WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1649
ตอนที่ 1649 : พบกันอีกครั้ง
สตรีที่ฟุบอยู่ในศาลากลางน้ำนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคุณหนูใหญ่คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน หานเฉวี่ยไน่เอง!
แตกต่างไปจากความทรงจำของต้วนหลิงเทียน ที่หานเฉวี่ยไน่เป็นเพียงดรุณีน้อยวัย 15-16 ปีนัก เพราะตอนนี้ความอ่อนวัยไร้เดียงสาได้มลายหายไปจากใบหน้าหานเฉวี่ยไน่หมดแล้ว ราวกับนางเติบโตเป็นสาวงามในชั่วข้ามคืน
อย่างน้อยๆความงามของหานเฉวี่ยไน่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลี่เฟย เค่อเอ๋อ และเฟิ่งเทียนหวู่เลย!
“ท่านลุงชิงมีธุระกับข้าหรือ?”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวถามออกมา
ทว่าชายเคราดกไม่กล่าวออกมาทันที เพียงมองไปยังสตรีรับใช้ข้างกาย
ท่าทางนี้ของมันก็สื่อเจตนาชัดแจ้ง ว่าไม่สะดวกกล่าวยามมีคนนอกอยู่
แน่นอนว่ามันสามารถส่งเสียงกล่าวกับอีกฝ่ายได้
อนิจจาเนื่องจากสถานะของมันกับสตรีเบื้องหน้าแตกต่างกันเกินไป หากไม่จำเป็นมันไม่กล้าส่งเสียงกล่าวกับตัวตนที่มีระดับสูงส่งแบบนี้ เพราะมันจะแลดูหยาบคายไม่เคารพ
“เจ้าออกไปก่อน”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวตอบรับทันที สั่งให้สตรีรับใช้ล่าถอยออกไป
ครู่ต่อมาก็คงเหลือแต่หานเฉวี่ยไน่กับชายเคราดกเท่านั้นในศาลากลางน้ำ
“มีเรื่องสำคัญงั้นหรือ?”
จากสีหน้าท่าทางของชายเคราดก หานเฉวี่ยไน่ก็บอกได้ท่าทางเรื่องที่มันนำมาจะไม่ธรรมดา ก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวตอบนางจึงกล่าวถามออกมาเสียก่อน
“ใช่ขอรับคุณหนู”
ชายเคราดกผงกศีรษะรับ
“เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องสงวนท่าที กล่าวบอกกับข้าด้วยการส่งเสียงได้เลย”
ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าลุงชิงมีธุระอะไรกับนาง แต่นางคิดว่าต้องสำคัญแน่แท้ เพราะรู้ว่าหากไม่สำคัญจริงๆ อีกฝ่ายจะไม่ส่งคนมาหานางแบบนี้
ชายเคราดกพยักหน้าก่อนที่จะกล่าวส่งเสียงออกมาทันที”อันที่จริง ท่านเจ้าเมืองให้ข้ามาถามคำถามกับคุณหนูไม่กี่ประโยคขอรับ”
“ถามข้าไม่กี่ประโยค?”
หานเฉวี่ยไน่ถามกลับดว้ยความอยากรู้ทันที
“เรื่องแรกท่านเจ้าเมืองให้ข้าเรียนถามคุณหนูว่า ท่านเคยรู้จักบุรุษที่มีนามว่า ‘หลิงเทียน’ หรือไม่ บุรุษผู้นี้ยังมีอายุมิถึง 40 ปี”
ชายเคราดกส่งเสียงกล่าวสืบต่อออกมา
หลิงเทียน!
วาจาเพียงครึ่งประโยคแรกของชายเคราดกก็ทำให้สองตาหานเฉวี่ยไน่ลุกวาวขึ้นมาแล้ว ความตื่นเต้นยังปรากฏบนใบหน้างดงามของนางอย่างเห็นได้ชัด
หลิงเทียน สองคำนี้ไม่ใช่คำแปลกหูของนางแต่อย่างไร
นี่เป็นนาม พี่ใหญ่หลิงเทียน ของนาง!
