WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1676
ตอนที่ 1676 : เซียนขัดเกลาขั้นกลางอีกคน!
“ถึงตอนนี้พลังฝีมือมันจักเป็นรองหลวงจีนลายบุปผา แต่ก็มิได้อ่อนด้อยกว่ากันมากนัก…หลวงจีนเนื้อสุราย่อมมิได้ง่ายดายแน่!”
หลายคนเห็นด้วยกับคำพูดนี้
‘หลวงจีนลายบุปผากับหลวงจีนเนื้อสุรา…วัดฟ่านเทียนนี่นับว่าน่าสนใจไม่เบานี่นา แถมท่าทางชื่อหลวงจีนเนื้อสุราอะไรนี่ คงได้มาเพราะมันกินเนื้อดื่มสุราแน่นอน’
ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดาในใจ
ครั้งนี้นับว่าเขาคาดถูก! หลวงจีนเนื้อสุรานั้นไม่งดเว้นจากการกินเนื้อและดื่มสุราจริงๆ และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร..
หลวงจีนเนื้อสุราเลือกที่จะโจนขึ้นเวทีประลองอันมีจ้าวเวทีเป็นผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้น
หลังจากที่ทั้งคู่ลงมือเปิดใช้เขตแดนแล้วเสร็จ หลวงจีนเนื้อสุราก็อาศัยพลังฝีมืออันเหนือกว่า ใช้เพียง 3 กระบวนท่าเท่านั้นในการสยบปราบอีกฝ่าย!
“เซียนขัดเกลาขั้นกลาง!?”
วินาทีที่หลวงจีนเนื้อสุราปะทุพลังออกมา เริ่นจงและหลิวหงกวงที่ลอยตัวอยู่บนฟ้าสูงก็แปลกใจไม่น้อย ด้วยไม่คาดคิดเอาไว้เลย…ว่านอกจากหลวงจีนลายบุปผาแล้ว วัดฟ่านเทียนยังมีเซียนขัดเกลาอยู่อีกคน!
และจากพลังปราณแรกกำเนิดที่หลวงจีนเนื้อสุราเผยออก ไม่ว่าผู้ใดก็บอกได้ทันทีว่ามันบรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว!
เรื่องนี้ยังทำให้ทุกคนประหลาดใจไม่น้อย
แม้ว่าจากไอพลังปราณแรกกำเนิดของหลวงจีนเนื้อสุราจะเผยให้เห็นว่ายังไร้เสถียรภาพ ประหนึ่งพึ่งทะลวงด่านพลังมาได้ไม่นาน…
แต่ถึงกระนั้นพวกมันก็จำต้องตกใจ!
วัดฟ่านเทียนจะอย่างไรก็เป็นแค่ขุมพลังชั้น 5 กลับมียอดฝีมืออย่างหลวงจีนลายบุปผาและหลวงจีนเนื้อสุราได้!
เรียกว่าศิษย์สายเลือดใหม่ในวัดฟ่านเทียน ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าศิษย์เลือดใหม่ของขุมพลังชั้น 4 เลย! เรื่องนี้นับว่าสร้างความกดดันให้ขุมพลังชั้น 4 ไม่น้อย…!!
เพราะพวกมันเองก็เคยผ่านจุดนี้มา ไม่ใช่ว่าขุมพลังชั้น 4 จะเป็นขุมพลังชั้น 4 แต่แรก หากทว่าค่อยๆใช้พลังไต่เต้าขึ้นมา!
แน่นอนว่าบางขุมพลังก็ทะยานอยู่สูง บ้างก็ร่วงหล่นไม่ถึงฝัน
กระทั่งขุมพลังชั้น 4 กับขุมพลังชั้น 3 เอง บางทีอาจจะครองอำนาจได้หลายปี แต่ก็มีวันร่วงหล่นเช่นกัน บ้างก็ถึงขั้นลดไปเป็นขุมพลังชั้น 6!
