WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1662
ตอนที่ 1662 : มารกลืนหยิน!
โดยทั่วไปแล้วมีเคล็ดวิชาบ่มเพาะสายมารที่กลืนกินแก่นแท้โลหิตเพื่อเพิ่มพูนพลังฝึกปรือไม่น้อย นอกจากนั้นพวกมันก็มีข้อจำกัดวุ่นวายไม่ต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น มารหยินลึกล้ำ ซึ่งแตกต่างจาก มารกลืนหยินแค่คำเดียว
มารหยินลึกล้ำเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะฝ่ายมารที่แพร่หลายกันทั่วไปในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ตราบใดที่ต้องการเคล็ดวิชานี้ ผู้ฝึกมารในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าสามารถหามันได้ไม่ยาก
เคล็ดมารหยินลึกล้ำนั้นก็อาศัยการดูดซับเลือดพรหมจรรย์ของสตรีบริสุทธิ์เช่นกัน หากแต่ความก้าวหน้าจะไม่เหลวไหลเหมือนมารกลืนหยิน นอกจากนั้นหากสตรีดังกล่าวไม่ใช่สตรีพรหมจรรย์ คนที่ฝึกมารหยินลึกล้ำ ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากนางอีกต่อไป ต่อให้นางจะอายุน้อยเพียงใดก็ตาม
เคล็ดวิชามารกลืนหยินนั้น จึงเป็นอะไรที่น่ากลัวนัก กระทั่งภูมิภาคเบื้องบนยังนับว่ามีค่าไม่ใช่ชั่ว ยังจะนับประสาอะไรกับภูมิภาคเบื้องล่าง
ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะ มารกลืนหยินมาด้วยโชควาสนาโดยบังเอิญเมื่อ 3 ปีก่อน
ในตอนนั้นระหว่างเดินทางมันพลัดหลงเข้าไปในสถานที่ๆมีเคล็ดวิชามารกลืนหยินทิ้งไว้อยู่ และได้รู้ว่าผู้ที่ทิ้งไว้ก็คือผู้ฝึกมารที่น่ากลัวในกาลก่อนคนนั้น!
คนอื่นอาจลืมเลือนยอดฝีมือฝ่ายมารผู้นั้นไปหมดสิ้นแล้วตามกาลเวลา หากแต่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเช่นมันนั้นไม่มีวันลืมเด็ดขาด!
เพราะขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ส่งยอดฝีมือออกมาผนึกกำลังกันยามนั้น มีคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องรวมอยู่ด้วย…ตอนนั้นคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่ใช่ขุมพลังชั้น 4 อย่างทุกวันนี้แต่เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3!
และการที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ได้ ล้วนเป็นเพราะพลังฝีมือของยอดฝีมือผู้นั้น
โชคร้ายในการปะทะกับยอดฝีมือฝ่ายมารครั้งนั้น ยอดฝีมือที่พลาดท่าเสียทีตกตายไปหนึ่งในนั้นก็คือยอดฝีมือของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสูญเสียเสาหลักที่แข็งแกร่งที่สุดไป
ตอนแรกเพราะความเคารพที่มีต่อคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แม้ผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะรู้ว่าคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสูญเสียคุณสมบัติในฐานะขุมพลังกึ่งชั้น 3 ไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครฉวยโอกาสมารุกรานช่วงชิงวาสนา
อนิจจากาลเวลาผ่านไป ใจคนแปรเปลี่ยน
ความเคารพในการเสียสละของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ค่อยๆจางหายไปทีละน้อย เรียกว่าหลังจากนั้นผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วอายุคน ก็เหลือคนที่เคารพคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแค่เพียงหยิบมือ และยอดฝีมือของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่เคยร้ายกาจในวันวานก็ชรามากแล้ว
เหล่าผู้ชราทั้งหลาย ยามเมื่อถึงบั้นปลายก็แยกย้ายกันไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า บ้างก็คิดก่อตั้งตระกูลของตัว บ้างก็ไปสร้างอนุสรณ์สถานของตัว
ด้านคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเมื่อผู้เข้มแข็งล้มหายตายจาก คนรุ่นใหม่ก็มีฝีมือถดถอยลงเรื่อยๆ และไร้ซึ่งยอดฝีมือที่มีพลังอำนาจมากพอจะยืนหยัดอยู่แถวหน้าของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกต่อไป ไร้ผู้นำในการฟันฝ่ามรสุมแก่งแย่ง…
สุดท้ายวันหนึ่งก็มีขุมพลังชั้น 4 ที่พึ่งผงาดขึ้นมาในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ไม่กี่ปี พยายามช่วงชิงวาสนาและกลายเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 แทนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง
คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเมื่อไร้ยอดฝีมือแล้ว จึงไม่มีใครสามารถต้านทานสุดยอดฝีมือของขุมพลังนั่นได้
สุดท้ายคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ทำได้เพียงยอมจำนนเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียอันไม่จำเป็น และปล่อยให้สายแร่หินเซียน รวมถึงจุดชีพจรวิญญาณที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าให้อีกฝ่าย…และมาตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่ปัจจุบัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ชนชั้นผู้นำทุกคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องล้วนวาดฝันถึงความรุ่งโรจน์ในกาลก่อนทั้งสิ้น
อนิจจาแม้จะผ่านไปหลายปีดีดัก ถึงคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะสามารถยืนหยัดมาได้ในฐานะขุมพลังชั้น 4 เหมือนทุกวันนี้ แต่พวกมันก็ไม่เคยเพาะสร้างสุดยอดฝีมือที่จะยืนหยัดในแถวหน้าของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อีกเลย จึงไร้วันที่จะหวนคืนสู่ฐานะขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่แข็งแกร่งอีกครา!
