WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1690
ตอนที่ 1690 : หนึ่งสู้สอง
“รองผู้นำเริ่น อาวุโสหลิว…ข้าอยากจะท้าทายหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจวี่พร้อมๆกัน!”
แม้เสียงของฉีจิ้งจะไม่ได้ดังอะไรมาก หากแต่ผู้คนในกระดานหมากหลิงหลงล้วนได้ยินวาจาของมันหมด!
ครู่เดียวผู้ชมก็เงียบเป็นคนตาย!
คนมากมายยังมองหน้ากันเองเมื่อคืนสติ ต่างเห็นถึงความตกใจในแววตาอีกฝ่าย บ้างยังใช้นิ้วแคะหูแกรกๆ ราวกับไม่มั่นใจว่าใช่ตัวเองหูฝาดไปหรือไม่…
สวรรค์!
พวกมันได้ยินอะไรนะ!?
นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง คิดท้าทายหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อพร้อมกัน!?
คำพูดนี้ของฉีจิ้งอาจทำให้คนอื่นตกใจ
แต่สำหรับหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อ นี่นับเป็นการหยามหน้ากันชัดๆ!
ทำให้ไม่ว่าจะหลวงจีนหลายบุปผาหรือจิ้งชวีจื่อก็ชักสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาทันใด จังหวะนี้ให้พวกมันอารมณ์ดีขนาดไหนก็มีโมโหแล้ว!
ฉีจิ้งจะดูถูกพวกมันเกินไปแล้ว!!
ได้ยินคำนี้ของฉีจิ้ง แม้แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดประหลาดใจไม่ได้ ‘มันคิดท้าทายเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ 2 คนพร้อมกัน?’
“หยิ่งผยองนัก!”
“โอหังแท้!”
“ฉีจิ้งผู้นี้คิดท้าทายหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อพร้อมกัน นี่มันคิดว่าทั้งสองคนเป็นลูกพลับสุกอ่อนนุ่มที่มันจะบีบเล่นได้ง่ายๆหรือ?”
“หึ! ดูเหมือนว่าการทะลวงด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ จักทำให้มันมีความมั่นใจในตัวเองมาก…อย่างไรก็ตามเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญหนึ่ง คิดท้าทายเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญสอง ใยมิใช่รนหาที่ตาย?”
“รนหาที่ตาย…หึ! คงเพราะมันรู้ว่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อจะอย่างไรก็ไม่กล้าฆ่ามัน…และถึงแม้ทั้งคู่จะลงมือฆ่าฉีจิ้งจริง แต่ก็มีคำกล่าวที่ว่า พระหนีได้แต่วัดหนีไม่ได้…เช่นนั้นทั้งคู่ย่อมไม่เสี่ยงให้ขุมพลังต้นสังกัดตัวเองต้องเดือดร้อนแน่!”
……
เหล่าผู้ชมโดยรอบหลังจากที่รู้สึกตัวจากอาการตะลึงของวาจาฉีจิ้ง เริ่มโพล่งความเห็นออกมาดังระงม พวกมันรู้สึกอารมณ์ขึ้นไม่น้อยหลังได้ยินฉีจิ้งคิดท้าทายสองคน
กระทั่งเริ่นจงและหลิวหงกวงเองก็ไม่คิดเลยว่าฉีจิ้งจะผยองลำพองแบบนี้!
เช่นนั้นหลังได้ยินคำฉีจิ้ง พวกมันจึงไม่ได้รีบตอบอะไร
“นายน้อย นี่ท่านคิดจะทำอันใดของท่านกัน มิว่าจะหลวงจีนลายบุปผาหรือจิ้งชวีจื่อล้วนเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งสำหรับท่าน…ข้ารู้ว่าหลังทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ท่านย่อมบังเกิดความมั่นใจในตัวเองนัก! หากแต่ทั้งคู่มิว่าผู้ใดก็ล้วนบรรลุด่านพลังเดียวกันกับท่าน ท่านมิอาจเป็นคู่ต่อสู้ของทั้งสองพร้อมกันได้!”
ตอนนี้เองฉีเสิ่นก็ขมวดคิ้วกล่าวกับฉีจิ้ง
หลังจากที่มันกล่าวจบแล้วก็ไม่ได้รอให้ฉีจิ้งตอบสนองแต่อย่างไร เพียงหันไปมองเริ่นจงกับหลิวหงกวงด้วยรอยยิ้มฝืนๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงช่วยไม่ได้”รองผู้นำเริ่น อาวุโสหลิว นายน้อยข้าเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น”
แค่ล้อเล่น?
หลังได้ยินวาจานี้ของฉีเสิ่น ทุกผู้คนหันไปมองฉีจิ้งด้วยความสงสัยทันที
เรื่องนี้ไม่ขำสักนิด!
