WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1719
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1719
ตอนที่ 1,719 : วังนภา
“วังนภา เป็นวังอันดับ 1 ในตำหนักฟ้าลี้ลับ ข้าคงมิอาจให้คำสัญญาอันใดกับเจ้าได้มากหากเจ้าเข้าร่วมวังนภา…อย่างไรก็ตามถ้าวันหนึ่งเจ้าพิสูจน์ตัวจนสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองได้ในวังนภา ข้าสัญญาว่าจะมอบสิ่งที่ดียิ่งกว่าที่วังอื่นใดจะให้เจ้าได้! และข้าเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้รองจ้าววังทั้ง 3 คงมิมีคำโต้แย้ง…”
รองจ้าววังนภากล่าวกับต้วนหลิงเทียนถึงตรงนี้ ก็ว่ายตาหันมองไปยังรองจ้าววังทั้ง 3
ด้านรองจ้าววังทั้ง 3 พอเห็นรองจ้าววังนภาปริปากกล่าวถึง พวกมันก็ทำได้แค่เผยยิ้มขื่นขม
รองจ้าววังลี้ลับ เถียนจี้ ได้แต่บ่นอย่างน้อยใจ “เฒ่าเซียว…เจ้าจักมิใจร้ายไปหน่อยหรือ…เจ้าต้องการคน 10 คนก็ทีนึงแล้ว แต่ตอนนี้เจ้ายังคิดแย่งอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงสุดอีก? นี่ใจคอเจ้าจะกินคนเดียวหมด มิคิดปันน้ำแกงซักถ้วยให้พวกเราเลยหรือไร?”
ตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่ว่าจะวัง ปฐพี ลี้ลับ เหลือง ล้วนไม่อาจเทียบกับ วังนภาได้
วังนภามียอดฝีมือมากที่สุด มีทรัพยากรบ่มเพาะดีที่สุด!
เช่นนั้นอีก 3 วังที่เหลือจึงไม่อาจเทียบได้เลย
แน่นอนว่าแม้วังนภาจะดีที่สุด จนถึงขั้นที่ 3 วังที่เหลือไม่อาจเทียบ แต่ก็มีการแข่งขันช่วงชิงที่รุนแรงที่สุดเช่นกัน! บางคนเป็นอัจฉริยะที่ไม่ใช่ชั่วแท้ๆ…แต่อาจไม่เด่นดังอะไรในวังนภา! ทั้งๆที่พลังฝีมือจะสูงพอจะได้รับการดูแลอย่างดีจากอีก 3 วังที่เหลือ…!!
ดังนั้นวังนภาจึงมีไว้สำหรับผู้ที่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองเป็นที่สุด
สำหรับอัจฉริยะธรรมดา อีก 3 วังที่เหลือนับเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
“หากพวกเจ้ามอบหลิงเทียน สตรีนางนี้ และเจ้าหนุ่มคนนั้นให้วังนภา อัจฉริยะที่เหลือล้วนเป็นของพวกเจ้า”
รองจ้าววังนภามองไปยังต้วนหลิงเทียน ศิษย์สตรีจากคฤหาสน์ดาบทรราช สุดท้ายก็ผู้ฝึกตนพเนจรที่ถูกกำจัดออกเป็นคนุสดท้ายในการทดสอบทนรับพลังกดดันไร้สภาพ
3 คนที่มันกล่าวออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือ 3 คนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดา 37 อัจฉริยะขอบเขตเซียนที่มาในวันนี้+
หลังจากที่รองจ้าววังนภากล่าวจบ รองจ้าววังอีก 3 คนที่เหลือก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรกันดี…
ล้อเล่นหรือไร?!
หากพวกมันสามารถรับตัวอัจฉริยะที่โดดเด่นทั้ง 3 นั่นได้บ้าง พวกมันจะยังสนใจคนอื่นๆอีกหรือ!?
อันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของรองจ้าววังนภา
นับว่าวังนภาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขาจริงๆ
“รองจ้าววังจาง ข้าต้องขอภัยท่านด้วย…”
เช่นนั้นคำเชิญที่รองจ้าววังปฐพีจางชิงกล่าวมาเมื่อครู่ ต้วนหลิงเทียนจึงทำได้แค่กล่าวปฏิเสธไปอย่างสุภาพเท่านั้น
“มิเป็นไร แม้เจ้าจักมิได้เข้าร่วมวังปฐพีของข้า แต่อย่างไรเจ้าก็นับเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเรายู่ดีหากเจ้าเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับ”
เผชิญหน้ากับอัจฉริยะขอบเขตเซียนเช่นต้วนหลิงเทียน จางชิง แม้มันจะเป็นรองจ้าววังปฐพีแต่มันก็ไม่กล้าละเลย!
