WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1610
ตอนที่ 1610 : ประมุขนิกายหยินหมิง
“ท่านผู้นำ ฐานปฏิบัติการณ์ของนิกายหยินหมิงในเมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว! รองประมุขนิกาย โจวชู ถานฉี และผู้อาวุโสระดับสูง 2 คนถูกยอดฝีมือลึกลับผู้หนึ่งสังหาร!”
ทันทีที่ซือถูโฮ่วเข้ามา ก็เร่งรายงานออกมารวดเดียวจบ!
ในน้ำเสียงยังเผยความสุขความยินดีเอาไว้อย่างยากจะปิด
นิกายหยินหมิง กล่าวไปก็เสมือนหอกข้างแคร่ฝ่ายมัน เพราะอีกฝ่ายเป็นขุมกำลังของซือถูหมิง!
ข่าวที่ดั่งระเบิดลงนี้ของนิกายหยินหมิง เรียกว่าเป็นเรื่องดีสำหรับพวกมันแน่นอน!
หลังได้ยินรายงานของซือถูโฮ่ว ซือถูฮ่าวกับบุตรชายอย่างซือถูหังถึงกับหันหน้ามามองกันทันที
และตอนนี้ทั้งพ่อทั้งลูกต่างได้เห็นถึงแววตาประหลาดใจทั้งเหลือเชื่อจากอีกฝ่าย!
“ปรมาจารย์ต้วน!!”
ครู่ต่อมาทั้งคู่ก็โพล่งออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน!
“ปรมาจารย์ต้วน? เกิดอันใดกับท่านปรมาจารย์ต้วนหรือ?”
ซือถูโฮ่วที่ได้ยินพ่อลูกโพล่งออกมาพร้อมกันก็แปลกใจ จนอดถามออกไปด้วยความงุนงงเสียไม่ได้
“ท่านปู่โฮ่ว…เมื่อครู่ท่านบอกว่า กระทั่งรองประมุขอย่างโจวชูก็ถูกฆ่าตายด้วยเช่นกันงั้นหรือ?”
ซือถูหังอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามย้ำออกมา
“ใช่”
ซือถูโฮ่วพยักหน้า”โจวชูตกตายคาที่ ดูเหมือนว่ามันจะถูกตัดหัว…ตอนนี้หลายคนกำลังถกเถียงกันอยู่ ว่ามือสังหารน่าจะเป็นยอดฝีมืออันร้ายกาจในขอบเขตเซียน เนื่องจากสามารถสังหารโจวชูได้อย่างง่ายดาย…ถึงแม้โจวชูผู้นี้จะรั้งอยู่ในอันดับที่ 30 ของรายนามนภา แต่นั่นก็เป็นอันดับเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว”
“เหตุผลที่โจวชูยังรั้งอยู่ในอันดับนี้ เพราะมันมิคิดท้าทายผู้ใดในอันดับต้นๆ…อันที่จริงพลังฝีมือของมันตอนนี้ สมควรแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่า 10 อันดับแรกด้วยซ้ำ”
ซือถูโฮ่วกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ว่ากันตามตรงพลังฝีมือของมันสมควรเหนือกว่าแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยเสียอีก”
ซือถูหังพยักหน้ารับทราบ
“ดูเหมือนว่าท่านปรมาจารย์ต้วนจะร้ายกาจยิ่งกว่าที่พวกเราคิดไว้…”
ซือถูฮ่าวกล่าวออกมาด้วยความเหลือเชื่อ”ดูท่าแล้วพลังฝีมือที่แท้จริงของท่านปรมาจารย์ต้วน คิดจะเอาชนะ 3 อันดับแรกในรายนามนภา ก็คงมิได้ยากเย็น”
“นั่นสิ”
ซือถูหังพยักหน้าเห็นด้วย
“อะไร?!”