“ฉีเสิ่น ข้าไม่ได้ล้อเล่น!”
อย่างไรก็ตามฉีจิ้งไม่ได้ไว้หน้าฉีเสิ่นแม้แต่น้อย กล่าวสวนออกมาเสียงแข็งทันที
พอได้ยินฉีเสิ่นถึงกับหน้าม้านไปทันใด
มันอุตส่าห์ยอมเสียหน้าหาทางลงให้ด้วยหมายจะช่วยเหลือฉีจิ้งแล้ว แต่ฉีจิ้งไม่เพียงไม่เห็นค่า ยังมาตะคอกเสียงแข็งทั้งเรียกมันห้วนๆ ราวกับไม่เห็นถึงความหวังดีของมัน!
สุดท้ายฉีเสิ่นก็โบกมือสะบัดชายเสื้อดังฝั่บด้วยความโมโหเพราะเสียหน้า คร้านจะยุ่งเรื่องราวอะไรอีก
“นายน้อยฉีจิ้ง ท่านคิดจะท้าทายหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อสองคนพร้อมกันหรือ?”
เริ่นจงหรี่ตามองฉีจิ้ง กล่าวถามออกมาเสียงเข้ม
“ในฐานะรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า หรือท่านเองก็คิดว่าข้ากล่าววาจาเหลวไหลล้อเล่นด้วยอีกคน?”
ฉีจิ้งขมวดคิ้ว
“นายน้อยคฤหาสน์ เรื่องนี้ท่านต้องคิดให้ดี…มิว่าจักเป็นหลวงจีนลายบุปผาหรือจิ้งชวีจื่อคนใดคนหนึ่ง ก็เป็นถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญดุจเดียวกับท่าน คิดใช้หนึ่งสู้สอง ก็ดั่งสองมือคิดต้าน 4 ทาง ท่านต้องคิดทบทวนให้ดี…”
หลิวหงกวงยังกล่าวเสริมออกมา
“ขอบคุณอาวุโสหลิวสำหรับความหวังดีที่กล่าวเตือน แต่ข้าตัดสินใจไปแล้ว”
ฉีจิ้งกล่าวออกเสียงเรียบ
“เรื่องนี้ตามหลักแล้วมิได้ขัดกับกฏในการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องแต่อย่างไร…ทว่าการที่ท่านคิดลงมือลำพังต้านสองเช่นนี้ ท่านต้องถามความสมัครใจของทั้งคู่เสียก่อน เพราะข้ากับอาวุโสหลิวมิมีสิทธิ์บีบบังคับทั้งคู่ให้สู้กับท่าน เพราะจะอย่างไร…เรื่องนี้ก็มิต่างจากการหยามเกียรติของทั้งคู่!”
เริ่นจงกล่าวกับฉีจิ้งด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแข็งขึ้น
ตอนนี้มันย่อมเข้าใจอารมณ์ของหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อได้เป็นอย่างดี เพราะหากเป็นมันก็ต้องมีโมโหหนักแน่นอน
คนที่เคยพ่ายแพ้ตัวมัน กลับกล้าท้ามันกับอีกคนที่พลังฝีมือทัดเทียมกับมันพร้อมกัน? นี่มันหยามหน้ากันชัดๆ!
ขณะที่เริ่นจงปริปากกล่าวคำ ทุกคนรวมถึงต้วนหลิงเทียนก็ว่ายตามองไปยังหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อทันที
ตอนนี้ไม่ว่าหลวงจีนลายบุปผาหรือจิ้งชวีจื่อล้วนชักสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากทั้งคู่
อย่างไรก็ตามทั้งคู่รู้ดีว่าตอนนี้จำต้องให้คำตอบออกมา
ทว่าในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะกล่าวบอกปัด ปฏิเสธไม่ประลองแบบนี้ เป็นฉีจิ้งที่กล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน”หลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเองก็มีศักดิ์ศรีและมีความมั่นใจในตัวเองสูง…แต่ถ้าวันนี้พวกเจ้าทั้งคู่ไม่กล้ารับคำท้าของข้า ข้าคงต้องถอนหายใจด้วยความระอาแล้วจริงๆ…เพราะคนของวัดฟ่านเทียนกับศาลเจ้าชุนหยางที่แท้ล้วนเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การมิได้!!”
สัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้!
ต้องบอกเลยว่า คำนี้ของฉีจิ้งมันแรงนัก!
อย่างน้อยๆทันทีที่สิ้นคำของมัน ไม่ว่าจะเป็นคนของวัดฟ่านเทียนหรือศาลเจ้าชุนหยางก็ของขึ้นทันที ใบหน้ายังเปลี่ยนไปเป็นโมโห หลวงจีนบางคนแทบถลกจีวรวิ่งมาถีบยอดหน้ามันสักครา!