ทันทีที่นางได้ยินคำ 2 คำนี้ สิ่งแรกที่นางคิดถึงก็คือ พี่ใหญ่หลิงเทียน ต้วนหลิงเทียนของนาง!
“เขาเรียกว่าหลิงเทียนหรือ แล้วเขาได้กล่าวบอกแซ่กับเจ้าหรือไม่?”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวถาม
“เอ่อ หลิงมิใช่แซ่ของเขาหรือขอรับ?”
ชายเคราดกอึ้งไปเล็กน้อย
“ไม่ได้กล่าวแจ้งแซ่ไว้งั้นเหรอ?”
ได้ยินคำของชายเคราดก หานเฉวี่ยไน่ขมวดคิ้วคู่งามขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนที่จะคลายออกในเวลาไม่นาน
เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้กล่าวแจ้งแซ่ไว้ แต่นางยังรู้สึกได้ว่านี่สมควรเป็นพี่ใหญ่หลิงเทียนของนาง”แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ใด?”
“อยู่ในเรือนรับรองของจวนเจ้าเมืองขอรับ”
ชายเคราดกกล่าวออกไปตามตรง
“ในเรือนรับรองของจวนเจ้าเมืองงั้นเหรอ?”
พอหานเฉวี่ยไน่ได้ยิน นางก็คิดจะแจ้นไปจวนเจ้าเมืองในเมืองคลื่นขจีทันทีเพื่อดูว่า คนผู้นี้ใช่พี่ใหญ่หลิงเทียนของนางจริงๆหรือไม่!
ถึงแม้นางจะมีสัญชาตญาณอันแรงกล้าว่าคนผู้นี้สมควรเป็นพี่ใหญ่หลิงเทียนของนาง แต่นางก็ไม่กล้ามั่นใจเต็มสิบส่วน!
แน่นอนว่าแม้หานเฉวี่ยไน่จะคิดถึงเรื่องแจ้นไปยังจวนเจ้าเมืองที่เมืองคลื่นขจี แต่นางก็รู้ดีว่าไม่อาจกระทำเช่นนั้นได้
ถึงแม้ตอนนี้นางจะดูเหมือนเป็นอิสระ แต่จริงๆแล้วรอบเขตที่พักของนางนั้นซุกซ่อนไว้ด้วยยอดฝีมือของคฤหาสน์คลื่นขจีมากมาย…ยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนอยู่ฝ่ายเดยีวกับอาวุโสสูงสุด หานซิ่น ต่างเห็นดีเห็นงามให้นางแต่งกับนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!
จุดประสงค์เดียวที่พวกมันมาซุ่มจับตาดูอยู่รอบๆแบบนี้ ก็เพื่อกันไม่ให้นางหลบหนีไปไหนได้!
ดังนั้นถึงแม้นางจะอยากออกไปยืนยันมากแค่ไหน แต่นางรู้ดีว่าไม่พ้นต้องถูกหยุดเอาไว้แน่..
“เขายังกล่าวบอกอะไรเจ้ามาอีกหรือไม่?”
หานเฉวี่ยไน่มองชายเคราดกด้วยใบหน้าตื่นเต้น กล่าวถามออกมาอย่างร้อนใจ
“ท่านเจ้าเมืองฝากข้ามาให้บอกต่อคุณหนู ว่าเขาฝากวาจามาถึงคุณหนูประโยคหนึ่งขอรับ”
ชายเคราดกกล่าวออกมาอีกครั้ง
“ว่าอะไร!?”