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะรุ่นเยาว์สายเลือดใหม่อ่อนด้อยลง บ้างก็ขาดเลือดใหม่มากพรสวรรค์
เหตุผลที่บางครั้งรุ่นใหม่กลายเป็นถดถอยลงจากรุ่นเก่านั้น เป็นเพราะไม่ได้รับทรัพยากรที่เหมาะสม ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร กระทั่งบางครั้งก็ถูกพวกที่ครองอำนาจในขุมพลังขัดขากีดกัน ใช้เส้นสายเห็นแก่พวกพ้อง…กลับกลายเป็นยอดฝีมือที่แท้กลับไม่มีที่ยืน!
นี่ยังเป็น 1 ในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ยอดฝีมือบางคน เลือกจะละทิ้งขุมพลังผันตัวไปเป็นผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัด!
วัดฟ่านเทียนตอนนี้อาจเทียบกับ คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง คฤหาสน์ข้ามฟ้า และคฤหาสน์คลื่นคลั่งไม่ได้ แต่เกรงว่าหากเวลาผันผ่านไปอีกสักไม่กี่สิบปี ยามที่หลวงจีนลายบุปผาและหลวงจีนเนื้อสุราเติบโตเต็มศักยภาพ ทั้งคู่อาจนำพาให้วัดฟ่านเทียนยกระดับกลายเป็นขุมพลังชั้น 4 ได้!
อันที่จริงตอนนี้ไม่ใช่แค่เริ่นจงกับหลิวหงกวงที่รู้สึกกดดันเท่านั้น
ผู้ที่รู้สึกกดดันมากที่สุดย่อมเป็น ฉีเสิ่น อาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!
ตอนนี้เมื่อฉีเสิ่นมองไปยังหลวงจีนเนื้อสุรา แม้จะไม่ชัดเจน แต่ในแววตาของมันกลับเผยเจตนาสังหารออกมาให้เห็นรางๆ!
เมื่อเห็นพลังฝึกปรือของหลวงจีนเนื้อสุรา ในใจมันบังเกิดจิตฆ่าฟันขึ้นมาทันที
หากเป็นคฤหาสน์ข้ามฟ้ากับคฤหาสน์คลื่นคลั่งมียอดฝีมือระดับนี้มันคงไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร เพราะเป็นขุมพลังชั้น 4 ที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง อย่างไรก็ตามกับวัดฟ่านเทียนนั้นเรื่องราวต่างออกไปแล้ว เพราะหากวัดฟ่านเทียนทะยานขึ้นมาจริงๆ คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของมันจะตกที่นั่งลำบากทันที ดั่งคำว่า”1 ภู มิอาจรองรับ 2 พยัคฆ์”
(1 ภู มิอาจรองรับ 2 พยัคฆ์ ก็เหมือนๆกับ เสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้)
‘ดูเหมือนว่าหลังจบการประลองยอดนักรบครานี้ สมควรแก่เวลาที่จะส่งคนไปเก็บหลวงจีนลายบุปผากับหลวงจีนเนื้อสุรานั่นได้เสียที…’
ฉีเสิ่นลอบกล่าวในใจ
ในประวัติศาสตร์ของเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เรื่องราวทำนองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว…
มียอดฝีมือหลายต่อหลายคนที่เผยอัจฉริยะภาพให้เห็นในเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ทว่าผู้ใดที่ไม่ใช่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ส่วนมากแล้วจะตกตายหรือไม่ก็หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุก่อนที่จะทันได้เติบโตเต็มที่…
แม้หลายคนจะสงสัยว่าเรื่องนี้สมควรมีคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอยู่เบื้องหลัง แต่พวกมันก็ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็เป็นขุมพลังชั้น 4 ที่ยากตอแย เรื่องนี้จึงได้แต่ถูกปล่อยผ่านเลยไปถ่ายเดียว…
อย่างไรก็ตามฉีเสิ่นไม่ทันรู้ตัวเลย ว่ายามที่มันมองหลวงจีนเนื้อสุราด้วยแววตาเผยเจตนาฆ่าฟันวูบหนึ่ง เจ้าอาวาสของวัดฟ่านเทียนได้จับตาดูมันอยู่แต่แรก…
‘ดูเหมือนว่าการตัดสินใจก่อนหน้านี้ของข้าจักถูกต้อง…สิ้นสุดการประลองยอดนักรบเมื่อใด จำต้องส่งตัวหลวงจีนลายบุปผาและหลวงจีนเนื้อสุราออกไปฝึกฝนบ่มเพาะนอกเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เพื่อให้บรรลุพลังฝีมือสูงสุดเต็มศักยภาพเสียก่อนค่อยย้อนกลับวัดฟ่านเทียน…’
นี่คือสิ่งที่เจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนตัดสินใจเอาไว้แต่แรก
เรื่องนี้ทำเพื่อปกป้องหลวงจีนลายบุปผาและหลวงจีนเนื้อสุรา ที่เป็นอนาคตของวัดฟ่านเทียน
ในอดีต ตอนเกิดเรื่องราวทำนองยอดฝีมือในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ตกตายทั้งหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุนั้น ก็มีคนของวัดฟ่านเทียนรวมอยู่ด้วยเช่นกัน!