“หยิ่ง! หยิ่งผยองอวดดีนัก!!”
“หลวงพี่! ในเมื่อมันโอหังถึงเพียงนี้ก็ขึ้นไปสั่งสอนมันสักคราเถอะ!!”
“ถูกแล้วศิษย์พี่! ในเมื่ออีกฝ่ายมิเห็นวัดฟ่านเทียนของพวกเราอยู่ในสายตา ท่านก็มิต้องแยแสอันใดเพียงร่วมมือกับพี่ชายจิ้งชวีจื่อมอบบทเรียนที่ไม่มีวันลืมให้มันเถอะ!!”
“ศิษย์พี่ ขึ้นไปทุบตีมัน!!”
……
ตอนนี้คนของวัดฟ่านเทียนยกเว้นเจ้าอาวาสกับหลวงจีนอาวุโสถึงกับโมโหจนโพล่งคำออกมา บ้างก็โมโหจนจีวรกระพือ บางคนที่ถือประคำไว้ยังกำจนสายขาดลูกประคำร่วงผล็อย เร่งเร้าให้หลวงจีนลายบุปผาเร่งรับคำท้าแล้วขึ้นไปสั่งสอนตัวปากดีนั่นเร็วไว!
ด้านศาลเจ้าชุนหยางเองก็ไม่ต่างกัน
ยกเว้นผู้นำศาลเจ้า และนักพรตระดับสูง ต่างก็โมโหและโวยวายออกมาเช่นกัน
วาจาดูแคลนปรามาสนี้ของฉีจิ้งนับว่าสร้างความตกตะลึงให้ผู้คนทั้งหมดแล้วจริงๆ!
เพราะนี่เป็นการล่วงเกินและท้าทาย 2 ขุมพลังชั้น 5 อย่างศาลเจ้าชุนหยางและวัดฟ่านเทียนโดยตรง!
แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ที่ฉีจิ้ง อันมีภูมิหลังเป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งจะกระทำเช่นนี้
แต่ปัญหาคือเมื่อฉีจิ้งกล่าวออกมาแล้วแบบนี้ ถ้าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อไม่รับคำท้าประลอง ย่อมกลายเป็นยอมรับว่าวัดฟ่านเทียนกับศาลเจ้าชุนหยางล้วนเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การมิได้แล้วจริงๆ!
“อาตมาตกลง!”
“ข้าตกลง”
ดังนั้นแล้วภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับ!
อย่างไรก็ตามในขณะที่กล่าวคำยอมรับ ใบหน้าทั้งคู่ล้วนบิดเบี้ยวไปด้วยโทสะอารมณ์ แววตาที่ใช้มองฉีจิ้งยังเต็มไปด้วยความดุร้าย เอาเรื่อง!
พวกมันตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ถึงแม้พวกมันจะฆ่าฉีจิ้งไม่ได้ แต่พวกมันจะมอบบทเรียนที่ฉีจิ้งจะจดจำไว้ไม่มีวันลืม! ให้อีกฝ่ายล่วงรู้ว่าไฉนบุปผาถึงมีสีแดง!!
ฉีจิ้งยั่วยุเหยียดหยามพวกมัน พวกมันทานทนรับได้!
ทว่าฉีจิ้งกลับล่วงเกินขุมพลังที่ชุบเลี้ยงพวกมันมาแบบนี้ พวกมันทานทนไม่ได้!
สำหรับศิษย์ของขุมพลังที่โดดเด่นแล้ว ขุมพลังที่ชุบเลี้ยงมาก็เปรียบเสมือนตระกูลที่บรรพบุรุษก่อสร้างมา การยั่วยุขุมพลังของพวกมัน ก็ไม่ต่างใดจากขุดหลุมศพบรรพชนของพวกมัน!!
ไม่มีใครในที่นี้แปลกใจแม้แต่น้อยที่หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อรับคำท้าของฉีจิ้ง
เพราะภายใต้สถานการณ์แบบนี้ แม้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อจะรู้ดีว่าฉีจิ้งหมิ่นหยามพวกมัน แต่ทั้งคู่ก็ไร้หนทางเลือกอื่น เพราะหากไม่ยอมรับคำท้า ก็เท่ากับยอมรับว่าขุมพลังของพวกมันล้วนเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การมิได้แล้วจริงๆ
“ฉีจิ้งมันเสียสติไปแล้วหรือไร!?”
“นี่มันคิดจริงๆหรือ ว่าลำพังทะลวงถึงด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญจะทำให้มันอยู่ยงคงกระพัน? หาญกล้าท้าทายสองคนที่มีด่านพลังเดียวกันกับมันเช่นนี้?!”
“ให้ข้าดูตอนมันพ่ายแพ้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่ออย่างอนาถเถอะ! ข้าจะดูว่ามันยังจะทำหน้าผยองได้อีกหรือไม่?!”