ลมหายใจของเฉวี่ยไน่เร่งร้อนขึ้นมาเล็กน้อย แววตายังกลายเป็นคมกล้า
“พี่ใหญ่หลิงเทียนอยู่นี่แล้ว”
ชายเคราดกกล่าวตอบออกไป”นี่เป็นวาจาที่เขาฝากมาขอรับ”
และไม่นานมันก็พบว่าทันทีที่มันกล่าวจบคำ สตรีแสนงามเบื้องหน้าก็คล้ายถูกจี้สกัดจุดชีพจร นางยื่นแน่นิ่งไม่ไหวติง สีหน้าของนางยังชะงักค้างไปทันใด
อย่างไรก็ตามพอผ่านไปอีกครู่หนึ่ง มันก็แลเห็นถึงความตื่นเต้นยินดีเอ่อล้นออกมาในแววตาหานเฉวี่ยไน่ ยังแลเห็นซึ้งถึงความดีใจที่เผยออกบนใบหน้าชัดเจน
‘ดูเหมือนบุรุษผู้นั้นจักเป็นสหายของคุณหนูใหญ่จริงๆ’
ถึงแม้หานเฉวี่ยไน่จะยังไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ชายเคราดกก็ตัดสินไปในใจแล้ว
“ชายผู้นั้นเขาอ้างว่าเป็นสหายของคุณหนูใหญ่ขอรับ”
อย่างไรก็ตามชายเคราดกยังคงส่งเสียงกล่าวออกมาตามหน้าที่
พี่ใหญ่หลิงเทียน!
พอได้ยินคำสี่พยางค์นี้ หานเฉวี่ยไน่มั่นใจเต็ม 10 ส่วนว่าผู้มาคือพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางแน่นอน! คนที่รอนางอยู่ในเรือนรับรองของจวนเจ้าเมือง เป็นพี่ใหญ่หลิงเทียนของนาง!!
อย่างไรก็ตามนางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าพี่ใหญ่ของนางจะมาพบกับนางในสถานการณ์เช่นนี้
ต้องทราบด้วยว่านางเคยกังวลเรื่องต้วนหลิงเทียนจะทานทนรับแรงกดดันไม่ไหว เช่นนั้นแล้วนางจึงไม่เคยบอกพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางเลย ว่านางคือคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่คฤหาสน์คลื่นขจีเป็นขุมพลังชั้นใดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าด้วยซ้ำ
พอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนอยู่ที่จวนเจ้าเมือง หานเฉวี่ยไน่ก็ร้อนใจอยากเหินร่างออกไปหาใจแทบขาด
อนิจจาพอนางหวนคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างท้อแท้ เพราะรู้ดีว่านางคงไม่อาจออกไปได้
อย่างไรก็ตาม นางออกไปข้างนอกไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้วนหลิงเทียนจะเข้ามาที่นี่ไม่ได้!
ดังนั้นหานเฉวี่ยไน่จึงรีบไปหาชิงหนูทันที และขอให้ชิงหนูพาชายเคราดกกลับจวนเจ้าเมือง และรับตัวต้วนหลิงเทียนมาที่นี่เพื่อพบเจอกับนาง…นางมีเรื่องอยากสนทนากับพี่ใหญ่มากมายนัก และนางก็อยากเจอเขาเป็นพิเศษ เพราะนางคิดถึงพี่ใหญ่คนนี้มาหลายปีแล้ว
“ต้วนหลิงเทียนมาถึงที่นี่งั้นหรือ?”
พอได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนมารอหานเฉวี่ยไน่ที่จวนเจ้าเมืองคลื่นขจี ชิงหนูก็อดประหลาดใจขึ้นมาเสียไม่ได้
ไม่นานชิงหนูก็พาชายเคราดกย้อนกลับมาถึงจวนเจ้าเมือง
แน่นอนว่าเมื่อมาถึงจวนเจ้าเมือง สิ่งแรกที่ชิงหนูกระทำก็คือไปพบกับเจ้าเมืองคลื่นขจี”อาวุโสหานชิง”
“ชิงหนู ท่านถึงกับเดินทางมาด้วยตัวเอง…ดูเหมือนว่าน้องชายหลิงเทียนของข้ากลับเป็นพี่ใหญ่ของคุณหนูใหญ่แน่แล้ว!”
เมื่อได้เห็นชิงหนูเดินทางมารับคนด้วยตัวเองแบบนี้ หานชิง ก็ยืนยันได้ทันทีโดยไม่ต้องให้ชิงหนูกล่าวบอก
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ใดหรือ?”
ชิงหนูกล่าวถาม
“เขามาถึงที่นี่เมื่อ 2 วันที่แล้ว ข้าจึงจัดให้เขาไปพักผ่อน และรอคอยที่เรือนรับรอง! ไปพบเขากันเถอะ!”