ผู้กล่าวเพียงกล่าวออกมาอย่างไม่คิดอะไร แต่ผู้ฟังอดไม่ได้ที่จะตะลึงลาน ซือถูโฮ่วถึงกับจ้องผู้นำอย่างซือถูฮ่าวด้วยความตื่นตา”ท่านผู้นำ ท่านหมายความว่า…มือสังหารที่ฆ่าโจวชู เป็นท่านปรมาจารย์ต้วนหรือ?”
“หัง ลูกบอกเรื่องที่พึ่งบอกพ่อให้อาวุโสโฮ่วฟังเถอะ”
ซือถูฮ่าวหันไปกล่าวทั้งพยักหน้าให้ซือถูหัง
ไม่นานซือถูหังก็เล่าเรื่องที่เคยเล่าให้ซือถูฮ่าวฟังแก่ซือถูโฮ่วทั้งหมด
“อะไรนะ?! ศิษย์พี่ของท่านปรมาจารย์ต้วนกับสหายถูกคนของนิกายหยินหมิงกักขังเอาไว้?”
ซือถูโฮ่วขมวดคิ้ว”เรื่องนี้เราควรช่วยเหลือท่านปรมาจารย์ต้วน…แต่กลับเกี่ยวข้องกับนิกายหยินหมิงเช่นนี้ พวกเราเองก็มิอาจลงมือวู่วามได้ หาไม่แล้วตระกูลเราคงได้บังเกิดความเปลี่ยนแปงพลิกฟ้าคว่ำดินแน่! นอกจากนี้การที่ฐานปฏิบัติการนิกายหยินหมิงเกิดเรื่อง ฝ่ายซือถูหมิงมิพ้นต้องสงสัยพวกเราเป็นอันดับแรก!”
“ถึงแม้ตอนนี้พวกมันจะไม่ฉีกหน้าพวกเราและมาหาความโดยตรง แต่พวกมันสมควรจับตาดูพวกเราอยู่…หากพวกเราช่วยท่านปรมาจารย์ต้วนในเรื่องนี้ และเรียกร้องให้พวกนิกายหยินหมิงปล่อยคน น่ากลัวว่าพวกมันจะเริ่มสงครามกลางเมือง แตกหักกับฝ่ายเรา!”
สงครามกลางเมือง!
คำสองคำนี้เป็นดั่งหายนะสำหรับตระกูลซือถู
ในประเทศฝูเฟิงนั้นมีขุมพลังชั้น 7 มากมาย และก็มีหลายขุมพลังที่ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าตระกูลซือถู อย่างไรก็ตามหากเกิดการต่อสู้แตกหักขึ้นมาจริงๆ ไม่พ้นต้องประสบความสูญเสีย ประทั่งอาจจะเสียเสาหลักของตระกูล เรื่องที่จะตกไปเป็นขุมพลังชั้น 8 ชั้น 9 ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นขุมพลังใด ล้วนพยายามหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองและการแตกหักภายในกันถึงที่สุด
นั่นเพราะเมื่อขุมพลังใดต่อสู้แตกหักเริ่มเปิดสึกกลางเมือง ย่อมเข้าอีหร็อบ”นกกระสากับหอยกาบสู้กัน ชาวประมงอยู่ด้านหลัง”
เรียกว่าหากเกิดการรบพุ่งแตกหักจริงๆ ทุกๆขุมพลัง 7-8 ส่วนที่เคยเป็นศัตรูกับตระกูลซือถู ย่อมไม่พลาดโอกาสอันประเสริฐนี้แน่!
“เรื่องนี้ ท่านปรมาจารย์ต้วนกล่าวไว้ ว่าพวกเรามิต้องยื่นมือ…”
ซือถูหังกล่าวออกมาอีกครั้ง
“ท่านปรมาจารย์ต้วนยังบอกไว้ว่าจะทำให้พวกเราประหลาดใจ…เป็นไปได้หรือไม่ ว่าที่ท่านปรมาจารย์ต้วนกล่าวจะหมายถึงเรื่องสังหารโจวชู และคนอื่นๆ?”
