WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1712
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1712
ตอนที่ 1,712 : ศิษย์ตำหนักเมฆาคราม!
สื่ออวิ๋นนั้นเป็นอาจารย์ของเทียนหวู่ ย่อมไม่ต่างอะไรจากผู้หลักผู้ใหญ่ของเขา
เหตุผลที่สื่ออวิ๋นได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะเห็นแก่เทียนหวู่ จึงไปช่วยศิษย์พี่เขาที่ถูกขังไว้แบบนี้..
ดังนั้นแล้วต้วนหลิงเทียนจึงรู้สึกติดค้างสื่ออวิ๋นนัก
“หากเป็นเช่นนั้นแล้วจักอย่างไร?”
หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน จูมูจื่อพลันยิ้มเยาะออกมา คล้ายมั่นใจว่ามันจะมีชัยเหนือต้วนหลิงเทียนแน่ๆ “ถึงแม้เจ้าจะมิได้เป็นอันใดกับป๋ายลี่หง แต่เจ้าก็มีความผิดที่คิดชิงตราผนึกมาร…อันที่จริงแล้วตราผนึกมารเป็นสิ่งของที่สักวันท่านอาจารย์อวิ๋นต้องได้ไปครอง!”
(จูมูจื่อ ที่จริงมันต้องเป็นจูมู่จื่อ แต่ตอนที่แล้วผมพิมพ์ตกไม้เอกไปเกือบทั้งหมด เลยตามเลยแล้วกันเนอะ… (>.<))
“ด้วยพลังฝึกปรือของท่านอาจารย์อวิ๋นที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด พลังฝีมือของเจ้าย่อมมิอาจเทียบได้ ยิ่งในแง่ขุมพลัง…ท่านอาจารย์อวิ๋นก็มาจากตำหนักเมฆาคราม! ซึ่งเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 นับเป็นขุมพลังที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!!”
กล่าวถึงท้ายประโยคจูมูจื่อยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูแคลน “คนเรานั้นรู้อันใดมิเท่ารู้ตัวเอง…พลังฝีมือเจ้าอาจจะดี แต่หากคิดครอบครองตราผนึกมาร เจ้าต้องดีกว่านี้!”
สำหรับวัตถุประสงค์ของต้วนหลิงเทียน จูมูจื่อ ได้ยินก่อนที่จะเผยตัวออกมาเรียบร้อย
เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนปั้นแต่งขึ้นมาทั้งหมด แน่นอนว่ามันย่อมไม่รู้
“ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ตำหนักเมฆาคราม?”
หลังจากที่ได้ยินคำของจูมูจื่อแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปเล็กน้อย ค่อยหันไปมองถามชายวัยกลางคนที่ยืนข้างๆจูมูจื่อ “เจ้ามาจากขุมพลังกึ่งชั้น 3?”
“เหอะ!”
ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน ชายวัยกลางคนพลันเชิดหน้าชูตาขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนที่จะเหลือบมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูแคลนทั้งวางอำนาจเหนือกว่า “ข้า อวิ๋นคุน ศิษย์ของตำหนักเมฆาคราม!”
น้ำเสียงของอวิ๋นคุนมากล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ
และนี่ย่อมเป็นความภาคภูมิใจในฐานะคนของตำหนักเมฆาคราม!
หากเป็นตำหนักเมฆาครามในอดีตนั้น กล่าวได้ว่าคงเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่จัดได้ว่าต่ำต้อยที่สุด
เพราะสุดท้ายแล้วแม้จะขึ้นชื่อว่าขุมพลังกึ่งชั้น 3 เช่นเดียวกัน แต่ก็มีแบ่งแยกสูงต่ำดำขาว
และเรียกว่าในกาลก่อนตำหนักเมฆาครามคือขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่อยู่รั้งท้าย!
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ตำหนักเมฆาครามได้จ้าวตำหนักคนใหม่ขึ้นกุมบังเหียน ตำหนักเมฆาครามก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน จนทุกวันนี้ก็ได้กลายเป็นขุมพลังต้องห้าม ที่ยากจะมีใครในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหาญกล้าล่วงเกิน!
แน่นอนว่าอวิ๋นคุนคงไม่มีวันจินตนาการออกได้เลย ว่าชายหนุ่มที่มันกำลังเหลือบมองด้วยสายตาดูแคลนอยู่ก็คือจ้าวตำหนักน้อยของตำหนักเมฆาครามที่สูงส่งของมัน!
อีกฝ่ายยังเป็นบุตรชายคนเดียวของ ต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาครามที่ทุกผู้คนเคารพนับถือ!
ที่ตำหนักเมฆาครามผงาดขึ้นมาเด่นล้ำเหนือใครได้ในตอนนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะต้วนหรูเฟิงคนเดียว!
หากอวิ๋นคุนล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน น่ากลัวว่ามันคงตกใจตาย!