หานชิงกล่าวบอกชิงหนู ก่อนที่จะนำไปยังสถานที่พักของต้วนหลิงเทียนทันที
พอทั้งคู่เข้าใกล้สถานที่พักอาศัยของต้วนหลิงเทียน ตัวต้วนหลิงเทียนที่บ่มเพาะพลังอยู่ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ลืมตาขึ้นมาทันที
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเขาขอให้ผู้เฒ่าหั่วคอยบอกเรื่องราวกับเขา
ผู้เฒ่าหั่วนั้นสามารถมองออกไปตรวจสอบเรื่องราวด้านนอกเจดียืหลิงหลง 7 สมบัติได้ หลังจากที่ฟื้นคืนพลังกลับมาเมื่อครั้งก่อน และโดยปกติแล้วตอนที่ต้วนหลิงเทียนบ่มเพาะพลังในเจดีย์ ผู้เฒ่าหั่วก็จะคอยตรวจสอบเรื่องราวโดยรอบให้
ทันทีที่ภายนอกบังเกิดสถานการณ์หรือมีความเปลี่ยนแปลงอะไร ผู้เฒ่าหั่วจะรีบแจ้งให้ต้วนหลิงเทียนทราบทันที
ดังนั้นเมื่อหานชิงพาชิงหนูเข้าใกล้เขตที่พักของเขา ต้วนหลิงเทียนจึงตื่นจากภวังค์บ่มเพาะทันที
‘แม้ข้าจะจับความรู้สึกของการทะลวงขอบเขตเซียนได้แล้ว แต่ก็ยังห่างจากมันอีกเล็กน้อย’
หลังจากตื่นขึ้นมาจากการบ่มเพาะพลัง ต้วนหลิงเทียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะขาดอีกแค่เพียงเล็กน้อย ทว่าก้าวเล็กๆนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญ ที่รั้งเขาไว้ไม่ให้ทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเซียน…
เพียงห้วงคิดร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ไปอยู่ในห้องพักทันที
ก๊อก! ก๊อก!
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น
เมื่อต้วนหลิงเทียนเดินไปเปิดประตู เขาก็แลเห็นใบหน้าคุ้นตา ทั้ง 2 ทันที
ไม่นานเขาก็กลับสู่ความรู้สึกและตอบสนองต่อใบหน้าที่เขาคุ้นตามานานก่อน เป็นชิงหนูที่มาพร้อมหานชิง อีกฝ่ายยังเป็นคนที่นำพาเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 อันได้แก่เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวจินไปฝึกฝน พอทั้ง 3 กลับมาพลังฝีมือก็นับว่าก้าวหน้าครั้งใหญ่จนเขาตกใจ!
เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกขอบคุณชิงหนูมาก เพราะนางช่วยเหลือเจ้าตัวน้อยทั้ง 3 เอาไว้
“พี่ชายหานชิง อาวุโสชิงหนู”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักทายทั้ง 2 ออกไปทันที ใจเขายังรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาไม่น้อย
การที่ได้เจอชิงหนูแบบนี้ หมายความว่าอีกไม่นานเขาต้องได้เจอหานเฉวี่ยไน่อีกครั้งเป็นแน่!
สุดท้ายก็เป็นชิงหนูพาเขาเดินทางไปยังคฤหาสน์คลื่นขจี เพื่อไปพบเจอหานเฉซี่ยไน่
เมื่อเดินทางมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีเป็นครั้งแรก ต้วนหลิงเทียนก็อดรู้สึกตื่นตาตื่นใจเสียไม่ได้
‘นี่น่ะหรือ ขุมพลังชั้น 5 ของดินแดนเทพยุทธืเซียนเต๋า คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน’
มองไปยังถิ่นที่อยู่อันกว้างใหญ่สุดไพศาลปานประเทศเล็กๆเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตาตื่นใจเล็กน้อย
นี่คือขุมพลังชั้น 5!
