงเทียนยังลงมือฆ่าทิ้งได้อย่างง่ายดาย ทำให้พวกมันรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรงนัก!
“ศิษย์พี่ในป้ายหยกบันทึกเสียงที่ท่านให้คนมาส่งถึงข้า ท่านได้กล่าวถึงคนที่จับท่านกับสหายข้า รวมถึงบีบบังคับท่านให้ทำงานกับนิกายหยินหยาง…ใช่เจ้านี่หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่บนกระบี่บิน กล่าวถามป๋ายลี่หงออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ชุดผ้าสีม่วงของเขาเริ่มโบกสะบัดแม้ไร้ลม สองตาเบนไปตกยังร่างถานฉี
ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน สีหน้าถานฉีเปลี่ยนไปใหญ่หลวง
“มิผิด! เป็นมัน!!”
ป๋ายลี่หงพยักหน้า และมองไปยังถานฉีเช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะถานฉีจับพวกมันไปยังนิกายหยินหมิง ป่านนี้พวกมันทั้งหมดคงมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงไปนานแล้ว และคงได้รวมตัวกับศิษย์น้องอีกครั้งแต่แรกอย่างไร้ปัญหา…
“เข้าใจผิด…ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด!!”
เมื่อแลเห็นสายตาที่จับจ้องมองมาของต้วนหลิงเทียน แววตาของถานฉีเปลี่ยนไปใหญ่หลวง มันพยายามฝืนยิ้มออกมา หากแต่รอยยิ้มของมันช่างแลดูอุบาทว์ลูกตานัก!
เรียกว่ารอยยิ้มของมัน น่าเกลียดยิ่งกว่าผู้คนร่ำไห้เสียอีก!
ในใจถานฉี ตอนนี้มันอยากหนีไปให้ไกลสุดฟ้า!
อนิจจาพอนึกถึงจุดจบของโจวชู ร่างมันก็คล้ายแข็งค้างเป็นปูนปั้น!
พลังฝีมือของโจวชูเหนือล้ำมันไปไกล อีกฝ่ายย่อมมีความเร็วเหนือมันหลายขุม!
หากกระทั่งโจวชูยังไม่มีปัญญาหนีพ้นเงื้อมมือชายหนุ่มเบื้องหน้า แล้วมันจะไปหนีพ้นได้อย่างไร!
“เข้าใจผิด?”
ป๋ายลี่หงหัวเราะเยาะ
ถานฉีย่อมไม่สนใจเสียงหัวเราะเยาะของป๋ายลี่หง สองตามันยังจับจ้องไปยังร่างต้วนหลิงเทียนไม่วาง คล้ายจะดูความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าและอาการของต้วนหลิงเทียนอย่างระวัง ราวกับมันอยากจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนคิดเห็นอย่างไร ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะมองไปยังกระบี่บินเล่มเขื่องใต้เท้าต้วนหลิงเทียน เพราะเกิดมามันพึ่งเคยเห็นการควบรวมสร้างกระบี่จากเขตแดนเช่นนี้!
อีกทั้งกระบี่เล่มนี้คล้ายจะมีอานุภาพพลังอันมหาศาลนัก!
เรื่องนี้มันเห็นได้ชัดเจน เพราะกระทั่งโจวชูยังตกตายภายใต้คมกระบี่ดังกล่าวอย่างไร้หนทางต่อต้าน
ทันใดนั้นลมหายใจของถานฉีพลันขาดห้วง!
นั่นเพราะมันพบว่ากระบี่พลังใต้เท้าต้วนหลิงเทียน กลับส่องแสงสว่างขึ้น กลิ่นอายพลังคมกล้ายังปะทุออกน่ากลัว!
พริบตานี้ทั่วร่างของมันรู้สึกเสมือนถูกกลิ่นอายพลังคมกล้าเพ่งเล็ง!
กลิ่นอายพลังคมกล้าน่ากลัวที่เพ่งเล็งมาที่มัน…ย่อมมาจากกระบี่บินดังกล่าว!