ตอนนั้นศิษย์พี่ของเจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนเองก็มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าตัวมันมากนัก! ทว่ากลับต้องมาตกตายอย่างไม่ทราบสาเหตุก่อนที่จะได้เติบโต…
เจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนเชื่อมั่นนัก ว่าหากศิษย์พี่ของมันไม่ตกตาย พลังฝีมือในปัจจุบันน่ากลัวจะไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!
ยิ่งไปกว่านั้นหากศิษย์พี่ของมันยังอยู่ วัดฟ่านเทียนคงไม่เป็นแค่ขุมพลังชั้น 5 อย่างทุกวันนี้!
ด้วยมีบทเรียนอันประเสริฐ เจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนจึงคิดส่งยอดฝีมือเลือดใหม่ทั้ง 2 ให้ไปฝึกฝนอย่างปลอดภัย ห่างจากอิทธิพลที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะเอื้อมถึง เพื่อไม่ให้ประสบชะตากรรมเดียวกับคนรุ่นก่อน ทำลายแผนชั่วของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเสีย!!
“เซียนขัดเกลาขั้นกลาง?!”
ตอนนี้เองเหล่าผู้ชมทั้งหลายก็ได้รับทราบถึงพลังฝึกปรือของหลวงจีนเนื้อสุราที่พึ่งเอาชนะจ้าวเวทีคนเก่า! บ้างก็จับสัมผัสได้เอง บ้างก็ได้ยินจากยอดฝีมือ…
“หลวงจีนเนื้อสุรากลับสามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้แล้ว…เช่นนั้นอย่าได้บอกข้าเชียวนะว่าหลวงจีนลายบุปผาทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!!”
หลายคนอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวขึ้นมา
จังหวะนี้หลวงจีนลายบุปผาพลันเป็นจุดสนใจทันที
เรียกว่าวัดฟ่านเทียนกลายเป็นจุดเด่น ดั่งมีแสงฉายส่องลงมาในชั่วพริบตา!
ฟุ่บ!
ทว่าทันใดนั้นเองพลันมีเสียงสายลมกรรโชกดังเสียดหูขึ้นมาในอากาศ พาลให้ทุกคนละความสนใจจากหลวงจีนลายบุปผาทันที ต่างหันมองไปยังร่างหนึ่งที่พุ่งแหวกอากาศไปฉับไว!
ร่างนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอวี้ชวีจื่อจากศาลเจ้าชุนหยาง!
อวี้ชวจื่อ ก้าวขึ้นเวทีแล้ว!
ทันใดนั้นทุกสายตาไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็หันไปจับจ้องมองอวี้ชวีจื่อทันที ต่างเฝ้ารอเห็นพลังฝีมือของมันกันทั้งสิ้น
“หยินชวีจื่อจากศาลเจ้าชุนหยางพลังฝีมือร้ายกาจมิใช่ชั่ว เช่นนั้นก็คงมิต้องสงสัยพลังฝีมือของอวี้ชวีจื่อคนนี้ว่าจักร้ายกาจหรือไม่! ในเมื่อหยินชวีจื่ออยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นยังมีพลังฝีมือไม่ธรรมดา ถึงขั้นที่อาจจะต่อสู้ทัดเทียมกับเซียนขัดเกลาขั้นกลางดาษๆได้ด้วยซ้ำ..”
