WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1726
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1726
ตอนที่ 1,726 : ชายชราแขนเดียว!
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหวังพีทำให้หวางเฟยเซวียนไม่พอใจนัก
อย่างไรก็ตามแม้นางจะไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงกิริยาท่าทางอะไร
หวังพีคนนี้จะอย่างไรก็คือศิษย์ของรองจ้าววังนภา ส่วนนางก็แค่หลานของผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราช แม้จะไปวัดฐานะกันยามอยู่ในโลกภายนอก…นางด้อยกว่าหวังพีอย่างมาก!
ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือวังนภา นางย่อมไม่อยากล่วงเกินหวังพีโดยไม่จำเป็น!
“ข้าจะไปดูด้วย”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะจากไปกับหวังพี หวางเฟยเซวียนพลันเหินร่างไล่ตามไป แน่นอนว่าไปบินอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน
แถมต้วนหลิงเทียนยังสัมผัสได้ว่า…หวางเฟยเซวียนเอาแต่จ้องเขาตาเขม็ง!
“ศิษย์น้องหลิงเทียนแม่นางหวังดูคล้ายจะสนเจ้ายิ่ง…เช่นนั้นใยเจ้าไม่รวบนางเสียเลยเล่า จะได้เป็นว่าที่คุณชายของคฤหาสน์ดาบทรราช”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน
“ศิษย์พี่หวังอย่าได้ล้อข้าเล่นเลย ข้ามีคู่หมั้นอยู่แล้วถึง 2 คน กระทั่งยังมีสตรีคนรักอีกคน”
แม้จะรู้ดีว่าหวังพีกำลังล้อเขาเล่น แต่ต้วนหลิงเทียนก็เร่งอธิบายออกไปทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดโง่ๆ
“ก็แค่สตรี 3 คน…ด้วยความสามารถของเจ้า อนาคตย่อมไร้ขีดจำกัด! ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่สตรี 3 คนให้เป็น 30 คนก็มินับว่ามากมายอันใด โลกนี้ที่ยึดถึงพลังฝีมือเป็นที่สุด บุรุษที่ทรงพลังอำนาจย่อมสามารถมีสตรีได้ตามความพอใจ!”
หวังพีร่ายมาต่อเนื่อง
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินก็รู้สึกพูดไม่ออก ไฉนเขาถึงรู้สึกว่าหวังพีนี้คุยยากยิ่งกว่าหวางเฟยเซวียนเสียได้?
ไม่นานภายใต้การนำของหวังพี ต้วนหลิงเทียน กับหวางเฟยเซวียน ก็มาถึงช่องเขาแห่งหนึ่งที่อยู่บนยอดเขาสูง ยามมองไปแลเห็นฟ้าเป็นเส้น สามารถเดินเข้าไปได้ทีละคนเท่านั้น
(ฟ้าเป็นเส้น, ลองเอาคำ 一线天 ไปเซิจดู อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน)
หลังจากเดินผ่านช่องเขาแคบเข้ามาได้สักพัก เบื้องหน้าสายตาก็เริ่มเห็นแต่สีเขียว
ภายในหุบเขาแห่งนี้นับว่าเต็มไปด้วยต้นหญ้าทั้งพืชไม้นานาพรรณ ให้ความรู้สึกสงบเงียบ
เลยออกไป คล้ายทั้งหุบเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอก หมอกดังกล่าวบดบังทัศนวิสัยไปหมดสิ้น ยากจะมองเห็นว่ามีสิ่งใดอยู่ด้านหลัง…
‘ค่ายกลงั้นเหรอ?’
ทันทีที่เห็นหมอกดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าหมอกเบื้องหน้าเป็นผลของค่ายกล และเบื้องหน้าม่านหมอกก็มีชายชราผู้หนึ่งยืนเฝ้าอยู่
ใบหน้าของชายชราผู้นี้เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา คล้ายมากไปด้วยประสบการณ์ เส้นผมขนคิ้วขาวโพลน กลมกลืนไปกับชุดสีเทาอย่างลงตัว แขนข้างหนึ่งขาดหาย ทว่าเพียงยืนอยู่เฉยๆ พลังสภาวะกลับแข็งกล้าไม่คล้ายคนพิการ!
เพียงมองปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าชายชราแขนเดียวผู้นี้ไม่ธรรมดา!
“อาวุโส”
หวังพีพาทั้ง 2 ไปหยุดลงเบื้องหน้าชายชรา ก่อนที่จะโค้งคำนับด้วยความเคารพ ในแววตายังเต็มไปด้วยความนับถือ
“อาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนเองก็เร่งโค้งคารวะทักทายเช่นกัน
“อืม”
ชายชราแขนเดียวพยักหน้ารับอย่างเฉยเมย แต่ต้นจนจบใบหน้ายังสงบไร้อารมณ์
หลังจากขานรับคำทักทาย มันก็หันมองไปยังหวังพีค่อยถามออกมา “ไฉนเป็นเจ้ามาด้วยตัวเองได้? อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเสี่ยวเซียวได้รับยอดฝีมืออัจฉริยะขอบเขตเซียนมา และตัดสินใจมอบสิทธิ์เข้าสระวิญญาณให้…ถึงต้องให้เจ้ามาส่งด้วยตัวเอง?”
“อาวุโสเฉียบแหลมนัก”
หวังพีพยักหน้ารับก่อนที่จะมองไปยังต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆ “นี่คือศิษย์น้องหลิงเทียน นอกจากนี้ยังเป็นอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจที่สุดในตอนนี้…อายุยังไม่ทัน 40 ปีแต่บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้ว!”
อายุไม่ถึง 40 บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!
ต้องกล่าวเลยว่าวาจานี้ของหวังพี กระทบใจชายชราแขนเดียวไม่น้อย!
เพราะอย่างน้อยๆสีหน้าสงบไร้อารมณ์ของชายชราแขนเดียวก็ถึงกับเปลี่ยนไป คิ้วโค้งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ยังหันมาจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง
แววตานั้นไม่ขาดประกายแม้แต่น้อย ยามมองจ้องต้วนหลิงเทียน ยังเพ่งเสียจนจะมองให้ทะลุทุกสิ่งปานกำลังชมดูสมบัติล้ำค่า!
ทว่าความสนใจของต้วนหลิงเทียนกลับไม่ได้อยู่ที่เรื่องพวกนี้เลย
ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียน หยางเฟยเซวียนก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เช่นกัน
เสี่ยวเซียว?
ทั้งคู่ได้ยินวาจาที่ชายชราแขนเดียวกล่าวออกก่อนหน้านี้ชัดเจน…อีกฝ่ายกลับเรียกรองจ้าววังนภาอย่างเซียวยี่ว่าเสี่ยวเซียว
นี่เป็นการเรียกหาของอาวุโสที่มีต่อชนรุ่นหลังชัดๆ!
อย่างไรก็ตามหวังพีที่เป็นศิษย์ของเซียวยี่ กลับไม่ถือสาอะไรที่ชายชราเรียกอาจารย์ของมันราวกับเรียกหาเด็กน้อยเช่นนั้น…
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนกับหยางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะหันมาสบตากันด้วยสงสัย
“อาวุโสผู้นี้…หรือจะเป็นผู้อาวุโสเก่าแก่ขอวังนภา?”
