WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1714
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1714
ตอนที่ 1,714 : เป้าหมาย…ตำหนักฟ้าลี้ลับ!
หากศิษย์น้องของมันไม่มา มีหรืออาศัยมันคนเดียวจะยังมีวันได้กลับมาอีก? ยังมีโอกาสสูงนักที่มันจะเน่าตายคาคุกใต้ดินแสนบัดซบนั่น!!
“ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ ข้าได้ยินมาว่ายามนี้ในวังหลวงของประเทศฝูเฟิง มีสุดยอดฝีมือขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดคอยคุ้มครองพวกตระกูลราชวงศ์อยู่…ยอดฝีมือลึกลับที่ว่าบุกไปช่วยท่านเช่นนี้ แล้วสุดยอดฝีมือผู้นั้นมิเคลื่อนไหวสอดมือหรือ?”
ทันใดนั้นอาวุโสระดับสูงคนหนึ่งของตระกูลซือถูอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา
ทันใดนั้นทุกคนไม่เว้นซือถูหัง ซือถูฮ่าว และซือถูโฮ่วก็หันมองไปที่ป๋ายลี่หงตาเป็นมัน ด้วยอยากรู้อยากเห็นนัก
สุดยอดฝีมือที่ว่ามาคุ้มครองตระกูลราชวงศ์นั้น…เสียงร่ำลือกันว่ามันบรรลุถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!
“สมควรมิได้ลงมือใช่หรือไม่..หาไม่แล้วคงยากที่ยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นจะช่วยท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ออกมาได้?”
ทว่าหลังจากมองจ้องด้วยเฝ้ารอคำตอบของป๋ายลี่หงอยู่พักหนึ่งแต่ป๋ายลี่หงยังเงียบไม่ตอบอะไร อาวุโสคนหนึ่งจึงกล่าวคาดเดาออกมาอย่างอดไม่ได้
“สมควรเป็นเช่นนั้น จะอย่างไรนั่นก็คือสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด! หากมันลงมือขัดขวางจริง ยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นคงยากจะช่วยเหลือท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ได้…”
อีกคนหนึ่งกล่าวเสริม
หากเป็นคนแปลกหน้าที่ช่วยตัวมันออกมาจริงๆ ป๋ายลี่หงคงแค่ยิ้มรับและไม่กล่าววาจาตอบอะไรออกไป
ทว่ามันรู้ดีแก่ใจว่ายอดฝีมือลึกลับที่ช่วยเหลือมันไว้ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นศิษย์น้องที่น่าภาคภูมิใจของมัน! ตัวมันจึงมิอาจปล่อยให้คนอื่นดูถูกศิษย์น้องของมันได้แบบนี้ “เฮอะ! พวกเจ้าใช่กำลังกล่าวถึงอวิ๋นคุนใช่หรือไม่? ข้าจะบอกอันใดให้! มิเพียงแต่มันจะเป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดธรรมดา…แต่ฐานะความเป็นมาของมันยิ่งใหญ่นัก เพราะมันมาจากตำหนกมเฆาคราม อันเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3!”
“อะ…อะไรนะท่าน!?”
“คะ…คนของตำหนักเมฆาคราม ขะ…ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ?”
“มะ…มารดาเราช่วย! ตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิงเรา กลับมีสายสัมพันธ์กับตำหนักเมฆาครามด้วยหรือ?”
“ตำหนักเมฆาคราม…กล่าวกันว่าเป็น 1 ใน 2 ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งมวล!”
……
พอได้รับรู้ว่า อวิ๋นคุน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลราชวงศ์ ที่แท้เป็นถึงผู้ที่มาจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักเมฆาคราม ทั้งหมดถึงกับตกตะลึงถึงขั้นลืมหายใจ!
ตระกูลซือถูของพวกมัน เป็นแค่ขุมพลังชั้น 7 เท่านั้น…
อย่างไรก็ตามตำหนักเมฆาครามนั้นเป็นถึงขุมพลังกึ่งชั้น 3! เรียกว่าเพียงชี้นิ้วสุ่มเลือกชนชั้นยอดฝีมือของตำหนักเมฆาครามมาสักคน ก็สามารถล้างตระกูลซือถูของพวกมันได้ง่ายดาย!!
“เฮอะ! มันจะเป็นคนของตำหนักเมฆาครามแล้วจักอย่างไร? สุดท้ายมันก็ต้องตาย!”