ต้องทราบด้วยว่าในสายตาของคนตำหนักเมฆาครามทั้งหมด จ้าวตำหนักอย่างต้วนหรูเฟิงนั้น ไม่ใช่ผู้คนอีกต่อไปหากแต่เป็นเทพเซียนที่ลงมาจุติ!
อนิจจาอวิ๋นคุนไม่ได้ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน และต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ฐานะของตัวเองเช่นกัน
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าบิดาสมควรอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้และมียอดฝีมือใต้บัญชาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ต้วนหลิงเทียนจะคาดถึงเลยจริงๆ ว่าที่แท้บิดาเขาจะเป็นผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า จ้าวตำหนักเมฆาครามที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว!
ตอนนี้ภายในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า น่ากลัวว่าจะมีขุมพลังกึ่งชั้น 3 เพียงขุมพลังเดียวที่มีพลังอำนาจมากพอจะต่อกรกับตำหนักเมฆาคราม…ตลาดมืดหยินชาน!
แม้แต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักฟ้าลี้ลับที่ต้วนหลิงเทียนวางแผนจะไปเยือน ก็ยังนับว่าด้อยกว่าตำหนักเมฆาคราม
แน่นอนว่าความแตกต่างนั้นไม่ได้มากมายอะไร
บางทีตำหนักเมฆาครามอาจยกกำลังไปกวาดล้างตำหนักฟ้าลี้ลับได้
ทว่าหลังการสู้รบ ไม่แคล้วตำหนักเมฆาครามจำต้องสูญเสียกำลังรบไปกว่า 8 ส่วนอย่างที่มิอาจหลีกเลี่ยง ทำให้ตำหนักเมฆาครามเองก็ไม่คิดจะไประรานอะไรตำหนักฟ้าลี้ลับ เพราะเข้าทำนองโจมตีผู้อื่นไปพันฟันร่างตัวเองไปแปดร้อยแผล
หลังจากรบกันแล้วแม้ตำหนักเมฆาครามจะชนะ แต่ก็ไม่พ้นต้องถูกทำลายเช่นกัน
ทั้งยังมีคำกล่าวที่ว่า ‘ตั๊กแตนจ้องจับจั๊กจั่นไม่รู้ภัยนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง’ ไม่ต้องกล่าวถึงขุมพลังชั้น 3 อื่นใด เอาแค่ขุมพลังที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกันมาตลอดอย่างตลาดมืดหยินชาน…ย่อมไม่คิดพลาดซ้ำคนล้มแน่นอน!
ก็ใช่ ที่การกล่าวถึงเรื่องพวกนี้อาจเป็นอะไรที่อยู่ไกลตัวเกินไปหน่อย…
“อย่าได้บอกข้าเชียว…ว่าเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 คนเดียว?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังอวิ๋นคุน ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา ไม่ใช่แค่อวิ๋นคุนที่อึ้งไป กระทั่งจูมูจื่อ จูหยวนและจูเลี่ย ยังถึงกับตกตะลึงไปเช่นกัน
หรือชายหนุ่มหน้าตาแลดูธรรมดาผู้นี้ ก็เป็นคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 เช่นกัน!?
“เจ้าเองก็เป็นคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ด้วย?!”
อวิ๋นคุนเลิกคิ้วขึ้น กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แม้จะแลดูสุภาพกว่าตอนแรก แต่ก็ยากจะปิดความถือดีของมันได้หมด
เพราะตำหนักเมฆาครามคือขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่เข้มแข็งที่สุดในบรรดาขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลาย เช่นนั้นเว้นเสียแต่จะเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธ์กับผู้นำระดับสูงๆของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมอื่น ไม่งั้นอวิ๋นคุนย่อมไม่คิดเกรงใจ
“ข้าจะเป็นหรือไม่เป็นแล้วอย่างไร?”
ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเชิดขึ้นเผยความถือดีไม่น้อย แววตายังจงใจเย้ยหยันให้เห็นกันชัดๆ
“เจ้ากล้าล้อท่านอาจารย์อวิ๋นเล่นงั้นเหรอ”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนมองอวิ๋นคุนด้วยสายตาเย้ยหยัน จูมูจื่อพลันได้สติ มันมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวกับมองตัวประหลาด
มันไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าจะยังมีขวัญกล้าอยู่ได้ หลังจากที่รับทราบว่าอาจารย์อวิ๋นมาจากขุมพลังกึ่งชั้น 3!
นี่อีกฝ่ายไม่กลัวตายจริงๆ?
หรืออีกฝ่ายคิดว่าสามารถประชันขันแข่งกับท่านอาจารย์อวิ๋นได้?