หากขุมพลังชั้น 5 ยังขนาดนี้ แล้วขุมพลังชั้น 4 ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมพลังชั้น 3 กระทั่งเหนือกว่าไปจนถึงขุมพลังชั้น 1 เล่า?
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนยังรู้ดีว่าขุมพลังชั้น 3 ขึ้นไปนั้นมีอยู่แต่ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเท่านั้น ส่วนภูมิภาคเบื้องล่าง…ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือขุมพลังชั้น 4 และขุมพลังชั้น 4 ที่โดดเด่นทั้งแข็งแกร่งเหนือใครจะถูกเรียกหาว่าขุมพลังกึ่งชั้น 3!!
ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น..มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!
พอได้พบเจอหานเฉวี่ยไน่อีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เพราะเสมือนเขาได้พบพานกับสตรีที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
แน่นอนว่ามีเพียงความอ่อนวัยเท่านี้นที่หายไป ส่วนเค้าโครงรูปหน้านั้นยังทำให้เขาจดจำนางได้
ในสายตาของเขาหานเฉวี่ยไน่เสมือนเติบโตเป็นสาวในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน อีกทั้งนางยังเป็นดั่งกุหลาบที่ตูม เพียงอีกไม่นานก็จะเบ่งบานจนร้อนแรงแทบไม่ต่างอะไรจากเพลิงไฟ!
หานเฉวี่ยไน่มิใช่เป็นเด็กสาวตัวน้อยอย่างในวันวานอีกต่อไป
นางเติบโตกลับกลายเป็นโฉมงามล่มเมืองไปเสียแล้ว
‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนนายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถึงได้ต้องตาพึงใจนางได้…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว
ต้วนหลิงเทียนถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นหานเฉวี่ยไน่อีกครั้ง หากแต่หานเฉวี่ยไน่ไม่ได้ตกตะลึงแต่อย่างไร ยามนางเห็นต้วนหลิงเทียนใจนางก็สั่นสะท้าน และจากนั้นก็คล้ายนางได้พบพานที่พึ่งพิงและที่ระบาย นางโผร่างเข้าอ้อมอกต้วนหลิงเทียน ทั้งร่ำไห้ออกมาน้ำตานองหน้าทันที
น้ำตานี้เป็นน้ำตาแห่งความโศกเศร้า และอัดอั้นตันใจ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแม้นางถูกกดดันบีบคั้นจนรู้สึกทุกข์ใจหนักหนา แต่นางก็ไม่เผยความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น แม้กระทั่งมู่เฉวี่ยอี สหายคนสนิทของนางก็ตาม…
นางเองก็คิดจะร่ำไห้โวยวายกับบิดาหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ ด้วยรู้ดีว่าบิดาของนางต้องทานรับแรงกดดันที่หนักอึ้งไม่ต่างจากนางแน่นอน
นางไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่ามิใช่บิดานางรักนางที่สุดหรือ ไฉนนางปฏิเสธงานแต่งครั้งนี้แล้ว แต่บิดาถึงเต็มใจ?
อย่างไรก็ตามพอนางได้เห็นต้วนหลิงเทียน นางก็คล้ายปลดเปลื้องพันธนาการในใจสุดท้ายออก โผตัวเข้ากอดต้วนหลิงเทียนทั้งร่ำไห้ระบายความเศร้าออกมาทันที
เพราะตอนนี้อ้อมแขนต้วนหลิงเทียนเสมือนดั่งท่าเรือของนาง สามารถให้นางระบายความอัดอั้นตันใจและความทุกข์ทั้งมวลออกมาได้
“เฉวี่ยไน่…”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอัดอั้นทั้งไม่ยินยอมของหานเฉวี่ยไน่ สองตาต้วนหลิงเทียนพลันทอประกายเย็นเยือกออกมาวูบหนึ่ง ทว่าพริบตาต่อมาก็กลับกลายเป็นอ่อนโยน สองมือเอื้อมออกไปตบหลังหานเฉวี่ยไน่เบาๆ ทั้งค่อยๆลูบหัวนางกล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน”ไม่เป็นไรนะ…ไม่เป็นไรแล้ว”