ด้วยศักยภาพและพลังฝีมือที่หลิงเทียนเผยออกมา ตราบใดที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ วันหน้าต้องได้เป็นเสาหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับแน่! กระทั่งการช่วงชิงตำแหน่ง ‘จ้าวตำหนัก’ ของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
ส่วนตำแหน่งจ้าววังนภา จ้าววังปฐพี จ้าววังลี้ลับ หรือจ้าววังเหลือง ด้วยพรสวรรค์ระดับนี้..วันหน้าต้องได้เป็นสักตำแหน่งแน่นอน!
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนมีใจคิดเข้าร่วมวังนภา ก็คงมีแต่รองจ้าววังนภาเท่านั้นที่ยิ้มอย่างยินดี ส่วนที่เหลือก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขมเท่านั้น…นับว่ารองจาววังนภามาเหนือดั่งเฒ่าประมงแล้วจริงๆ!
เนื่องจากไม่มีทางได้รับต้วนหลิงเทียนแน่แล้ว รองจ้าววังปฐพีจึงหันไปให้ความสนใจศิษย์สตรีของคฤหาสน์ดาบทรราชทันที
“สาวน้อย หากข้าเข้าใจมิผิด เจ้าเป็นหลานสาวคนสุดท้องของผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราช หวางเฟยเซวียน ใช่หรือไม่?”
จางชิงกล่าวถาม
“อื๊อ”
ได้ยินคำถามของจางชิง หวางเฟยเซวียนก็ละความสนใจออกจากต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะหันไปพยักหน้ากล่าวตอบจางชิงสั้นๆ
“อ้อ พอดีข้าได้ยินเรื่องเจ้ามานานแล้ว…”
รอยยิ้มพลันคลี่กางบนใบหน้าจางชิงขณะกล่าว “กล่าวไปปู่เจ้ากับข้าก็รู้จักกัน…ไฉนเจ้าไม่เข้าร่วมกับวังปฐพีของข้าเล่า?”
ในสายจาของจางชิง ในเมื่อมันเกริ่นขึ้นมาซะขนาดนี้แล้ว หวางเฟยเซวียนย่อมตกลงเข้าร่วมกับวังปฐพีของมันแน่นอน
อย่างไรก็ตามทันทีที่มันกล่าวจบคำ จ้างวังลี้ลับเถียนจี้พลันกล่าวด้วยเจตนาหมายชิงคนออกมา ก่อนที่หวางเฟยเซวียนจะทันได้พูดอะไร “สาวน้อย หากจะกล่าวกันถึงเรื่องสายสัมพันธ์กับปู่ของเจ้า จางชิงคงยากจะเทียบกับข้าได้…ข้าเชื่อว่าปู่ของเจ้าต้องมักกล่าวถึงข้าบ่อยๆใช่หรือไม่?”
“รองจ้าววังเถียน ท่านปู่ของข้ามักกล่าวถึงท่านจริงๆ”
หวางเฟยเซวียนพยักหน้า
“ฮ่าๆๆๆ….”
หลังจากที่ได้ยินคำตอบนี้ของหวางเฟยเซวียน เถียนจี้พลันระเบิดเสียงหัวเราะร่าออกมา “เด็กดีเช่นนั้นเจ้าก็มาเข้าร่วมวังลี้ลับของข้าเถอะ…ด้วยพรสวรรค์ของเจ้ารวมทั้งสายสัมพันธ์ระหว่างข้ากับปู่เจ้า ข้าไม่มีทางดูแลเจ้าไม่ดี”
“เฒ่าเถียน! นี่เจ้ามันจะมากเกินไปแล้ว!”