หลายคนกล่าวออกมาอย่างวาดหวัง”มิรู้ว่าพลังฝีมือของอัจฉริยะคนที่ 3 จากวัดฟ่านเทียน อวี้ชวีจื่อผู้นี้จะเป็นอย่างไร”
อวี้ชวีจื่อที่เป็นจุดสนใจนั้น มันเลือกท้าจ้าวเวทีอันเป็นเซียนขัดเกลาขั้นต้น ยามเผชิญหน้ายังประสานมือทักทาย ด้วยความสุภาพเรียบร้อย…ไม่มีอาการหยิ่งยโสถือดีอะไรให้เห็น!
ทว่าท่ามกลางสายตาที่เฝ้ามองอย่างวาดหวังของทุกคน อวี้ชวีจื่อกลับลงมือสยบคู่ต่อสู้ได้ในกระบวนท่าเดียว!
เปรี๊ยง!!
พลังฝีมือที่มันสำแดงออกพาลให้ทุกผู้คนตกตะลึงนัก!
“เซียนขัดเกลาขั้นกลางอีกคนแล้ว!”
เริ่นจง หลิวหงกวงผู้ดูแลที่ลอยร่างบนฟ้าสูง ต่างหันหน้ามามองสบตากันทันใด และต่างเห็นซึ้งถึงอาการตกตะลึงในแววตาของอีกฝ่ายชัดเจน!
วัดฟ่านเทียนมียอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นกลางที่อายุยังไม่ถึง 50 ปีอยู่ 2 คนก็ทำให้พวกมันตกใจไม่น้อยแล้ว…
อย่างไรก็ตาม ศาลเจ้าชุนหยางกลับเผยให้รู้ว่าอย่างน้อยๆ พวกมันก็มีเซียนขัดเกลาขั้นกลางอยู่ 2 คนเช่นกัน!
นอกจากนี้พลังฝีมือของหยินชวีจื่อนั่นก็มิใช่ต่ำทรามเลย!!
แม้หยินชวีจื่อจะเป็นเพียงเซียนขัดเกลาขั้นต้น แต่ด้วยพลังอำนาจที่มันเผยออกน่ากลัวว่ามันจะเป็นตัวตนอันไร้พ่ายในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นแล้วจริงๆ!
ไม่นานเริ่นจงกับหลิวหงกวงก็คล้ายนึกอะไรได้ออก ต่างหันไปมองฉีเสิ่นอย่างพร้อมเพรียง!
พวกมันเชื่อว่าฉีเสิ่นสมควรเป็นคนที่ตกใจมากที่สุด และเป็นคนที่ไม่อยากเห็นเรื่องนี้มากที่สุด!!
เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวัดฟ่านเทียนหรือศาลเจ้าชุนหยาง ก็ล้วนแต่อยู่ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทั้งสิ้น!
แม้ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ถ้าหากวัดฟ่านเทียนกับศาลเจ้าชุนหยางคิดยกระดับตัวเองให้กลายเป็นขุมพลังชั้น 4 วิธีการที่ง่ายที่สุดคือใช้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเป็นหินรองเท้าในการก้าวขึ้นมา!
สำหรับการบุกไปครอบครองพื้นที่อื่น หรือต่อสู้กับขุมพลังชั้น 4 ขุมอื่นนั้น ไม่ค่อยจะเป็นตัวเลือกที่ดีสักเท่าไหร่ เพราะมีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘มังกรพลัดถิ่นหรือจะสู้งูดินเจ้าที่’
‘ตาย! พวกมันทุกตัวต้องตาย!!’
หากมีใครสังเกตสีหน้าของฉีเสิ่นให้ดีล่ะก็ จะพบว่ายามนี้กล้ามเนื้อใบหน้ามันทั้งเกร็งทั้งกระตุก ท่าทางกำลังมีโมโหไม่น้อย!