ป๋ายลี่หงแค่นคำกล่าวออกด้วยความดูแคลน
ต้องกล่าวเลยว่า ทันทีที่ป๋ายลี่หงแค่นคำกล่าวออกมาครั้งนี้ ประหนึ่งมีเมฆคุ้มฝนคลั่งทั้งฟ้าฟาดอุบัติขึ้นในศีรษะของคนตระกูลซือถูแล้วจริงๆ!
หลังจากที่ทุกคนหวนคืนสู่สติ ก็ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่กล่าวคำออก เพียงหันหน้ามองสบตากันอย่างเงียบงัน ต่างเห็นซึ้งถึงความเหลือเชื่อจากแววตาอีกฝ่าย
“อะ…อวิ๋นคุนผู้นั้นตกตายแล้ว?”
“กระทั่งคนจากตำหนักเมฆาครามยังกล้าฆ่าฟัน? ยอดฝีมือลึกลับนั่นมิหวั่นหวาดความตายแล้วหรือ?”
……
คนของตระกูลซือถูย่อมไม่คิดคลางแคลงสงสัยในวาจาของป๋ายลี่หง เพราะเรื่องนี้ก็เปรียบดั่งกระดาษห่อไฟ ยากที่จะปกปิดไว้ได้นาน
ต่อให้วันนี้ป๋ายลี่หงกล่าวโป้ปด แต่เรื่องจริงก็ต้องปูดขึ้นมาในเวลาอันสั้น
อย่างไรเสียสิ่งที่ทำให้พวกมันตกตะลึงที่สุดไม่ใช่เรื่องที่อวิ๋นคุนผู้นั้นมาจากตำหนักเมฆาครามอันเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3…แต่เป็นเรื่องที่มีคนหาญกล้าฆ่าตัวตนเช่นนั้นต่างหาก! หรือผู้ลงมือไม่หวาดกลัวอำนาจของตำหนักเมฆาครามแล้วจริงๆ?
ตำหนักเมฆาครามคือมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ ที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!
ไม่นานเหล่าอาวุโสของตระกูลซือถู ก็กล่าวถามป๋ายลี่หงสืบต่อว่าที่แท้ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…
“ยอดฝีมือลึกลับที่ช่วยเหลือข้า อาศัยเพียงกระบี่เดียวก็ผ่าร่างอวิ๋นคุนให้แยกเป็นสองเสี่ยง…กระทั่งข้าที่บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นต้นแล้ว ยังมิอาจได้ยินแม้แต่เสียงตวัดกระบี่ ทำให้สิ่งเดียวที่ข้ารู้คือนั่นเป็นกระบี่ไวสังหารที่รวดเร็วสุดหยั่ง!”
ป๋ายลี่หงกล่าวออกมาอีกครั้ง
เพียง 1 กระบี่ สังหารเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด?
ทันใดนั้นคนของตระกูลซือถู ไม่เว้นซือถูฮ่าวและซือถูหังก็จำต้องสูดลมหายใจเข้าด้วยความหวาดกลัว ไขสันหลังยังรู้สึกเสมือนมีไอเย็นแล่นวาบเกาะกุม!
เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง ย่อมหมายความว่ายอดฝีมือลึกลับที่ยื่นมือเข้าช่วยป๋ายลี่หง…สมควรบรรลุด่านพลังอริยะเซียน!
หลังจากกล่าวเล่าเรื่องราวและตอบคำถามจิปาถะให้คนของตระกูลซือถูฟังอยู่อีกสักพัก ป๋ายลี่หงก็ขอตัวลากลับบ้านไปพักผ่อน
ก่อนหน้านี้เฟิ่งหวู่เต้า และซื่อหม่าฉางฟงรวมถึงคนอื่นๆย่อมไม่รู้เรื่องราว
แต่เนื่องจากต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกเอาไว้ก่อนจากไปว่า วันนี้ป๋ายลี่หงจะกลับมา พวกมันจึงไม่ได้ไปที่ไหน เพียงเฝ้ารอป๋ายลี่หงที่ลานบ้านของป๋ายลี่หง
“พวกเจ้า…”
และทันทีที่ป๋ายลี่หงเดินเข้าประตูมามันก็พบเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆทั้งหมด รออยู่ในลานด้วยใบหน้าเป็นกังวล
“ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่!!”
เมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงกลับมาจริงๆ เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ก็ประหลาดใจกันยกใหญ่!
“อะไรกัน? อย่าบอกข้านะว่าที่ข้าพูดไปก่อนหน้าไม่มีใครเชื่อถือกันเลย?”