ซือถูฮ่าวกล่าวออกด้วยสงสัย
“สมควรเป็นเช่นนั้น”
ซือถูโฮ่วพยักหน้า
“เรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ของนิกายหยินหมิงนัก ฝ่ายซือถูหมิงเองก็คงต้องเร่งรุดไปตรวจสอบสถานการณ์…หัง ลูกเห็นท่านปรมาจารย์ต้วนกลับมาแล้วหรือยัง?”
ซือถูฮ่าวหันไปถามซือถูหัง
ซือถูหังส่ายหน้าเป็นคำตอบ
ในเวลาเดียวกัน อีกฟากหนึ่งในเขตที่พักตระกูลซือถู มีผู้คนมารวมตัวกันมากมายในลานแห่งหนึ่ง
ในบรรดาคนเหล่านี้มีผู้นำเป็นชายวัยกลางคน
หากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ด้วย คงจดจำชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ทันที มันไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นรองผู้นำตระกูลซือถู ซือถูหมิง ที่เขาเคยพบมาก่อนหน้านี้
“ท่านรองผู้นำ อยู่ดีๆ ฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงก็เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ข้ากลัวว่าเรื่องนี้คงไม่ธรรมดาแล้ว…ท่านว่า เรื่องนี้จะใช่ฝีมือของผู้นำหรือไม่?”
ชายชรามากอายุคนหนึ่งมองถามซือถูหมิง
“ข้าเองก็คิดว่าสมควรเป็นฝีมือของท่านผู้นำ…หาไม่แล้วฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงที่อยู่อย่างสงบมาหลายปี ไฉนเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นมาได้?”
ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเห็นด้วย
“แต่ข้ากลับไม่คิดว่านี่เป็นฝีมือของท่านผู้นำ…บางทีอาจเป็นฝีมือของศัตรูนิกายหยินหมิง จะอย่างไรพวกนิกายหยินหมิง 9 ใน 10 ส่วนล้วนแต่เป็นผู้ฝึกมาร สันดารพวกมันล้วนก้าวร้าวหัวรุนแรงเป็นทุน ผู้ใดจะไปรู้ว่าพวกมันเคยล่วงเกินใครมาบ้าง บางทีอาจมีใครในพวกมันไปตอแยยอดฝีมือเข้า…ถึงได้ทำให้เกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ขึ้น”
ชายวัยกลางคนที่แลคล้ายบัณฑิตพลันกล่าวความเห็นออกมาในเวลาที่เหมาะสมนัก
“เรื่องนี้ก็อาจเป็นได้!”
วาจาของบัณฑิตวัยกลางคนมีผู้คนเห็นด้วยไม่น้อย หากแต่ก็มีผู้ที่ไม่เห็นด้วย จึงเกิดการถกเถียงกันตามประสา
“เอ่าละ เลิกเถียงกันเสียที! เรื่องนี้พวกเราอย่าพึ่งกังวลไปให้มาก…เพียงรออาวุโสจงกลับมาเถอะ ถึงตอนนั้นพวกเราจักได้รับคำตอบ”
ซือถูหมิงกล่าววาจาออกมาหยุดการถกเถียงคาดเดา และทันทีที่มันกล่าวจบทั้งลานก็ตกอยู่ในความเงียบ
เห็นได้ชัดว่าบารมีของซือถูหมิงนั้นมากมายนัก เพียงมันกล่าวคำเดียวทุกผู้คนก็เงียบปาก กระทั่งตอนนี้ให้เข็มตกลงพื้นสักเล่มก็คงได้ยิน
อาวุโสจงที่ซือถูหมิงพูดถึง ก็เป็นผู้อาวุโสระดับสูงในตระกูลซือถูเช่นกัน
ในตระกูซือถูแห่งนี้ ศักดิ์ศรีของมันก็เทียบได้กับซือถูโฮ่ว
หลังจากผ่านไป 1 เค่อ ก็ปรากฏร่างชายชราศีรษะโล้นเกลี้ยงเกลาคนหนึ่งหน้าลาน
ลูกตามันคมกล้าดั่งพญาอินทรีย์ ยากที่จะมีใครหาญกล้าสบตามัน มันว่ายตามองไปที่ใดทุกคนก็หลบสายตาของมันหมด
“มิใช่ฝีมือของซือถูโฮ่วและซือถูฮ่าว”
ชายชราหัวโล้นผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น มันคือ ซือถูจง! หลังจากมันเดินเข้ามาในลานไม่ทันไรมันก็มองกล่าวกับซือถูหมิงทันที
พอได้ยินคำนี้ของชายชรา ซือถูหมิงก็พยักหน้ารับคำ ค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ดูเหมือนว่าจักเป็นศัตรูของนิกายหยินหมิงที่บุกมาถึงถิ่นพวกมัน…ครั้งนี้คงเป็นเพราะนิกายหยินหมิงมันไปตอแยคนผิดเข้าแล้วจริงๆ ตอนนี้พวกมันกลับสูญเสียสุดยอดฝีมือครึ่งก้าวเซียนอย่างโจวชูไปแล้ว นิกายของพวกมันยังหวังจะเป็นใหญ่ได้หรือ? มิรู้พวกมันจะหันไปพึ่งพิงผู้ใด?”