ผู้สืบทอดของวัดฟ่านเทียนกับศาลเจ้าชุนหยางล้วนเป็นชนชั้นอัจฉริยะน่ากลัวทั้งนั้น! สำหรับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย!
“เหอะ!”
ห่างออกไประยะหนึ่ง นักพรตชราอันเป็นผู้นำของศาลเจ้าชุนหยางเองก็กำลังจับตาดูฉีเสิ่นอยู่เช่นกัน พอเห็นสีหน้าแววตาเผยเจตนาฆ่าฟัน มันก็แค่นคำออกมาเสียงเย็น ‘คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ข้าไม่มีวันเปิดโอกาสให้พวกเจ้าทำลายอนาคตของศาลเจ้าชุนหยางข้าได้แน่!’
เห็นได้ชัดว่าผู้นำศาลเจ้าชุนหยางก็คิดเห็นตรงกันกับเจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียน ต่างหาวิธีปกป้องศิษย์ของตัวเต็มที่!
‘วัดฟ่านเทียน ศาลเจ้าชุนหยาง…น่าประทับใจจริงๆ! คฤหาสน์คลื่นขจีแม้จะเป็นขุมพลังชั้น 5 เหมือนกัน แต่รุ่นเยาว์กลับขาดแคลนชนชั้นยอดฝีมือนัก!!’
ต้วนหลิงเทียนพูดในใจ
เท่าที่รู้มา…น่ากลัวรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดในคฤหาสน์คลื่นขจี สมควรเป็นหานเฉวี่ยไน่!
ส่วนยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี…ดูเหมือนจะไม่มีสักคน!
แต่แน่นอนว่าเขาเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุด ว่าด้วยพรสวรรค์และศักยภาพของหานเฉวี่ยไน่ ก่อนที่นางจะอายุ 50 นางต้องก้าวข้ามหลวงจีนเนื้อสุราและอวี้ชวีจื่อไปได้แน่นอน กระทั่งจะเอาชนะหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!!
เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เหล่าขอบเขตเซียนขัดเกลาก็เริ่มขึ้นมายังเวทีประลองกันมากขึ้น
และตอนนี้ก็มีขอบเขตเซียนขัดเกลาที่ตายตกบ้างแล้ว
เซียนขัดเกลาที่ตายตกนั้นแน่นอนว่าเป็นผู้ฝึกตนพเนจร!
เหตุผลของเรื่องนี้ง่ายดายนัก ผู้คนรู้กันดีว่าผู้ฝึกตนพเนจรย่อมไร้ภูมิหลังสำคัญ สามารถเข่นฆ่าสังหารได้โดยที่ไม่ต้องกลัวผลที่ตามมา
หลังจากนั้นขอบเขตเซียนขัดเกลาที่ขึ้นไปประมือกันบนเวที ต่างก็มีพลังฝีมือไล่เลี่ยกัน จึงใช้เวลาในการประลองค่อนข้างนาน ทำให้แม้จะเริ่มมืดค่ำแล้ว แต่ก็มีหลายคนที่ไม่มีโอกาสขึ้นเวที
ส่วนหลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อ จงกู้ และต้วนหลิงเทียนยังไม่คิดเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
แน่นอนว่าผู้คนส่วนมากแทบไม่มีสนใจต้วนหลิงเทียน ทั้งหมดต่างคิดว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่มาดูชมการประลองเอาสนุกสนานเท่านั้น ไม่ได้คิดช่วงชิงตำแหน่งอะไรในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง!
สุดท้ายแล้วเมื่อจบวัน จ้าวเวทีที่อยู่บนเวทีเม็ดหมากทั้ง 10 ก็เป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง 2 คน ต่างเป็นเซียนขัดเกลาขั้นต้นทั้งคู่!
เรียกว่าพลังฝีมือของทั้ง 2 คน…ไม่ต้องถึงมืออวี้ชวีจื่อกับหลวงจีนเนื้อสุราด้วยซ้ำ กระทั่งหยินชวีจื่อพวกมันยังด้อยกว่า!