จางชิงขมวดคิ้ว
ในแง่สายสัมพันธ์ของมันกับปู่ของหวางเฟยเซวียนนับว่าด้อยกว่าเถียนจี้จริงๆ เพราะอีกฝ่ายนั้นเรียกว่าเป็นสหายกัน ส่วนมันเพียงเคยเจอปู่ของหวางเฟยเซวียนด้วยหน้าที่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น…มันไม่มีข้อได้เปรียบเลย
“ฮี่ๆ”
เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของจางชิง ไม่เพียงแต่เถียนจี้จะไม่สลด กลับจงใจหัวเราะออกมาด้วยเสียงระคายหู เย้ยเยาะไปอีก…
ทว่ายิ้มเย้ยบนใบหน้าของมันจำต้องชะงักค้างลงแทบจะทันที
นั่นเพราะเสียงของหวางเฟยเซวียนพลันดังขึ้นให้ได้ยิน “รางจ้าววังเถียน ความจริงด้วยมิตรภาพระหว่างท่านกับท่านปู่ ข้าจึงคิดจะเข้าร่วมวังลี้ลับ…อย่างไรก็ตามตอนนี้ข้าได้ตัดสินใจเลือกแล้ว และนั่นมิใช่วังลี้ลับ”
มิใช่วังลี้ลับ…
4 คำนี้พอดังเข้าหูของเถียนจี้ ยังประหนึ่งอัสนีบาตยามแล้ง ไม่มีการตั้งเค้ามาก่อน!!
“ฮ่าๆๆๆ”
เมื่อเห็นเถียนจี้ถูกปฏิเสธตรงๆ จางชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความถูกใจ “เฒ่าเถียนเจ้าอย่าได้ร้องไห้เล่า…สาวน้อยนางนี้รู้ว่าอันใดดีต่อตัว นางจึงไม่อยากเข้าวังลี้ลับของเจ้า แต่ชมชอบวังปฐพีของข้า…สาวน้อยเจ้านับว่าเลือกได้ประเสริฐนัก!!”
“ฮึ่ม!!”
เถียนจี้แค่นคำออกมาเสียงเย็นด้วยความขุ่นขึ้งใจ วาจาของจางชิงมันปวดแสบนัก ไม่ต่างอันใดกับราดเกลือลงแผลสดแม้แต่น้อย
“รองจ้าววังจาง ท่านเองก็เข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้คิดเข้าร่วมวังปฐพีของท่าน…ข้าอยากเข้าร่วมวังนภา”
วาจาท้ายประโยค หวางเฟยเซวียนยังจงใจหันมองไปยังต้วนหลิงเทียน นั่นทำให้เขารู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
‘เอ่อ…ท่านย่าน้อยดุร้ายนี่คงไม่ได้เลือกวังนภาเพราะข้าหรอกนะ?’
ไม่น่าแปลกใจที่ต้วนหลิงเทียนจะสงสัยในเรื่องนี้ เพราะหวางเฟยเซวียนจ้องเขาไม่วางตาพักใหญ่ กระทั่งตอนพูดว่าตัดสินใจเลือกแล้ว ยังจงใจหันมองมาทางเขาอีก….
ต้องทราบด้วยว่าเมื่อครู่นางกำลังตอบคำกับรองจ้าววังอยู่ แต่นางไม่แม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่าย..เลือกจะหันมามองเขาเฉย!
“ฮ่าๆๆๆ จางชิง สาวน้อยนั่นดูท่ามิได้คิดจะเข้าร่วมกับวังปฐพีของเจ้านี่นา ไฉนก่อนหน้าเจ้าถึงหัวเราะยินดีเช่นนั้นเล่า? ฮัยยา! อยู่กันมาตั้งนานไฉนข้ามิเคยรู้กันว่าหนังหน้าเจ้าหนาเช่นนี้เล่า?!”
คราวนี้ถึงทีเถียนจี้หัวเราะเยาะจางชิงอย่างสะใจบ้าง
ด้านจางชิงนั้นตอนแรกมันเห็นหวางเฟยเซวียนปฏิเสธเถียนจี้ มันก็หลงคิดไปว่าอีกฝ่ายสนใจวังปฐพีของมัน แต่ใครจะไปรู้ว่ามันโชคร้ายเข้าใจผิดไปเอง?
“วังนภายินดีต้อนรับเจ้า”
เมื่อเห็นว่าหวางเฟยเซวียนคิดเข้าร่วมกับวังนภาโดยที่ไม่ต้องกล่าวชวนให้เสียเวลา รองจ้าววังนภาก็รู้สึกพึงพอใจถึงขั้นยิ้มแย้มแจ่มใสออกมาทันที ขณะเดียวกันมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนอย่างสนใจ เพราะมันเองก็รู้สึกได้ว่าที่หวางเฟยเซวียนเข้าร่วมวังนภา เพราะสนใจอัจฉริยะขอบเขตเซียนนามหลิงเทียนคนนี้
มันเองก็เคยได้ยินเรื่องราวของหวางเฟยเซวียนมากบ้าง มันยังรู้ว่านางบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้นแล้ว แถมอายุนางก็ยังไม่เท่าไหร่ทว่าเจียนบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเต็มที!