ครู่ต่อมาก็มีเสียงแค่นคำเย้ยหยันดังขึ้น
เสียงเย้ยเยาะด้วยความสะใจยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากแต่ก็มีคนที่หน้าเสียเช่นกัน
ในฐานะที่เป็นคนสำคัญในฝ่ายซือถูหมิง เหล่าผู้ที่หน้าเสียย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายซือถูหมิงกับนิกายหยินหมิงดี แน่นอนว่าการที่นิกายหยินหมิงประสบความสูญเสีย ก็นับเป็นความสูญเสียของพวกมันเช่นกัน!
“เอาล่ะพอได้แล้ว กล่าวไปตอนนี้ก็ป่วยการ…เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ เร่งออกตามหาผู้ที่นิกายหยินหมิงไปล่วงเกินเสีย!”
ซือถูหมิงกล่าวออกมาด้วยความขุ่นขึ้งใจ
ในขณะที่ฝ่ายซือถูหมิงกำลังตกใจ และสับสนกับโชคร้ายที่อยู่ๆหล่นทับฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงนั้นเอง ทางด้านต้วนหลิงเทียนที่มีป๋ายลี่หงนำทางก็ได้บรรลุถึงนิกายหยินหมิงเรียบร้อย
“ศิษย์น้อง เจ้ามีแผนอันใด?”
ป๋ายลี่หงมองต้วนหลิงเทียนพร้อมถามเสียงเข้ม
“ศิษย์พี่เพียงรอข้าอยู่ที่นี่…ข้าจะไปสำรวจที่ทางสักพัก แล้วพวกเราจะไปช่วยเหลือลุงเฟิ่งกับคนอื่นๆด้วยกันหลังจากที่ข้ากลับมา”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกป๋ายลี่หง
กล่าวจบเขาก็ไม่รอให้ป๋ายลี่หงตอบสนองอะไร เพียงวูบร่างหายไปต่อหน้าต่อตาป๋ายลี่หงอย่างฉับไว ยังคล้ายอันตรธานหายไปในอากาศ
เห็นดังนี้ป๋ายลี่หงก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมออกมา แต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็จำต้องอดทนรออยู่ที่นี่
นิกายหยินหมิงนั้นไม่มีอาคมห้ามบินจารึกเอาไว้ จึงเป็นเรื่องง่ายที่ต้วนหลิงเทียนจะบุกเข้าไปในเขตนิกาย และเขาก็ไม่ถูกผู้ใดขัดขวาง มุ่งหน้าไปยังส่วนตะวันออกได้อย่างราบรื่น
เส้นทางในนิกายหยินหมิงนั้น ต้วนหลิงเทียนได้รู้มาจากป๋ายลี่หงขณะเดินทางมาเรียบร้อยแล้ว
ยอดฝีมือขอบเขตเซียนทั้ง 2 คนของนิกายหยินหมิงนั้น จะบ่มเพาะพลังอยู่ที่ส่วนตะวันออก ทั้งคู่คือประมุขกับอาวุโสสูงสุด ที่พวกมันอยู่ตรงนั้นเพราะส่วนตะวันออกมีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นที่สุด และเป็นสถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดในนิกาย ทั้งสายแร่หินเซียนระดับ 7 ของนิกายหยินหมิงก็ขุดได้หินเซียนระดับ 6 เป็นจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้พลังวิญญาณฟ้าดินของที่นี่จึงหนาแน่นนัก!