ต้วนหลิงเทียนเองก็กลับมาถึงได้สักพักแล้วเช่นกัน เมื่อมาถึงที่นี่เขาก็เลิกใช้ใบหน้าปลอม หวนคืนสู่รูปลักษณ์ที่แท้จริง และเลือกจะเผยตัวออกมาหลังเห็นป๋ายลี่หงมาถึง
เมื่อเห็นว่าใบหน้าที่เริ่มคุ้นตาเปลี่ยนกลับไปเป็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคย ป๋ายลี่หงรู้สึกได้ถึงมวลอารมณ์ที่ท่วมท้นขึ้นมา มันก้าวไปหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะตบไหล่เบาๆ ทั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ศิษย์น้อง…ข้ามิอยากจะเชื่อเลยว่าเพียงเวลาพ้นผ่านไปปีเดียว เจ้าจะบรรลุพลังฝีมือขอบเขตอริยะเซียนแล้ว…”
บรรลุพลังฝีมือขอบเขตอริยะเซียน!?
แม้คนกล่าวไม่ตั้งใจ แต่คนฟังไม่อาจไม่หูผึ่ง! เฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆที่ได้ยินวาจานี้ของป๋ายลี่หงล้วนตกตะลึงกันทั้งสิ้น!
ขอบเขตอริยะเซียน!?
พวกมันไม่ใช่คนบ้านนอกจากทวีปมนุษย์อีกต่อไป เพราะได้มาใช้ชีวิตในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเป็นปีๆแล้ว แน่นอนทั้งหมดย่อมรู้ดีว่า ขอบเขตอริยะเซียน นั้นคืออะไร และหมายความว่าอย่างไร..
ขอบเขตอริยะเซียน เป็นด่านพลังด่านหนึ่งของผู้ฝึกตนระดับ เซียน!
ยามเมื่อผู้คนทะลวงผ่านขอบเขตสู่เซียนจนบรรลุระดับเซียนได้ ขอบเขตพลังดังกล่าวเรียกว่าเซียนดั้งเดิม ถัดจากเซียนดั้งเดิมก็เป็นเซียนขัดเกลา จนเมื่อทะลวงผ่านเซียนขัดเกลาจึงค่อยบรรลุถึงอริยะเซียน!
“ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่…นี่ท่านคงมิได้กำลังล้อพวกเราเล่นอยู่หรอกนะ! จะ…เจ้าต้วนน่ะรึ บรรลุอริยะเซียนแล้ว?”
เฉินเฉ่าช่วยสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตระหนก มันหันมองป๋ายลี่หงกับต้วนหลิงเทียนสลับไปมาด้วยสายตาประหลาดใจ ทำราวกับมองสัตว์ประหลาด
“นี่ต้วนหลิงเทียน จะ…เจ้าทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียนแล้วจริงๆ?”
หนานกงยี่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาอย่างทนไม่ไหว
“ยังไม่…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา
ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน นอกจากป๋ายลี่หงที่คล้ายกำลังสับสนไม่เข้าใจ เฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟง และคนอื่นๆพลันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกทันที โฉดคลุมทองยังกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ “ฮัยยา ที่แท้เป็นท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ล้อพวกเราเล่นนี่เอง”
“โอย ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ ทีหลังอย่าล้อเล่นเช่นนี้ได้หรือไม่ หัวใจข้าดวงน้อยๆของข้าแทบหยุดเต้นแล้ว!”
หนานกงยี่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงขื่นขม
“จึกๆๆ ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ที่แท้ท่านก็ขี้เล่นหรอกหรือ? กลับคิดหยอกล้อพวกเราเช่นนี้?”
เฉินเฉ่าช่วยกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแหยงๆ
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศโดยรอบเริ่มกลายเป็นครึกครื้นสนุกสนาน ป๋ายลี่หงก็ไม่รู้จะกล่าวออกมาอย่างไรดี ได้แต่ยิ้มแหยๆไปตามเรื่องราว
“ข้ายังไม่บรรลุขอบเขตอริยะเซียนก็จริง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ข้าสามารถลงมือจู่โจมด้วยพลังที่ทัดเทียมกับขอบเขตอริยะเซียนได้…แน่นอนว่าจำกัดแค่พวกอริยะเซียนทั่วๆไป”
ในขณะที่ป๋ายลี่หงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวออกมาในเวลาที่เหมาะสม
นอกจากป๋ายลี่หงที่ทอประกายลุกวาวด้วยตระหนักถึงบางสิ่ง เฟิ่งหวู่เต้าและคนที่เหลือถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด อึ้งค้างกันไปอยู่นานกว่าจะฟื้น
“สัตว์ประหลาด!?”