ตอนนี้สมองของถานฉีคล้ายจะอื้ออึงไม่อาจคิดอะไรได้อีก
ฟั่บ!
เสียงหอนกระบี่กรีดอากาศแว่วดังเข้าหูป๋ายลี่หงกับอาวุโสทั้ง 2 ของนิกายหยินหมิงอีกครั้ง แน่นอนว่ายังดังเข้าหูถานฉีด้วย…
และเสียงหอนของกระบี่ดังกล่าว ก็เป็นเสียงสุดท้ายที่มันได้ยินในชีวิตนี้…
ต้วนหลิงเทียนเหินกระบี่บินออกไปอีกครั้ง และปลิดหัวถานฉีด้วยความฉับไว ศีรษะที่สองตาเบิกโพลงหมุนติ้ว ร่วงตกพื้นกลิ้งหลุนๆค่อยหยุด เจริญรอยตามโจวชูไปติดๆ
เพียงเวลาแค่พริบตา รองประมุขนิกายหยินหมิงทั้งสอง กลับถูกสังหารภายใต้คมกระบี่ของต้วนหลิงเทียน…
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เห็นฉากดังกล่าวอาวุโสทั้ง 2 ของนิกายหยินหมิงหันมองสบตากันวูบหนึ่ง ก่อนที่จะเหินบินแยกย้ายออกไปคนละทิศทาง ระเบิดพลังทั้งชีวิตหนีตายด้วยความหวาดกลัว!
พวกมันรู้ดี ว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีวันละเว้นพวกมันแน่!
ถึงแม้พวกมันจะไม่รู้ว่าจะสามารถหลบหนีได้หรือไม่ แต่ถ้าอยู่พวกมันก็ตายสถานเดียว! สู้ดิ้นรนครั้งสุดท้ายเสียยังประเสริฐกว่า!!
“เหอะ!”
เห็นอาวุโสทั้ง 2 แยกย้ายกันหนี ต้วนหลิงเทียนเพียงพ่นลมออกมาเสียงเย็น
ทันใดนั้นกระบี่พลังมีสภาพใต้เท้าพลันเปล่งแสงสว่างจ้าออกมาอีกครั้งปานดวงตะวัน และทันใดนั้นก็ปรากฏกระบี่บิน นับหมื่นเล่มพุ่งออกมาทุกทิศทาง!
กระบี่บินเหล่านี้คล้ายมีดวงตางอกเงย พวกมันหลบเลี่ยงป๋ายลี่หง ไม่มีเล่มใดเฉียดกรายทำร้ายป๋ายลี่หงแม้แต่นิด
ครู่ต่อมาร่างอาวุโสทั้ง 2 ก็ถูกกระบี่นับหมื่นเล่ม ที่แยกย้ายกันออกไป 2 ทางทิ่มทะลวงจนร่างปุพรุนปานรังผึ้ง ตกตายอนาถในเวลาเดียวกัน!
การสังหารรองประมุขทั้งสองของนิกายหยินหมิงและอาวุโสสูงสุด ต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องใช้ตราผนึกมารแต่อย่างไร เขาเพียงอาศัยพลังฝีมือส่วนตัว เข่นฆ่าสังหารอย่างรวบรัดเท่านั้น
เขามั่นใจในพลังฝีมือของตัวตอนนี้นัก ว่ามันไร้เทียมทานภายใต้ขอบเขตเซียน!
สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจนแทบตั้งตัวไม่ติด ทำให้ป๋ายลี่หงตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
“ศิษย์พี่”
จนเมื่อเสียงต้วนหลิงเทียนเรียกหาออกมา ป่ายลี่หงถึงได้คืนสติ หันมองต้วนหลิงเทียนครั้งนี้ในแววตายังเต็มไปด้วยความซับซ้อน หากแต่บนใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มยินดีออกมาจากใจ มันรู้สึกดีใจนักที่ต้วนหลิงเทียนประสบความสำเร็จถึงระดับนี้แล้ว!