พรสวรรค์ระดับนี้ เกรงว่าแม้จะเป็นในวังนภาเอง แต่ก็สูงพอจะติด 1 ใน 10 อันดับแรก
‘หลิงเทียนสมควรแข็งแกร่งกว่าหวางเฟยเซวียน…ด่านพลังของเจาหนุ่มผู้นี้สมควรบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ! ยอดฝีมือเซียนขัดเกลาที่อายุยังไม่ถึง 40 ปีหรือ…กระทั่งในตำหนักฟ้าลี้ลับของเรายังมีมิเกิน 3 คน มันจักกลายเป็นคนที่ 4!’
รองจ้าววังนภาครุ่นคิดในใจอย่างยินดีขณะมองต้วนหลิงเทียน
รองจ้าววังจางชิงที่แลดูซึมไปถนัดตาหันไปให้ความสนใจกับผู้ฝึกตนพเนจรที่ยืนหยัดอยู่ได้จนถึง 3 คนสุดท้าย ก่อนที่จะกล่าวถามออกมา “เจ้าคงมิได้คิดจะเข้าร่วมวังนภาเช่นกันหรอกนะ?”
“วังนภานั้นยอดเยี่ยมขอรับ…แต่ข้าคิดว่าวังปฐพีของท่านเหมาะสมกับข้ามากกว่า…แหะๆ”
ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนพนจรคนนี้จะแลดูหน้าตาธรรมดา แต่ยามอีกฝ่ายหัวเราะออกมาด้วยท่าทางแลดูเขินอายนั้น กลับให้ความรู้สึกสบายตาน่าดูชม พาลให้คนอื่นพลอยมีความสุขทั้งอมยิ้มไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก
ในความคิดของมัน ด้วยพรสวรรค์ของมันที่แม้จะยอดเยี่ยม แต่หากเข้าร่วมวังนภาที่มีหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนอยู่ล่ะก็…น่ากลัวว่าคงไม่ได้รับทรัพยากรและการสนับสนุนที่ดีเท่า 2 คนนั่น!
มันเข้าคำ ‘ยอมเป็นหัวไก่ ดีกว่าหางหงส์’ กระจ่างชัด!
“ฮ่าๆๆๆ…ประเสริฐ! ประเสริฐนัก!! วังปฐพียินดีต้อนรับเจ้า!!”
จางชิงที่หดหู่ใจพอได้ยินคำนี้ มันก็หัวเราะร่าขึ้นมาทันใด ขณะเดียวกันมันก็หันไปยักคิ้วหลิ่วตากับเถียนจี้หมายเย้ยเยาะอีกฝ่าย ด้านเถียนจี้ก็ได้แต่มองด้วยสายตาอิจฉาและไม่อาจตอบโต้อะไรได้
ต่างจากต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนและผู้ฝึกตนพเนจร อัจฉริยะที่เหลืออีก 34 คนที่บรรลุเซียนก่อนอายุ 40 นั้น…ไม่มีใครชิงตัวอะไรกัน ทั้งหมดผลัดกันเลือกไปจนได้ครบคนตามที่ต้องการ
‘หืม?’
ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างข้างๆหวางเฟยเซวียน พลันสังเกตเห็นว่าในบรรดากลุ่มคนทั้ง 10 ของวังนภาโดยนับรวมตัวเขานั้น มี 2 คนที่เขาคุ้นหน้าตาอีกฝ่าย
หนึ่งในนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหลิวเจี้ยน หลานชายของ หลิวหงกวง อาวุโสลำดับ 2 คฤหาสน์คลื่นคลั่ง!