“หากข้าได้เป็นผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต่อจากท่านพ่อเมื่อไหร่ สักวันข้าจะทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วลองเป็นขุมพลังที่ร้ายกาจที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าให้จงได้!!”
สองตาฉีจิ้งทอประกายสว่างวาบ รำพันออกมาเสียงเข้ม
เหตุผลที่มันหาญกล้ากล่าววาจาทำนองนี้ เพราะเคล็ดวิชาบ่มเพาะ มารกลืนหยิน ในมือ!
มารกลืนหยิน นั้นสำหรับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว นับเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามอย่างแท้จริง!
โดยปกติแล้ว ฉีจิ้ง ในฐานะนายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ทันทีที่มันได้รับเคล็ดวิชามารกลืนหยินนี้มา สิ่งแรกที่มันควรทำคือมอบให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เพื่อนำไปทำลายให้สิ้นซาก!
เพราะสุดท้ายแล้ว ก็เป็นเคล็ดอวิชชานี้ที่ทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต้องสูญเสียสุดยอดฝีมือ จนทำให้ตกต่ำลงเรื่อยๆ
อนิจจาด้วยความหลงไหลในพลังอำนาจของเคล็ดมารกลืนหยิน ทำให้ฉีจิ้งใจไม่แข็งพอที่จะส่งมันให้ตระกูลเพื่อทำลาย และเลือกที่จะเก็บเอาไว้กับตัว
ตอนแรกแม้มันจะมีเคล็ดมารกลืนหยินเก็บไว้กับตัวมันก็ไม่คิดฝึกปรือแต่อย่างไร เพราะไม่อาจตัดสินใจได้
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ มีข้อความแพร่กระจายไปทั่วคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง จึงทำให้มันตัดสินใจได้ทันที
ข้อความประโยคนั้น กล่าวไปก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อผู้อื่นมากนัก
กระทั่งหากเป็นฉีจิ้งที่ไม่มีเคล็ดมารกลืนหยินอยู่ในมือ แม้มันอาจจะไม่พอใจข้อความประโยคนั้น แต่มันก็คงไม่สนใจอะไรมากมาย
อนิจจาพอเป็นฉีจิ้งที่มีเคล็ดมารกลืนหยินในมือ กลับส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงนัก!
“นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเรา สมควรมีพลังฝีมือสูงส่งเป็นลำดับ 3 ของผู้เข้าร่วม สุดท้ายต้องได้อันดับที่ 3 มาไม่ผิดแน่!”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น จะอย่างไรยอดฝีมือที่มีอายุไม่เกิน 50 ปี ในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเราที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ หลวงจีนลายบุปผา กับจิ้งชวีจื่อ…พลังฝีมือทั้งคู่สูงส่งทัดเทียมยากรู้แพ้ชนะ แต่นับว่าเหนือกว่านายน้อยคฤหาสน์เราอย่างเห็นได้ชัด”
“เจ้ากล่าวว่านายน้อยของคฤหาสน์เรามิอาจสู้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อได้ข้ายอมรับ…แต่เรื่องที่เจ้าบอกว่านายน้อยของพวกเราสมควรได้อันดับที่ 3 ในการประลองสุดยอดนักรบนั้นข้าว่าไม่จริง….เจ้าอย่าได้ลืมไป ในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิว่ล่องเรา ในบรรดายอดฝีมือที่อายุเยาว์กว่า 50 ปี นอกจากหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่ง…”
“ใช่เจ้าหมายถึง จงกู้ หรือไม่?”