กาลครั้งหนึ่งศิษย์น้องของมันคนนี้ยังต้องให้มันคอยปกป้อง
แต่บัดนี้พลังฝีมือของศิษย์น้องมัน ก้าวข้ามมันไปแล้ว
“ศิษย์พี่ ท่านพาข้าไปนิกายหยินหมิงเลยเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวกับป๋ายลี่หง
ไปนิกายหยินหมิง!
หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สองตาป๋ายลี่หงทอประกายสว่างวาบขึ้นมาทันที เร่งกล่าวถามออกไปอย่างไม่รั้งรอ”ศิษย์น้อง แล้วตระกูลซือถูส่งผู้ใดมาช่วยเหลือพวกเราหรือไม่?”
“ไม่”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวค่อยกล่าว”มีแค่ข้ากับท่านเท่านั้นล่ะศิษย์พี่…”
“แค่พวกเราหรือ?”
ทันใดนั้นคิ้วป๋ายลี่หงก็ขมวดขึ้นมาเป็นปม”ศิษย์น้องเรื่องนี้มิอาจล้อเล่นได้…แม้โจวชูที่เจ้าพึ่งสังหารไปจะเป็นยอดฝีมือลำดับ 3 ของนิกายหยินหมิง แต่ผู้เข้มแข็งที่สุดในนิกายหยินหมิงกลับเป็นตัวประมุขและอาวุโสสูงสุด และพวกมันเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียน! พวกเราบุกไปย่อมไร้หนทางปกปิดจากพวกมัน เช่นนั้นก็ยากที่จะช่วยคนภายใต้จมูกของพวกมันแล้ว…”
“และทันทีที่พวกเราเริ่มต้นต่อสู้ น่ากลัวว่าจะจบสิ้นกัน…”
วาจาท้ายประโยคของป๋ายลี่หง เผยให้เห็นถึงความอับจนหนทางไม่น้อย
“ศิษย์พี่ ที่ท่านกล่าวข้าเข้าใจดี แต่ท่านอย่าห่วงเลยข้ามีหนทาง…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ศิษย์น้อง…หรือเจ้าทะลวงถึงขอบเขตเซียนแล้ว!?”
ทันใดนั้นในใจป๋ายลี่หงพลันปรากฏแสงหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาด้วยความหวัง เร่งกล่าวถามออกไปด้วยความตื่นเต้นทันที
“ไม่”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา แม้เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ พลังฝึกปรือของเขาก็ก้าวหน้าด้วยความเร็วไม่น้อย แต่เขายังขาดอีกเล็กน้อยถึงจะบรรลุครึ่งก้าวเซียน
แม้เขาจะมีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ แต่ก็ยังคงต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะอีกสักพัก…
“ไม่?”
หลังได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงก็เผยความอับจนออกมา”ศิษย์น้องข้าไม่ได้ดูเบาเจ้า…พลังฝีมือของเจ้านั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง กระทั่งอาจจะเป็นอันดับ 1 ในรายนามนภาได้แล้ว หากแต่ต่อให้เป็นอันดับ 1 ในรายนามนภาก็มิอาจเทียบได้กับขอบเขตเซียนทั้ง 2…ช่องว่างระหว่างขอบเขตสู่เซียนกับขอบเขตเซียนนั้นกว้างใหญ่เกินที่ผู้ใดจะถมกลบได้ ยังนับประสาอะไรกับมีขอบเขตเซียน 2 คน”
“อีกทั้งภายใต้การเฝ้าระวังของเซียนทั้ง 2 คน…คงยากที่พวกเราจะช่วยสหายของเจ้าได้อย่างปลอดภัย”
เรื่องนี้ป๋ายลี่หงก็ตระหนักได้ชัดเจน
นี่เป็นเพราะมันรู้ว่าถานฉีได้ไปรายงานต่อประมุขเรียบร้อยแล้ว
เรื่องที่ตัวมันอ้างว่ากำลังจะบรรลุปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาว นั่น ไม่พ้นคงทำให้ประมุขนิกายเลือกที่จะไปเฝ้าจับตาดูพวกเฟิ่งหวู่เต้าด้วยตัวเอง
เพราะมันตระหนักได้ชัดเจนดี ว่าขอเพียงนิกายหยินหมิงยังมีพวกเฟิ่งหวู่เต้าเป็นตัวประกัน ตัวมันก็ต้องถูกนิกายหยินหมิงควบคุมเอาไว้ให้อยู่ใต้อาณัติอย่างไม่ยากเย็น
ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้เรื่องที่จะลอบเข้าไปช่วยเหลือพวกเฟิ่งหวู่เต้า โดยไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!