ส่วนอีกคนเป็นอัจฉริยะหนุ่มที่มาพร้อมกับเริ่นจง รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า
‘หากมีโอกาสข้าจะช่วยเหลือ 2 คนนี้ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ข้าติดข้างรองผู้นำเริ่น กับอาวุโสหลิวก็แล้วกัน…’
ต้วนหลิงเทียนรอบกล่าว
ครั้งสุดท้ายที่เขาหนีหายไปดั่งนกหลุดกรง ปล่อยให้ทั้ง 2 คนรอเก้อ กระทั่งสารสักฉบับยังไม่ทิ้งไว้ให้ ก็ทำให้เขารู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง…
เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องที่มันเป็นหน้าที่หรือสิ่งที่ทั้งคู่ต้องทำ อย่างไรเสียทั้งคู่ก็พยายามดูแลเขา…กระทั่งให้ความช่วยเหลือเรื่องที่เขาขอจากไปก่อนในการประลองยอดนักรบ จวบจนกระทั่งรั้งตัวคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไว้อย่างดี ทำให้เขารู้สึกผิดที่จากมาแบบนั้น
“ศิษย์ของแต่ละวังให้ติดตามรองจ้าววังของพวกเจ้าไป…ส่วนสำหรับผู้ที่มาเข้าร่วมมิว่าจะดูชมหรือส่งญาติสนิทมิตรสหายอันใด ขอให้เร่งออกจากพื้นที่ของตำหนักฟ้าลี้ลับภายใน 1 เค่อด้วย…นี่เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายโดยมิจำเป็น เพราะหากหน่วยลาดตระเวณพบเจอพวกเจ้าหลังจากที่ผ่านไป 1 เค่อ พวกเจ้าต้องแบกรับผลด้วยตัวเอง…”
รองจ้าววังนภามองไปยังผู้คนที่ยืนอยู่บนพื้นค่อยกล่าวออกเสียงเรียบ
เหล่ากลุ่มคนที่อยู่บนพื้นบ้างก็เป็นผู้อาวุโสที่มาส่งศิษย์ บ้างก็มาส่งญาติสนิทมิตรสหาย บ้างก็แค่มาดูเฉยๆ ตอนแรกทั้งหมดคิดเก็บเกี่ยวบรรยากาศอีกสักพัก เพราะพื้นที่แถวนี้ยากจะเข้ามาได้ง่ายๆ แต่พอได้ยินวาจาประโยคนี้ของรองจ้าววังนภา ก็จำต้องเร่งรีบแยกย้ายออกจากพื้นที่กันทันที!
“นี่ๆ…เจ้าที่เรียกว่าหลิงเทียนน่ะ เจ้าเป็นผู้ฝึกตนพเนจรด้วยงั้นหรือ? ไฉนข้ามิเห็นสหายหรือครอบครัวเจ้ามาส่งเลยเล่า?”
ทันใดนั้นมีเสียงเล็กๆหากแต่นุ่มนวลดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ทันที
“อืม”
เมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นเสียงของหวางเฟยเซวียน เขาก็พยักหน้าตอบคำนางไปส่งๆ
“ฮัยยา ผู้ฝึกตนพเนจรเช่นพวกเจ้าเดี๋ยวนี้ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่ง! ลี่เฟิงก็คนนึงแล้ว มาตอนนี้ยังมีเจ้าอีกคน ช่างน่ากลัวนัก! ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าผู้ฝึกตนพเนจรเช่นพวกเจ้าฝึกฝนบ่มเพาะอย่างไรกันแน่ ทั้งๆที่ไร้ทรัพยากรคอยสนับสนุน แต่พลังฝึกปรือกลับก้าวมาถึงจุดนี้ได้…”
หวางเฟยเซวียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ลี่เฟิง!
ทันทีที่ได้ยินคำนี้จากหวางเฟยเซวียน มุมปากของต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกระตุกไปวูบหนึ่ง
“อันใด? เจ้ามิรู้จักลี่เฟิงงั้นหรือ?”
หวางเฟยเซวียนเอียงคอกล่าวถาม
“ข้าย่อมรู้จัก เพราะกล่าวไปเขาก็นับเป็นสหายคนหนึ่งของข้า…”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบ
“อะไรนะ?!”
ได้ยินคำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียน สองตาของหวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะเบิกกว้างขึ้นมา ความประหลาดใจยังเผยให้เห็นชัดบนหน้างามน้อยๆ “เจ้า…เจ้าบอกว่าลี่เฟิงเป็นสหายของเจ้างั้นเหรอ?”
“ใช่ ทำไมหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า มุมปากยังค่อยๆยกยิ้มขึ้นบางๆ
“สหายของลี่เฟิง?”
ถึงแม้ว่าเสียงของต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่หลายคนรอบๆก็ได้ยินคำพูดของเขาชัดเจนดี ทุกสายตาของพวกมันพลันหันมาตกที่ร่างของต้วนหลิงเทียนทันที!