ต้วนหลิงเทียนเข้าไปในส่วนตะวันออกอย่างง่ายดาย คล้ายกำลังเดินเล่นชมสวน
ถึงแม้จะมีผู้คนเฝ้าเขตนี้เพียงแค่ไม่กี่คน แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนที่ก้าวหน้าจนไม่ใช่อะไรในอดีตจะเทียบได้ คนส่วนใหญ่ก็จึงไม่อาจจับสัมผัสพลังและความเคลื่อนไหวของเขาได้เลย
“หืม?”
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณขุมหนึ่งที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นในความว่าง และกำลังกวาดผ่านมาทางเขา
“สำนึกเทวะสินะ…”
พริบตานี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันทีว่านี่สมควรเป็นสิ่งที่เรียกว่าสำนึกเทวะของตัวตนในขอบเขตเซียน
“เจ้าเป็นผู้ใด ไฉนถึงได้บุกรุกเข้ามาพื้นที่หวงห้ามของนิกายข้า!?”
แทบจะพร้อมกันกับที่สำนึกเทวกวาดผ่านร่างเขา ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงหนึ่งที่คล้ายจะดังขึ้นจากทุกทิศทาง
“เจ้าเป็นประมุขนิกายหยินหมิง หรืออาวุโสสูงสุดของนิกายหยินหมิงกันล่ะ?”
แม้จะได้ยินเสียงนี้ หากแต่สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงไม่แปรเปลี่ยน ท่าทางยังคงสบายๆเหมือนเดิมกล่าวถามออกไปเสียงเรียบ
“หืม!? เจ้านับว่ามีความกล้าเหนือสู่เซียนทั่วไปไม่น้อย รู้ทั้งรู้ว่าข้าอาจะเป็นประมุขนิกายหยินหมิง แต่ยังคงใจเย็นอยู่ได้”
เสียงผ่านปราณแรกกำเนิดดังขึ้นอีกครั้ง ในน้ำเสียงเผยความประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้าเป็นประมุขนิกายหยินหมิงแล้วมันจะทำไมหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนยังคงถามกลับด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
ฟู่ม!
ทันใดนั้นเองคล้ายมีสายลมแรงพัดมาหอบหนึ่งใกล้ๆจุดที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ กลางอากาศว่างเปล่ายังปรากฏคลื่นพลังจางๆขุมหนึ่ง มองไปเป็นร่างที่คล้ายจะผุดโผล่ขึ้นมาจากอากาศว่างเปล่า
แน่นอนว่าร่างมันไม่ได้โผล่ออกมาจากความว่างจริงๆ
zภายใต้ม่านตาพิสดารที่ต้วนหลิงเทียนเปิดใช้การทำงานเล็กน้อย เขาก็แลเห็นเส้นทางการบินของร่างผู้มาใหม่ชัดเจน
มันเป็นร่างในชุดคลุมสีดำบริเวณชายขอบขลิบไว้ด้วยสีแดง ชุดคลุมของมันนับว่าดูเป็นทางการ เรียบร้อยนัก
มองให้ชัดจะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าได้รูปปานหยกเสลา ดวงตาคมกล้าคิ้วเข้มคล้ายดาบ เพียงใครมองก็บอกได้ว่าครั้งอีกฝ่ายยังเยาว์ต้องเป็นคุณชายที่หล่อเหลาเอาเรื่องคนหนึ่ง