อย่างไรก็ตามแม้ในแววตาของจูมูจื่อจะเต็มไปด้วยความแปลกใจ แต่ลึกลงไปยังเผยให้เห็นความสนุกสนานไม่น้อย เพราะเรื่องราวเบื้องหน้าเป็นอะไรที่น่าดูชมนัก!
ด้านจูหยวนกับจูเลี่ยเอง ยามมองต้วนหลิงเทียนก็เผยความกระหยิ่มยิ้มย่องไม่น้อย
เพราะชายหนุ่มเบื้องหน้าเป็นตัวตนที่ตระกูลราชวงศ์พวกมันยากที่จะตอแยด้วยได้ง่ายๆ
เช่นนั้นหากปล่อยไปแบบนี้ พวกมันก็คงไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้ เป็นธรรมดาที่พวกมันจะรู้สึกไม่ยินยอมเพราะอีกฝ่ายกล้าบุกมาฆ่าคนของตระกูลราชวงศ์ไปหลายสิบ! พวกมันย่อมรู้สึกยินดีเป็นธรรมดาที่อีกฝ่ายกำลังจะประสบเคราะห์!!
‘นิ…นี่มิใช่ศิษย์น้องหรอกหรือ?’
ในขณะเดียวกัน ตอนนี้ป๋ายลี่หงก็ฟื้นคืนจากอาการตกตะลึงเรียบร้อยแล้ว
เพราะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวพร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง มันก็บอกได้ทันทีว่านี่คือเสียงของยอดฝีมือลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด…
ตอนแรกมันหลงคิดว่านั่นเป็นยอดฝีมือ ที่ศิษย์น้องพามาช่วย!
‘นี่มันพึ่งจะผ่านไปแค่เพียงปีเดียวเท่านั้น…หากแต่พลังฝีมือของศิษย์น้องกลับก้าวหน้าขึ้นมาถึงขั้นนี้จริงๆ? ฮั่วจินบรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด แต่ศิษย์น้องกลับฆ่ามันได้ในพริบตา…นี่ศิษย์น้องไปยกระดับพลังฝึกปรือมาอีท่าไหนกัน!?’
ทันทีที่ตระหนักได้ว่าศิษย์น้องของมันสมควรมีพลังฝึกปรือถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาภายในเวลาแค่ปีเศษๆ ป๋ายลี่หงก็อื้ออึงไปปานต้องอัสนียามแล้ง
อย่างไรก็ตามคราวนี้มันกลับฟื้นคืนสติในเวลาอันสั้น
“ไอ้หนู เจ้ามันหาเรื่องตาย!!”
ทีป๋ายลี่หงสามารถคืนสติได้ในเวลาอันสั้น เพราะเสียงตะโกนเปี่ยมโทสะของอวิ๋นคุน!
เพราะอวิ๋นคุนเองก็กลับมารู้สึกตัวแล้วเช่นกัน อีกทั้งเป็นธรรมดาที่มันจะมีโมโหหนัก! และโทสะอารมณ์นี้มันก็ไม่อาจระงับได้อีกสืบไป ชุดเสื้อคลุมโบกสะบัดขึ้นมาอย่างแรง กลิ่นอายพลังของยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดปะทุออกเต็มพลัง!!
ทันใดนั้นเองอาณาบริเวณทรงกลมกินรัศมี 100 หมี่โดยมีมันเป็นจุดศูนย์กลางพลันสั่นไหว ความว่างเริ่มสั่นสะเทือนดั่งหินร่วงหล่นสระสงบ คลื่นพลังน่ากลัวขุมหนึ่งปรากฏท่วมในบรรยากาศ!!
สนามพลังของอวิ๋นคุนควบรวมก่อเกิดเป็นเขตแดนในเวลาเพียงชั่วพริบตา!
ด้านคนของตระกูลราชวงศ์ทั้ง 3 พอเห็นภาพนี้พวกมันก็แสยะยิ้มขึ้นมาทันที…
ในสายตาของมัน ทันทีที่อาจารย์อวิ๋นลงมือเจ้าหนุ่มนั่นตายแน่!
“ศิษย์น้อง!!”
สีหน้าของป๋ายลี่หงแปรเปลี่ยนไปมหันต์ ใบหน้าเผยความหวาดผวาออกมา มันลืมไปสิ้นแล้ว..ว่าตอนนี้มันรับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อให้ต้วนหลิงเทียนอยู่!
แล้วถ้าหากต้วนหลิงเทียนไม่มั่นใจไหนเลยจะกล้าให้มันรับหน้าที่อันตรายทั้งเสี่ยงตายแบบนี้?
แน่นอนว่านี่เป็นเหตุสุดวิสัย…เพราะป๋ายลี่หงห่วงใยต้วนหลิงเทียนมากไป ยังกังวลเสียจนสติเตลิด! คำ ‘ใจกังวลหูตาฝ้ามัว’ เรียกว่าเป็นอะไรที่อธิบายป๋ายลี่หงตอนนี้ได้ชัดเจน..