“ฮ่าๆๆ! ถึงตอนนั้นข้ากลัวว่ามันคงอับอายขายหน้ากระทั่งขุดดินเอาหน้าซุกลงไปเพื่อหลบหน้าผู้คน!!”
“ตอนนี้ข้าแทบรอให้มันถูกหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อทุบตีจนแพ้พ่ายมิไหวแล้ว…ด้วยการรว่มมือกันของทั้งคู่ ข้าว่ามิเกิน 10 กระบวนท่าหรอก! รู้เรื่อง!!”
……
เมื่อเห็นว่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อยอมรับคำท้า ผู้คนก็ฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง
“โชคมิดีที่เบื้องหลังของฉีจิ้งคือคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง หาไม่แล้วหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อคงทุบตีมันจนตาย!”
“นั่นสิ มีคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องให้ท้ายอยู่เช่นนี้ หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อแม้จะทุบตีมันจนน่วมได้ แต่มิอาจทำร้ายมันถึงตายหรือพิการอะไรได้…”
“ฮึ่ม! ข้าคิดว่าฉีจิ้งเองมันก็รู้ว่าต้องลงอีหร็อบนี้…หาไม่แล้วมันจะหาญกล้าท้าทายทั้งคู่พร้อมกันได้อย่างไร?”
……
หลายคนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา พอคิดถึงเรื่องที่ฉีจิ้งคงไม่กล้าท้าทายแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะมันมีคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอยู่เบื้องหลัง
‘เจ้าฉีจิ้งนั่น…มันมั่นใจจริงๆงั้นเหรอว่าจะรับมือทั้งคู่ไหว?’
ต่างจากคนอื่น ต้วนหลิงเทียนหยีตามองพินิจฉีจิ้งอย่างละเอียด และพบว่าทั่วร่างของฉีจิ้งเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ แววตายังกระจ่างไร้กังวล!
หลังจากใช้ชีวิตมา 2 ช่วงชีวิต สายตามองคนของต้วนหลิงเทียนค่อนข้างแม่นยำ
ตอนนี้บรรยากาศทั่วกายของฉีจิ้ง เผยกลิ่นอายของผู้ชนะออกมาชัดเจน!
‘หากมันมีพลังฝีมือมากพอจะเอาชนะทั้งคู่…นั่นหมายความว่าพลังฝึกปรือของมันสมควรอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด! หากมันบรรลุขอบเขตพลังนั่นจริงๆ..เต็มที่ข้าก็คงทำได้แค่เสมอกับมัน เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะฆ่ามัน!!’
คิดถึงจุดนี้ อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งทันที
เขาดั้นด้นมาเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเพื่อเข้าร่วมการประลองยอดนักรบนี้ มีจุดประสงค์เดียวเท่านั้น …ฆ่าฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง! ทำลายงานวิวาห์ของเฉวี่ยไน่!!
ทว่าตอนนี้เรื่องฆ่าฉีจิ้ง ท่าทางจะไม่ง่ายเสียแล้ว
‘หวังว่ามันจะแค่ลำพองตัว และไม่ได้มั่นใจจริงๆ’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนได้แต่หวังลมๆแล้งๆว่าตัวเองจะดูผิด แต่แน่นอนเขารู้ดีแก่ใจว่าความเป็นไปได้ที่ว่า มันช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดินนัก
ด้วยเหตุนี้ในใจของเขาจึงคล้ายมีเมฆหมอกทะมึนปกคลุมให้อึมครึม กดดันไม่น้อย!
ฟุ่บ!
เสียงแหวกฝ่าสายลมดังขึ้น เป็นจิ้งชวีจื่อที่เหินร่างจากเวทีประลองเม็ดหมากของตัวเองมาหยุดยืนบนเวทีประลองของหลวงจีนลายบุปผา ยังไปยืนข้างๆหลวงจีนลายบุปผา เผชิญหน้ากับฉีจิ้งที่ลอยตัวเบื้องหน้า
ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กำลังจะปะทะรับมือ หลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อพร้อมกัน!
ทั้งสองคนนั้นไม่ว่าจะเป็นใคร ในอดีตล้วนบดขยี้ฉีจิ้งได้ง่ายดาย!
ทว่าวันนี้ฉีจิ้งคิดท้าทายพวกมันพร้อมกัน!
ในการต่อสู้ครั้งนี้มีไม่กี่คนที่มองฉีจิ้งในแง่ดี ทั้งหมดล้วนคิดว่าไม่พ้นฉีจิ้งต้องถูกหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อทุบตีจนแพ้อนาถแน่ เพราะทุกคนล้วนรู้ถึงพลังสามารถของทั้งคู่เป็นอย่างดี!