“เป็นมัน! เจ้ารู้หรือไม่ตอนที่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเราอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนเหมือนกันกับจงกู้ หากแต่พลังฝีมือกลับด้อยกว่าจงกู้อย่างมาก! จนพอนายน้อยทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต่ำได้สำเร็จ จึงมีพลังฝีมือเหนือกว่าจงกู้ที่ยังไม่ทะลวงด่านเซียน…อย่างไรก็ตามข้าได้รับข่าวมาว่าหลังจากนั้นไม่นานจงกู้ ก็ทะลวงด่านเซียนได้สำเร็จ…”
“จงกู้ทะลวงด่านเซียนได้สำเร็จงั้นหรือ? เช่นนั้นหากพลังฝีมือยังคงก้าวหน้าสืบต่อมา…น่ากลัวว่าอาจจะคุกคามนายน้อยเราได้จริงๆ!”
……
เพราะวาจาที่กล่าวกันเหล่านี้ ทำให้ฉีจิ้งจัดสินจะฝึกมารกลืนหยิน!
ถึงแม้มันจะเป็นนายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่จำต้องบอกว่าชะตาของมันนั้นกลับอาภัพนัก เพราะในยุคเดียวกันกับมัน เขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กลับปรากฏยอดฝีมือที่มีศักยภาพพรสวรรค์เหนือกว่ามันถึง 2 คน…นั่นคือหลวงจีนลายบุปผา และ จิ้งชวีจื่อ!
ก่อนที่ทั้ง 3 จะมีอายุ 40 ปี พวกมันก็ยึดครอง 3 อันดับแรกในรายนามนภาของเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง
อันดับระหว่าง หลวงจีนลายบุปผา กับจิ้งชวีจื่อนั้น แปรเปลี่ยนสลับไปสลับมาหลายครั้ง แต่อย่างไรพวกมันก็ยังเป็นที่ 1 และที่ 2 เสมอ
มีเพียงฉีจิ้งเท่านั้นที่รั้งอยู่ในอันดับ 3
มันไม่ใช่ไม่คิดก้าวไปให้สูงกว่านี้ แต่น่าเสียดายที่พลังฝีมือของมันไม่อาจเทียบกับ หลวงจีนลายบุปผา และจิ้งชวีจื่อได้…มันท้าทายทั้งคู่หลายต่อหลายครั้ง หากแต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือพ่ายแพ้กลับไป…
สำหรับจงกู้นั้นถึงแม้ว่าจะมีอายุใกล้เคียงกัน แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยท้าทายใครในรายนามนภาก่อนอายุ 40 เลย จึงไม่มีใครล่วงรู้ถึงการดำรงอยู่ของมัน
จนกระทั่งหลายปีต่อมา หลวงจีนลายบุปผา และจิ้งชวีจื่อ ได้หายออกไปจากรายนามนภาเมื่อพลังฝึกปรือของพวกมันเกินเกณฑ์ จงกู้จึงปรากฏตัวออกมาชิงอันดับ 1 ของฉีจิ้งที่พึ่งจะลิ้มรสความหอมหวานได้ไม่ทันไร!
เรียกว่าตอนนั้น นอกจากขุนเขาสูง 2 ลูกที่มิอาจข้ามอย่างหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อแล้ว กลับมียอดเขาสูงนาม จงกู้โผล่มาอีกลูก!
จนกระทั่งมันทะลวงถึงขอบเขตเซียน เรื่องจงกู้จึงหายไปจากหัวของมัน
อย่างไรก็ตาม จากวาจาที่คนภายนอกร่ำลือกัน เห็นว่าครั้งนี้นอกจากหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อ ยังมีจงกู้มาอีกคน! ยามขุนเขา 3 ลูกปรากฏพร้อมพรั่ง ทำให้มันรู้สึกกดดันจนแทบจะจมดิน!