“ตัวประหลาด!”
หนานกงยี่กับเฉินเฉ่าช่วยมองต้วนหลิงเทียนด้วยสองตาเบิกโพลงปานลูกวัวแรกเกิด ปากยังโพล่งอุทานออกมาเสียงดัง
“เฮ้เจ้าต้วน…งั้นนี่หมายความว่า เป็นเจ้าเองน่ะเหรอที่บุกไปช่วยท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่กลับมา?”
เฉินเฉ่าช่วยโพล่งถามออกมาอีกรอบ
“ให้ข้าเล่าเรื่องนี้เองเถอะ”
ป๋ายลี่หงที่สติกลับมาแจ่มใสแล้ว พลันกล่าวออกมา
ถึงแม้จะเป็นการเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้ว หากทว่าในขณะที่เล่าป๋ายลี่หงยังรู้สึกเสมือนกำลังอยู่ในเหตุการณ์
“อัยยะ! ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ ท่านจะไม่สุดยอดไปหน่อยหรือ…เล่นเดินออกจากวังหลวงอย่างสง่าผ่าเผยไม่รีบไม่ร้อนเช่นนั้น!!”
“เหอะๆ ขนาดข้ามิได้อยู่ที่นั่นและเห็นเรื่องราวกับตา แต่ข้ายังนึกสีหน้าของพวกคนตระกูลราชวงศ์ออกเลย ว่าจะบิดเบี้ยวเหยเกขนาดไหน…”
เฉินเฉ่าช่วยกับหนานกงยี่กล่าวออกมาอย่างสนุกสนานหลังได้ฟังเรื่องราวจากป๋ายลี่หง
อย่างไรก็ตามไม่นานสายตาของทั้งคู่ก็หันไปตกที่ร่างต้วนหลิงเทียนเหมือนเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆที่เหลือ
เพราะสิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดของเรื่องราวนี้คือพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน!
อวิ๋นคุน ศิษย์ของขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักเมฆาคราม ที่มีด่านพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด กลับถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายในกระบี่เดียว…
“เจ้าหนูหลิงเทียน จะอย่างไรเจ้านั่นมันก็เป็นคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักเมฆาคราม…พวกเรามิรู้ด้วยซ้ำว่ามันใช่คนสำคัญของตำหนักเมฆาครามหรือไม่ หากมันเป็นคนสำคัญของตำหนักเมฆาครามจริงๆ ข้าเกรงว่าเรื่องราวคงมิอาจจบลงง่ายๆ…”
เฟิ่งหวู่เต้าก่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ได้ยินวาจาที่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจังตึงเครียดนี้ของเฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆจึงค่อยตระหนักได้ ว่าสถานการณ์ครั้งนี้ร้ายแรงปานใด ทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะเหงื่อตกแทนต้วนหลิงเทียน
“ถึงแม้ตำหนักเมฆาครามอาจไม่คิดรามือจากเรื่องนี้ง่ายๆ แต่อย่าลืมว่าตอนข้าฆ่าคน ข้าลงมือด้วยใบหน้าที่ปลอมขึ้นมา…ถึงตำหนักเมฆาครามอยากจะหาความ แต่อย่างน้อยๆมันต้องหาตัวคนลงมือให้เจอก่อน…”
ต่างจากพวกเฟิ่งหวู่เต้า ป๋ายลี่หงและคนอื่นๆที่เป็นกังวล ต้วนหลิงเทียนยังคงสงบแลดูใจเย็น…
เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ที่เป็นกังวลจนหูตาฝ้ามัว พอได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนจึงค่อยตระหนักได้ กลายเป็นคลายความกังวลลงทันที
“ลุงเฟิ่ง ข้าราบเรื่องที่เทียนหวู่ออกเดินทางออกจากนิกายแล้ว…แต่ข้ากลับคลาดกันกับนาง นางได้แจ้งท่านไว้หรือไม่ว่านางจะกลับมาเร็วๆนี้รึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามเฟิ่งหวู่เต้า