“ศิษย์พี่ขอท่านโปรดวางใจ ข้ามีวิธีที่จะช่วยเหลือลุงเฟิ่งและคนอื่นๆ”
ถึงแม้ป๋ายลี่หงจะกล่าวเตือนเรื่องขอบเขตเซียนทั้ง 2 ไปแล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนก็แลคล้ายไม่ยี่หระ ประหนึ่งไม่ได้นำพาอะไรกับขอบเขตเซียนทั้ง 2 นั่นเลย สีหน้าแววตายังเต็มไปด้วยความมั่นใจนัก
ป๋ายลี่หงไม่ใช่พึ่งรู้จักกับต้วนหลิงเทียนมาแค่วันสองวัน แน่นอนย่อมรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนทำอะไรอย่างขอไปที
ถึงแม้มันจะไม่ทราบว่าต้วนหลิงเทียนไปเอาความมั่นใจมาจากที่ไหน แต่มันก็ไม่กล่าวอะไรให้เวิ่นเว้อสืบต่อ หลังออกจากฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิง ป๋ายลี่หงก็พาต้วนหลิงเทียนไปยังนิกายหยินหมิงทันที
ระหว่างเดินทาง อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนก็พุ่งพล่านขึ้นมาไม่น้อย
‘ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้ข่าวเรื่องของลุงเฟิ่งเร็วขนาดนี้…หากลุงเฟิ่งรู้ว่าข้าพบเทียนหวู่แล้ว ไม่รู้ว่าลุงเฟิ่งจะยินดีมากถึงขนาดไหน ข้าเองยังดีใจไม่น้อย…พ่อกับลูกสาวที่ไม่พบหน้ากันหลายปี กำลังจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง!’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนคิดถึงเฟิ่งเทียนหวู่ที่รออยู่ที่นิกายอัคคีล่องลอย
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับป๋ายลี่หงเดินทางไปนิกายหยินหมิง ทางด้านฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงที่เมืองหลวงก็แทบลุกเป็นไฟ
นั่นเพราะกลิ่นคาวโลหิตจากร่างของรองประมุขทั้ง 2 และผู้อาวุโสสูงทั้ง 2 ได้ดึงดูดความสนใจของศิษย์นิกายหยินหมิงทั้งหมด!
ข่าวเรื่องการตายของทั้ง 4 แพร่ไปไวดังไฟลามทุ่ง! ยังเริ่มแพร่กระจายออกไปนอกฐานปฏิบัติการอีกด้วย!!
“เรื่องประหลาดใจ?”
ที่ตระกูลซือถู ผู้นำตระกูลอย่างซือถูฮ่าว พึ่งได้รับทราบเรื่องราวที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกกับซือถูหังเอาไว้ และก่อนที่มันจะได้หารืออะไรต่อในเรื่องนี้ ก็มีคนของตระกูลซือถูเร่งรุดเข้ามาห้องโถงหลัก
ผู้ที่รีบร้อนเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นซือโฮ่ว อาวุโสสูงสุดของตระกูลซือถู
มีเพียงมันเท่านั้นที่จะกล้าบุกเข้ามาพบซือถูฮ่าวแบบนี้ โดยไม่ต้องกล่าวแจ้งเตือน