ห้วงเวลาท้อแท้นั้นมันจึงคิดถึงมารกลืนหยินขึ้นมา รวมถึงพลังฝีมืออันร้ายกาจของผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยินในอดีตกาล ทำให้ยิ่งมามันก็ยิ่งจมจ่อมเข้าสู่ด้านมืดของพลัง…สุดท้ายจึงมิอาจทานทนอำนาจแห่งพลัง มารกลืนหยินได้อีกต่อไป ตัดสินใจฝึก มารกลืนหยินทันที
แน่นอนว่าหากคิดฝึกมารกลืนหยิน ก็จำต้องสังเวยอิสตรีเป็นจำนวนมาก
เช่นนั้น สุนัขรับใช้ของมันอันเป็นชายหนุ่มหลังค่อม จึงเริ่มออกไปวิ่งโร่ลักตัวดรุณีน้อยทั้งอิสตรีมากมายเพื่อนำมาให้มันบ่มเพาะ
หลังจากที่ฝึกปรือเคล็ดมารกลืนหยิน ทุกครั้งที่ได้ดูดซับแก่นแท้โลหิตของอิสตรี มันจะสัมผัสได้ถึงด่านพลังฝึกปรือที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
พอได้ลิ้มลองรสหอมหวานแล้ว ไหนเลยจะทานรับความจืดชืดได้อีก…
แน่นอนว่าด้วยความเป็นศัตรูคู่ฟ้ายากจะอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้ระหว่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กับเจ้าของเดิมของผู้ถือครองเคล็ดวิชามารกลืนหยิน ทำให้ ฉีจิ้ง ไม่กล้าเปิดเผยว่ามันมีเคล็ดมารกลืนหยินไว้ในครอบครอง! เพราะเรื่องนี้คนในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคงยากทำใจรับได้แน่นอน ยังจะฝันอะไรถึงเรื่องสืบทอดตำแหน่งผู้นำสืบไป!
อีกทั้งเกรงว่าไม่เพียงแต่มันจะไม่มีหวังได้สืบทอดตำแหน่งผู้นำ กระทั่งอาวุโสสูงสุดทั้งหลายคงเลือกที่จะฆ่ามัน ที่ฝึกวิชามารกลืนหยินทิ้ง!
เพราะสุดท้ายแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรจากผู้สืบทอดของยอดฝีมือผู้ฝึกมารคนนั้นแม้แต่น้อย
คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะปล่อยให้ผู้สืบทอดของศัตรูอาฆาตรอดไปได้ง่ายๆงั้นเหรอ?
‘หากหวังพึ่งแต่ทรัพยากรบ่มเพาะของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้ทันการประลองสุดยอดนักรบที่จะเริ่มในอีก 10 เดือนหลังจากนี้หรือไม่…น่ากลัวเต็มที่ข้าก็ชนะได้แต่จงกู้ แต่ยากจะเทีบยหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อได้แน่’
ฉีจิ้งครุ่นคิดในใจ ‘อย่างไรก็ตามหลังบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามารกลืนหยิน ตราบใดที่ข้ามีสตรีพรหมจรรย์มากพอ ข้ามั่นใจว่าสามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาชั้นเชี่ยวชาญได้เต็ม 10 ส่วน!’
“นายน้อยข้าเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วขอรับ”
ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู ชายหนุ่มหลังค่อมได้กลับมาแล้ว
แอ๊ด!
ฉีจิ้งลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะพุ่งร่างไปดั่งสายลมกรรโชกทั้งเปิดประตูออกไปทันที พาลให้ชายหนุ่มหลังค่อมสะดุ้งตกใจเล็กน้อย
“มากับข้า…พวกเราจะกลับกันก็ต่อเมื่อการประลองสุดยอดนักรบเริ่ม”
ฉีจิ้งกล่าวออกเสียงเบา
“นายน้อย ท่านจะไปบ่มเพาะพลังด้านนอกหรือ?”
สองตาของชายหนุ่มหลังค่อมส่องสว่างขึ้นมาทันใด ในใจยังตื่นเต้นยินดีไม่น้อย
ไหนเลยมันจะไม่ตื่นเต้นยินดีได้ เพราะหากนายน้อยของมันออกไปบ่มเพาะพลังด้านนอก มันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องไปจับสตรีในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกลับมาอีกต่อไป
หากเรื่องที่นายน้อยของมันบ่มเพาะพลังด้วยวิชามารกลืนหยินแดงขึ้นมา ไม่เพียงแต่นายน้อยของมันต้องตาย มันที่เป็นข้ารับใช้ก็คงไม่รอด! โทษฐานเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด!!
“อืม”
ฉีจิ้งพยักหน้ารับอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะพาชายหนุ่มหลังค่อมออกเดินทางเพื่อฝึกฝน
เหตุผลที่เลือกจะไปฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้านนอกนั้น ฉีจิ้ง คิดมาดีแล้ว เพราะนั่นจะทำให้หาสตรีพรหมจรรย์ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งไร้พิรุธเรื่องสตรีในคฤหาสน์ที่สูญหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุอีกด้วย
เป้าหมายของมันในตอนนี้ก็คือ ทะลวงถึง เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ก่อนที่การประลองสุดยอดนักรบจะเริ่มขึ้น!
ถึงตอนนั้นมันจะมีพลังสามารถมากพอกาวขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับ 1 สุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง!