WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1701
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1701
ตอนที่ 1,701 : ‘รวมวิญญาณ’
การจะแผ่สำนึกสติลงแหวนเพื่อใช้งานหยิบเก็บสิ่งของได้ จำต้องผูกพันธะโลหิตครองแหวนเสียก่อน
โดยทั่วไปแล้วพันธะครองแหวนเดิมจะสลายไป ก็ต่อเมื่อเจ้าของคนเก่ายินดีสลายพันธะเองหรือตกตายไปแล้วเท่านั้น คนอื่นถึงจะมีสิทธิ์ผูกพันธะครองแหวน เพื่อเปิดใช้งานแหวนได้
ทว่าแหวนวงนี้ในมือต้วนหลิงเทียนที่เจ้าของเดิมคือฉีจิ้ง…กลับไม่อาจผูกพันธะครองแหวนได้!
เช่นนั้นแล้วมีความเป็นไปได้ประการเดียวเท่านั้น
ฉีจิ้งยังไม่ตาย!
“เป็นไปไม่ได้!!”
ทว่าพอคิดถึงสาเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนก็คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย!
เพราะในตอนที่เขาฆ่าฉีจิ้งนั้น เขาได้ใช้รังสีพลังกระบี่ ที่ยิงออกจากกระบี่สีทองที่ควบรวมจากกระบี่พลังนับหมื่นในเขตแดนอันสร้างจากปราณสุริยันที่ร้ายกาจ แถมยังผสานไว้ด้วยพลังลึกล้ำจาก เงาใจกระบี่สัมพันธ์ อันเป็นขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่ กระทั่งยังควบรวมไปด้วยพลังดิบเถื่อนจากร่างกาย! ทำให้รังสีพลังกระบี่นั่นเปี่ยมล้นไปด้วยพลังทำลายสูงสุด แถมยังพุ่งทะลวงหว่างคิ้วจนทะลุออกหลังหัวฉีจิ้งไปแล้ว!!
หัวใจ หว่างคิ้ว คือจุดตายของมนุษย์!
หัวใจเป็นดั่งจุดศูนย์กลางของร่างกาย ส่วนหว่างคิ้วเป็นดั่งจุดศูนย์รวมของดวงจิต!
การทะลวงหว่างคิ้วก็ไม่ต่างจากการทำลายดวงจิต! และดวงจิตก็คือภาชนะในการกักเก็บวิญญาณ!
หากลงมือสังหารโดยการจู่โจมที่หัวใจนั้น ยังมีความผิดพลาดได้…เพราะบางคนมีหัวใจอยู่ในด้านที่แตกต่างจากผู้อื่น!
และในเวลานั้นหากต้วนหลิงเทียนไม่ฆ่าฉีจิ้งให้ตายในพริบตา มันอาจครองสติ ใช้พลังสะกดชีพจรหัวใจและเร่งกล่าวยอมแพ้ออกมาได้ทันเวลา
ดังนั้นเขาจึงไม่ลงมือยิงรังสีพลังไปที่อกเพื่อทำลายหัวใจฉีจิ้ง เพราะเขาไม่กล้าเสี่ยง!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกวิธีสังหารที่แน่นอนที่สุด ยิงรังสีพลังกระบี่ไปทะลวงหว่างคิ้ว ทำลายดวงจิต…กระทั่งรังสีพลังยังสมควรทะลวงก้านสมองของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ!
‘ตอนที่ข้าลงมือเสร็จข้ายังแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบขณะชิงแหวนพื้นที่มันมาด้วยซ้ำ…ดวงจิตมันแตกสลายแล้วแน่นอน กลิ่นอายวิญญาณก็กระจัดกระจายจางหายไปในสวรรค์และโลก พลังชีวิตมันก็ดับลงแล้วชัดๆ…แต่ทำไมพันธะครองแหวนยังไม่สลายกัน!?’
ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเริ่มบิดเบี้ยวอัปลักษณ์
ในแหวนของฉีจิ้งสมควรมีทรัพยากรบ่มเพาะอันดีมากมาย เพราะในนั้นสมควรมีแหวนพื้นที่ของหลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อและจงกู้รวมอยู่ด้วย! แต่ต้วนหลิงเทียนไม่อาจหยิบพวกมันออกมาใช้ได้เลย เพราะเขาไม่อาจผูกพันธะครองแหวนได้!!
และหลังจากที่เขาคิดทบทวนดีแล้ว ก็เหลือความเป็นไปได้ประการเดียวเท่านั้น
ฉีจิ้งยังไม่ตาย!!
“ผู้เฒ่าหั่ว!”
ต้วนหลิงเทียนที่ไม่เชื่อว่าฉีจิ้งยังไม่ตาย รีบเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาผู้เฒ่าหั่วที่อยู่ในชั้นแรกของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที เพราะมันเกินความเข้าใจของเขาไปแล้วจริงๆ!
ครั้งยังรุ่งโรจน์ผู้เฒ่าหั่วก็คือวิหกเทพสุริยัน อีกาทองคำ 3 ขาในตำนาน! สมควรมีองค์ความรู้มากมายเหนือจินตนาการเขา!!
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเล่าเรื่องราวและถามผู้เฒ่าหั่วว่าเพราะอะไรพันธะแหวนถึงไม่คลาย ผู้เฒ่าหั่วพลันกล่าวถามออกมาทันที “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า…มันเป็นผู้บ่มเพาะสายมารงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วท่านผู้เฒ่าหั่ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าค่อยกล่าวสืบต่อ “จากที่ข้ารู้มา ปีที่แล้วฉีจิ้งยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกมาร แถมยังพึ่งมีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นต้นด้วยซ้ำ…ทว่าหลังผ่านไป 1 ปี วันนี้มันไม่เพียงแต่จะกลายเป็นผู้ฝึกมาร แต่ยังมีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!”
อันที่จริงความก้าวหน้าของฉีจิ้ง ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนตกตะลึงไม่น้อย
ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งตัวเขาเองที่มีความช่วยเหลือของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่ทำให้มีบรรยากาศเหมาะแก่การบ่มเพาะสั่งสมพลัง กระทั่งกาลเวลาด้านในยังช้ากว่าด้านนอกถึง 5 เท่า ทำให้ 5 วันในเจดีย์เท่ากับ 1 วันด้านนอก แต่เขาก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะบ่มเพาะพลังจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ในเวลา 1 ปี…
เพราะก่อนที่จะเริ่มการประลองยอดนักรบ ใน 1 ปีนั้นหากตัดเวลาเดินทางออกไป เขาก็มีเวลาบ่มเพาะพลังถึง 4 ปี! ถึงเขาจะทุ่มเวลาไปกับการพยายามทำความเข้าใจขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่ แต่ก็ยังมีเวลาฝึกปรือมากมาย อีกทั้งหลังบรรลุด่านพลังเขาก็ต้องใช้เวลาปรับพื้นฐานทำให้ด่านพลังมั่นคง จึงทำได้แค่ทะลวงจากเซียนดั้งเดิมขั้นต้นมาถึงเซียนดั้งเดิมขั้นกลางเท่านั้น
แน่นอนว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง แต่ก็เจียนทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญเต็มที
นอกจากนี้พลังฝีมือของเขาก็ทัดเทียมกับจุดสูงสุดของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!
เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากความจริงที่ว่าเขาลงมือสังหารฉีจิ้งได้!
“ภายในเวลาสั้นๆ แต่มันที่กลายเป็นผู้ฝึกมารสามารถบรรลุพลังถึงขนาดนี้ได้…ข้าคิดว่ามันสมควรบำเพ็ญพลังด้วยเคล็ดวิชามารระดับสูง อีกทั้งสมควรมีเคล็ดรวมวิญญาณเป็นส่วนหนึ่งของวิชาบ่มเพาะ”
เสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นรวดเดียวจบ
“เคล็ดรวมวิญญาณหรือ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันใด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้
“มิผิด เคล็ดรวมวิญญาณ”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวอธิบายสืบต่อ “ต่างจากผู้เดินบนหนทางแห่งยุทธ์ โดยมากแล้วเคล็ดบำเพ็ญพลังของผู้เดินบนหนทางมารกระทั่งผู้แสวงหาเต๋าระดับสูงๆ ล้วนมีเคล็ดรวมวิญญาณแฝงอยู่ทั้งสิ้น…และเคล็ดรวมวิญญาณที่ว่า ก็เป็นวิชาที่ทำให้สามารถรวบรวมวิญญาณที่แตกสลายกระจัดกระจายไปในฟ้าดินให้ฟื้นคืนกลับมาได้อีกครั้ง…แน่นอนว่ามันจำต้องใช้เวลากว่าจะฟื้นฟูสมบูรณ์”
“แล้วมันจะกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งงั้นเหรอ? ทั้งๆที่ก้านสมองของมันก็สมควรถูกข้าสะบั้นไปแล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตระหนก
“เจ้าจะว่าเช่นนั้นก็ได้…ผู้ฝึกมารตายยากกว่าที่เจ้าคิด แถมก้านสมองมันเพียงขาดมิได้ถูกทำลายจนสลายไปสิ้น ย่อมรักษาได้”
เสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นอีกครั้ง
ได้ยินวาจานี้ของผู้เฒ่าหั่ว สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็มืดดำลงทันใด “เช่นนั้นหมายความว่าไม่เพียงแต่ดวงวิญญาณที่กระจัดกระจายหายไปของฉีจิ้งจะหวนกลับมารวมตัวด้วยเคล็ดรวมวิญญาณนั่นได้อีกครั้ง…แต่มันยังสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้…”
“เรื่องพรรค์นี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน!!”
หลังจากกล่าวบ่นออกมาสีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เคร่งเครียดขึ้นถึงขีดสุด
เขาดั้นด้นเดินทางไปนับพันนับหมื่นลี้เข้าร่วมการประลองยอดนักรบเพื่อฆ่าฉีจิ้ง คลี่คลายวิกฤติให้หานเฉวี่ยไน่!
แต่ทั้งที่ลงมือฆ่าฉีจิ้งไปแล้ว ไฉนผลลัพธ์ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
‘บ้าจริง ตอนนี้ลุงหานคิดว่าฉีจิ้งตกตายไปแล้ว เลยตื่นเต้นดีใจครั้งใหญ่…หากท่านลุงรู้ว่ามันยังไม่ตาย ไม่รู้จะเสียใจและผิดหวังขนาดไหน!’
ยิ่งมาสีหน้าต้วนหลิงเทียนยิ่งอัปลัษณ์ปั้นยากขึ้นเรื่อยๆ
ต้วนหลิงเทียนซึ่งแต่เดิมวางแผนจะไปบอกข่าวดีกับหานเฉวี่ยไน่ แต่พอได้รู้ว่าฉีจิ้งยังไม่ตายเขาก็ไม่คิดไปหาหานเฉวี่ยไน่อีก เลือกที่จะพุ่งร่างออกจากคฤหาสน์คลื่นขจีทันที
ตอนนี้เขาต้องการที่เงียบๆเพื่อสงบอารมณ์และเรียบเรียงความคิด
“จริงสิผู้เฒ่าหั่ว ที่ท่านบอกว่าเคล็ดรวมวิญญาณจำต้องใช้เวลาเพื่อฟื้นฟูวิญญาณ…แล้วมันต้องใช้เวลานานเท่าไรเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนที่นึกอะไรขึ้นได้ รีบกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วอีกครั้ง
“จักใช้เวลานานเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับระดับของเคล็ดวิชารวมวิญญาณที่มันมี เพราะเคล็ดวิชาสายนี้ก็แตกแขนงออกไปหลากหลายนัก…แต่เท่าที่ข้ารู้ ต่อให้เป็นเคล็ดรวมวิญญาณที่เลิศล้ำที่สุด แม้พลังฝึกปรือจะพึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด แต่นั่นก็ต้องใช้เวลารวบรวมวิญญาณที่กระจัดกระจายสลายไปอย่างน้อยๆปีครึ่ง…หลังจากนั้นมันถึงจะฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมารวดเดียวจบ
“อย่างน้อยๆ ปีครึ่งงั้นเหรอ?”
พอต้วนหลิงเทียนได้ยินคำตอบครั้งนี้ เขาก็โล่งใจทันที
เพราะตอนนี้สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือฉีจิ้งสามารถฟื้นคืนชีพได้ในเวลาอันสั้นและกลับมาจัดงานแต่งได้ทันกำหนดการเดิม
แต่ตอนนี้ดูเหมือนในช่วงเวลาสั้นๆมันไม่อาจฟื้นตัวได้ แน่นอนว่างานแต่งที่กำหนดไว้แล้วก็จำต้องถูกล้มเลิก!
ต้วนหลิงเทียนจึงโล่งใจได้เป็นการชั่วคราว
“อย่างน้อยๆปีครึ่ง…และนั่นเป็นเคล็ดรวมวิญญาณที่ดีที่สุดเท่าที่ผู้เฒ่าหั่วรู้จัก! เคล็ดวิชาที่ฉีจิ้งมี ไม่มีวันดีถึงขนาดนั้นแน่ๆ! มันต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 2-3 ปีในการฟื้นตัว!”
พอคิดอย่างนี้ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความมั่นใจขึ้นมา
อย่างไรก็ตามแววตาของเขายิ่งมายิ่งคมกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ ‘ฉีจิ้ง ข้าไม่คิดเลยว่าขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมตาย! แต่ข้าฆ่าเจ้าได้ครั้งหนึ่ง ข้าก็ต้องฆ่าเจ้าได้อีกเป็นครั้งที่สอง! ทั้งการจะฆ่าเจ้าอีกครั้งหลังผ่านไป 2-3 ปี คงง่ายยิ่งกว่าตัดหญ้าฆ่าไก่ไล่เตะสุนัข!!’
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความมั่นใจนัก
อีก 2-3 ปีหลังจากนี้แม้ฉีจิ้งจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาหลังรวมวิญญาณได้สมบูรณ์ แต่ด่านพลังฝึกปรือของมันก็ยังอยู่ในขอบเขตเดิมกับตอนที่ตกตายไป
ถึงตอนนั้นต้วนหลิงเทียนย่อมสามารถฆ่ามันได้อีกครั้ง!
เพราะในอีก 2-3 ปีหลังจากนี้ ฉีจิ้งยังย่ำอยู่กับที่ แต่ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบจะก้าวหน้าไปถึงไหน ฆ่ามันนับเป็นอะไรที่ง่ายดาย!!
‘ถึงตอนนั้นข้าจะใช้ตัวตนลี่เฟิงบุกไปฆ่ามันให้ตาย…ใครถามข้าก็จะอ้างว่าเพราะตอนแรกข้าคิดฆ่ามันในการประลองให้ได้! แต่สุดท้ายกลับไม่สำเร็จจึงทำให้เกิดมารในใจขัดขวางการก้าวหน้าพลังฝึกปรือของข้า…ด้วยเหตุนี้จึงต้องฆ่ามันเพื่อขจัดมารในใจ! ทีนี้ก็ยากที่ใครจะโยงมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีได้!’
ยิ่งคิดต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งมั่นใจ
เพราะหากเขาทำแบบนี้ไม่มีทางที่ใครจะโยงเรื่องนี้มาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีได้เลย
ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะทำให้คฤหาสน์คลื่นขจีเดือดร้อน
‘ยังไงเสียงานแต่งที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกำหนดไว้ ก็เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น…ด้วยวิญญาณของฉีจิ้งยังกระจัดกระจายแบบนี้ มันไม่มีทางแต่งกับเฉวี่ยไน่ได้แน่ ถ้างั้นหมายความว่าเฉวี่ยไน่สมควรปลอดภัยไร้เรื่องราวกวนใจไป 2-3 ปี’
พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หากมองแบบนี้เท่ากับการดั้นด้นเดินทางไปเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของเขา ไม่ใช่การเดินทางที่สูญเปล่าแล้ว
เมื่อสรุปความได้ ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะไปหาหานเฉวี่ยไน่ทันที
“พี่ใหญ่หลิงเทียน!!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หานเฉวี่ยไน่ก็เต็มไปด้วยความยินดี ใบหน้าน้อยๆที่มักจะทุกข์เศร้าหมองซึมกลายเป็นแย้มยิ้มทันที
เพียงแต่ในรอยยิ้มยังแฝงเร้นไว้ด้วยความระทมใจ…
“พี่ใหญ่หลิงเทียน ตลอดปีที่ผ่านท่านไปไหนมาหรือ?”
หานเฉวี่ยไน่ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนพูดอะไร พลันยิงคำถามออกมาทันที
“อ้อ…ข้าไปเที่ยวแถวๆเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาน่ะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ
“ท่านไปเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมา!?”
พอหานเฉวี่ยไน่ได้ยินคำ คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ยิ้มบนใบหน้าพลันชะงักค้างทันที คำนี้เสมือนคำต้องห้ามสำหรับนาง
เพราะสุดท้ายแล้วอีก 1 เดือนหลังจากนี้ นางต้องแต่งกับตัวบัดซบอย่างนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่น
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของหานเฉวี่ยไน่กลายเป็นเจ็บปวด แถวแววตายังเศร้าซึมหม่นหมอง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดหยอกล้ออะไรอีก เพียงเปิดประตูเห็นภูผากล่าวออกทันที “เฉวี่ยไน่เจ้าไม่ต้องกังวลอีกแล้ว นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นไม่อาจมาแต่งงานกับเจ้าได้อีกต่อไป…เพราะมันตายคาการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องไปแล้ว”
สิ้นคำนี้ของต้วนหลิงเทียน หานเฉวี่ยไน่ถึงกับตกตะลึงอึ้งไปจนคล้ายลืมวิธีหายใจ!
ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องตายแล้ว?
ยังตายในการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง?
สำหรับหานเฉวี่ยไน่แล้ว ข่าวนี้เป็นข่าวอันใหญ่หลวงประหนึ่งฟ้าถล่มก็ไม่ปาน นางย่อมตื่นตระหนกตกใจทั้งสับสน
แต่วาจาของพี่ใหญ่หลิงเทียนนั้น นางไม่คิดคลางแคลงสงสัย!
แม้นางยังไม่ทราบว่าฉีจิ้งตกตายเพราะใคร แต่ข่าวอันประหลาดใจนี้นับว่ามาโดยที่นางไม่ทันตั้งตัวแล้วจริงๆ!
ต้วนหลิงเทียนเฝ้ามองสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปตั้งแต่แรกของหานเฉวี่ยไน่ด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
ตอนแรกนางเศร้าโศกนัก ต่อมาจึงกลายเป็นอื้ออึงสับสน สุดท้ายก็กลับกลายเป็นตื่นเต้นดีใจ
ต้วนหลิงเทียนพลันลอบทอดถอนในใจ และตัดสินใจว่าจะไม่กล่าวถึงเรื่องที่ฉีจิ้งยังไม่ตายออกมากับเฉวี่ยไน่
เพราะสุดท้ายแล้ว วิกฤตการณ์ครั้งนี้ก็คลี่คลายลงไปเป็นการชั่วคราว
“พี่ใหญ่หลิงเทียนความตายของมัน…ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือไม่?”
ถึงแม้หานเฉวี่ยไน่จะคิดว่าความคิดนี้ของตัวเองก็แปลกไปหน่อย แต่นางกลับมีสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าการตายของฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง อาจเกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่หลิงเทียนของนาง
เพราะหากนับจากเวลา การประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องสมควรพึ่งจบไปไม่นาน
“ใช่”
กับหานเฉวี่ยไน่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะปิดบังอะไร พยักหน้ารับทั้งยิ้มกล่าว “ปีที่แล้วหลังจากที่ข้าออกจากคฤหาสน์คลื่นขจี ข้าก็มุ่งหน้าไปเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทันที ข้ายังเปลี่ยนไปใช้ใบหน้าปลอมหน้าใหม่แถมใช้นามแฝงว่าลี่เฟิง เพื่อเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง…และข้าก็ฆ่ามันในการประลองนั่นล่ะ! แถมเมื่อมันตายไปแบบนี้ ยอมไม่มีทางที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะโยงการตายของมันมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีได้แน่นอน!!”