เผชิญหน้ากับอวิ๋นคุนที่ควบรวมก่อเกิดเขตแดน ไม่ทราบในมือต้วนหลิงเทียนปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้ตั้งแต่เมื่อใด…ทั้งยังเป็นกระบี่ที่แลดูเรียบง่ายและธรรมดาถึงขีดสุด!
ทันใดนั้นสายตาของต้วนหลิงเทียนพลันเปลี่ยนเป็นคมกล้า!
ครู่ต่อมาปราณสุริยันแรกกำเนิดทั่วกายก็ถูกเร่งเร้าขึ้น พวกมันไหลเชี่ยวปานน้ำป่าไหลหลาก พุ่งผ่านชีพจรเซียน 99 สายไปควบรวมยังกระบี่ธรรมดาๆในมือ บันดาลให้กระบี่ธรรมดาๆในมือเริ่มปรากฏแสงสีทองสว่างจ้าเรืองรองออกมา!
วู้มมม!!
แสงสีทองที่เปล่งออกมาจากตัวกระบี่ยิ่งมาก็ยิ่งเจิดเจ้าขึ้นทุกขณะ ตอนนี้แทบจะสว่างเท่าดวงตะวันกลางฟ้าไปแล้ว!
“เป็นกระบี่เล่มนั้น!”
กระบี่ในมือต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่กระบี่ใดอื่นแต่เป็น กระบี่นิลสวรรค์! ในบรรดาทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ มีเพียงป๋ายลี่หงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เคยเห็นกระบี่เล่มนี้…
และแม้แต่ตัวป๋ายลี่หงเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าไฉนยามที่มันเห็นต้วนหลิงเทียนหยิบกระบี่เล่มนี้ออกมา ใจที่กังวลทั้งตื่นกลัวของมัน…กลับกลายเป็นสงบนิ่งลงอย่างประหลาด!
และพอมันสงบสติลง มันก็นึกขึ้นได้ว่าไฉนมันถึงอยู่นี่
‘ศิษย์น้อง…เจ้าแน่ใจหรือว่าจะจัดการอวิ๋นคุนได้?’
ถึงแม้ป๋ายลี่หงจะคิดว่าเรื่องนี้มันช่างเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อนัก แต่ในใจมันก็บังเกิดความคาดหวังไม่น้อย
สองตาของป๋ายลี่หงมองเขม็งไปที่กระบี่ในมือต้วนหลิงเทียนอย่างไม่วางตา ถึงแม้ว่ากระบี่จะถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองสว่างจ้าก็ตามที
ป๋ายลี่หงยังจดจำได้ ว่าตอนที่มันเห็นกระบี่เล่มนี้เป็นครั้งแรก มันยังอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสง
ฉากที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเป็นอะไรที่มันจะจดจำไปชั่วชีวิต
ศิษย์น้องของมันที่อยู่ในขอบเขตสู่เซียน กลับใช้กระบี่เล่มดังกล่าวฆ่าเซียนดั้งเดิมขั้นต้นในกระบี่เดียว
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนประมือกับหลินตงของตระกูลหลินแห่งคฤหาน์หลิ่งหนานหยวน มันเองก็เชื่อว่า 8-9 ส่วนล้วนเป็นเพราะกระบี่เล่มดังกล่าว ถึงแม้จะไม่ได้เห็นการโจมตีอันน่ากลัวครั้งนั้นก็ตามที
“เจ้าไม่คิดอาศัยเขตแดน แต่คิดใช้กระบี่ห่วยๆเล่มนั้นสู้กับข้า? นับว่าเจ้าขุดหลุมฝังศพตัวเองแล้วจริงๆ!!”
หลังจากที่ควบรวมเขตแดนจนแล้วเสร็จ เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนเพียงชักกระบี่ออกมาเท่านั้นทั้งไม่ได้คิดสร้างเขตแดนอะไร ใบหน้ามันก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันทันที
“ฆ่าเจ้า ต้องเสียเวลาเปิดใช้เขตแดนด้วยหรือ?”
เผชิญหน้ากับท่าทีเย้ยหยันของอวิ๋นคุน ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมยคล้ายกุมชัยชนะไว้ในกำมือ
วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนกอปรทั้งความเฉยเมยคล้ายไม่เห็นหัวดังกล่าว เมื่อดังเข้าหูและอยู่ในสายตาของอวิ๋นคุน…ย่อมไม่ต่างอะไรจากการลูบคมมัน!
“หาที่ตาย!!”
ทันใดนั้นอวิ๋นคุนก็ไม่อาจระงับโทสะในใจได้สืบไป! ร่างของมันปรากฏปราณแรกกำเนิดปะทุออกมาดั่งไฟลุกท่วม คนพุ่งทะยานโถมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนปานดาวตก!!