“ไม่เลย”
เฟิ่งหวู่เต้าส่ายหัวไปมา แม้มันจะทราบจากประมุขสื่ออวิ๋นแล้ว ว่ามียอดฝีมือที่ลอบติดตามไปคอยคุ้มครองบุตรีของมันอย่างลับๆ แต่ในใจมันก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล
ยอดฝีมือที่ว่าอาจจะร้ายกาจที่สุดในประเทศฝูเฟิง แต่กลับที่อื่นอาจไม่ใช่…
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับรู้ ค่อยกล่าวกำชับออกมา “พวกท่านอย่าได้กล่าวบอกใครถึงเรื่องที่ข้ากลับมา…และจากคำที่ข้าทิ้งไว้ในวังหลวง คนของตระกูลราชวงศ์ย่อมไม่กล้าสร้างปัญหาอะไรกับพวกท่านอีกต่อไป หลังจากนี้ทุกคนคงสามารถอยู่ในตระกูลซือถูได้อย่างปลอดภัย…และวันใดที่ข้ามีพลังฝีมือสูงพอข้าจะมารับพวกท่านทุกคนเอง ช่วงนี้ก็อย่าได้ละเลยหย่อนคล้อยเล่าขยันฝึกปรือบ่มเพาะกันด้วย…”
พอได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวออกยืดยาว ทั้งรับทราบเนื้อหาใจความ ทุกคนก็เข้าใจได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะจากไปแล้ว…
อย่างไรก็ตามพวกมันทุกคนรู้ดี ว่าประเทศฝูเฟิงไม่ใช่เวทีที่เหมาะสมให้ต้วนหลิงเทียนโลดแล่น…
มหาสมุทรสุดไพศาลมีไว้ให้ฉลามว่าย นภากว้างใหญ่มีไว้ให้เหยี่ยวเหิน!
คงมีเพียงแต่โลกภายนอกอันกว้างใหญ่เท่านั้น ถึงจะเป็นเวทีที่เหมาะสมให้คนอย่างต้วนหลิงเทียนโลดแล่น…
หลังจากที่ออกจากตระกูลซือถูแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง หมายไปยังนิกายอัคคีล่องลอย…
เมื่อมาถึงนิกายอัคคีล่องลอย ต้วนหลิงเทียนจึงได้ทราบข่าวจากลูกศิษย์ของประมุขสื่ออวิ๋น ว่านางยังคงอยู่ในช่วงเดินพลังรักษาตัวอยู่ ทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่าอาการบาดเจ็บของประมุขสื่ออวิ๋นนั้นสมควรสาหัสนัก…
“ถ้างั้นข้าขอฝากพี่สาวท่านนี้ไปกล่าวบอกประมุขสื่ออวิ๋นด้วย…ว่าข้าได้ล้างแค้นให้นางเรียบร้อยแล้ว”
ในเมื่อประมุขสื่ออวิ๋นยังคงปิดด่านเดินพลังรักษาตัว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะไปรบกวนขัดจังหวะการฟื้นฟูรักษาตัวของนางแต่อย่างไร จึงฝากให้ศิษย์ส่วนตัวของนางคนหนึ่งไปกล่าวบอก
เมื่อได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ส่วนตัวคนดังกล่าวของประมุขสื่ออวิ๋นอดไม่ได้ที่จะลอบเย้ยเยาะในใจ สีหน้าแววตาเผยอาการไม่เชื่อชัดเจน
นางย่อมรู้ดีว่าเป็นผู้ใดที่ลงมือทำร้ายอาจารย์ของนางจนอาการสาหัสขนาดนี้ เช่นนั้นอาศัยเจ้าหนุ่ม ‘หน้าขาว’ นี่น่ะหรือ จะมีพลังสามารถพเพียงพอที่จะต่อกรกับตัวตนที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้?
ต้วนหลิงเทียนย่อมแลเห็นถึงความไม่เชื่อในสีหน้าแววตาศิษย์สตรีเบื้องหน้าชัดเจน แต่เขาก็เพียงยิ้มลาจากนางมาอย่างเงียบๆไม่คิดอธิบายอะไร เพราะเขาเชื่อว่าในเวลาไม่เกิน 2 วันข่าวในวังหลวงสมควรแพร่กระจายออกมาถึงนิกายอัคคีล่องลอย!
“เอาล่ะ…ตอนนี้ก็ถึงเวลาไปตำหนักฟ้าลี้ลับที่ว่านั่นดูแล้ว…”
ตำหนักฟ้าลี้ลับ! ขุมพลังกึ่งชั้น 3!!