หวางเฟยเซวียนส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดไปถามต้วนหลิงเทียน
“สมควรเป็นเช่นนั้น”
ต้วนหลิงเทียนไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร เขาจึงหันไปส่งเสียงถามหวังพีดู และหวังพีก็ตอบเขากลับมาแทบจะทันที “ใช่…ท่านอาวุโสคืออดีตรองจ้าววังนภา! ในแง่ของลำดับอาวุโสแล้วท่านอาวุโสเป็นถึงอาจารย์ลุงของอาจารย์ข้า…! นานมาแล้วอาวุโสได้ประสบเคราะห์ด้านนอกจนต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง ทำให้พลังฝีมือถดถอย เลยล้มเลิกความคิดติดตามท่านบรรพบุรุษรวมถึงอาวุโสคนอื่นๆขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน…”
“ตอนแรกข้าเองก็คิดเรียกหาท่านอาวุโสว่าอาจารย์ปู่ ทว่าท่านมิอยากให้ฐานะของตัวเองแพร่งพรายออกไปข้าจึงต้องเรียกหาท่านว่าอาวุโสธรรมดาๆ และเพราะเรื่องนี้ศิษย์วังนภากว่า 9 ส่วนก็เลยมิได้ล่วงรู้ความเป็นมาของท่าน…”
หลังได้ยินคำของหวังพี ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขาคาดถูก
ในขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็มองไปยังแขนข้างที่ขาดของชายชราโดยไม่รู้ตัว
จากที่เขารับทราบมา กระทั่งโอสถเซียนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังไม่อาจงอกเงยอวัยวะที่ขาดหายได้…
สิ่งที่เขารู้ว่าสามารถงอกเงยอวัยวะได้มีเพียง ‘ใบจิตอมตะ’ ในตำนานที่เขาเคยได้รับมาในอดีต และได้ใช้ไปหมดแล้ว
“อาวุโส”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันเห็นว่าหวังพีหยิบป้ายที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียวแก่ชายชรา บนป้ายยังมีคำว่า วิญญาณ สลักเอาไว้
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่าพอชายชรารับป้ายไปแล้ว อีกฝ่ายก็หันมามองเขาพร้อมกล่าว “เจ้าเข้าไปได้”
ในขณะที่กล่าวชายชราก็เหลือบไปมองหมอกด้านหลัง
จนเมื่อกล่าวจบคำไปพักหนึ่ง หมอกด้านหลังพลันปั่นป่วนขึ้นมา ก่อนที่มันจะค่อยๆหมุนม้วนเป็นวังวน ใจกลางวังวนเผยให้เห็นช่องทางดั่งประตู!
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ว่าเป็นชายชราจ่ายพลังเปิดทางเข้าค่ายกล
“ศิษย์น้องหลิงเทียน เชิญเจ้าเข้าไปดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินให้เต็มที่ ดูดซับหมดสิ้นแล้วค่อยออกมาเล่าอย่าได้รีบร้อน…”
หวังพีมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนพร้อมหัวเราะ
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะหันไปพยักหน้าให้หวางเฟยเซวียนรอบหนึ่ง ค่อยเดินเข้าไปในวังวนหมอกมหึมาเบื้องหน้า
เมื่อก้าวเข้าไปในวังวนหมอกดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีพลังดูดรั้งขุมหนึ่งดูดร่างเขา
หลังจากที่ถูกพลังดังกล่าวดูดร่าง ภาพเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นสีดำก่อนที่จะสว่างขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ภาพเรื่องราวเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปราวคนละโลก มันช่างงดงามเหลือเกิน
แน่นอนว่าไม่ใช่ภาพวาด แต่เป็นสถานที่จริงๆ
ภาพเบื้องหน้าสมควรเป็นมุมหนึ่งในหุบเขาแห่งนี้ มองไปรอบๆมีค่ายกลปกคลุมเอาไว้ ในบรรยากาศเต็มไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินอันหนาแน่น…
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ได้รีบดูดซับบ่มเพาะพลัง
ในเมื่อมันถูกเรียกว่าสระวิญญาณ…เช่นนั้นคงไม่ใช่สภานที่ๆมีแค่พลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นแบบนี้อย่างเดียว! เพราะแม้พลังวิญญาณฟ้าดินแถวนี้จะหนาแน่น แต่ก็เพียงเทียบได้กับชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเท่านั้น สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว นี่ไม่ได้มีอำนาจดึงดูดใจเขาสักเท่าไหร่
หลังจากเดินหน้าฝ่าพลังวิญญาณฟ้าดินที่หนาแน่นไปอีกสักพัก เขาก็แลเห็นสระที่กว้างปานทะเลสาบย่อมๆแห่งหนึ่ง
หากแต่น้ำในทะเลสาบดังกล่าวกลับไม่ใช่น้ำธรรมดา มันมีสีขุ่นจนคล้ายกับน้ำนม…เป็นพลังวิญญาณฟ้าดินอันหนาแน่นที่ควบรวมจับตัวจนกลายเป็นของเหลว!
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เรียกว่าสระวิญญาณ…พลังวิญญาณฟ้าดินควบแน่นจนกลายเป็นของเหลวแบบนี้…”
เมื่อเห็นทะเลสาบเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ล่วงรู้ที่มาของคำ สระวิญญาณ ทันที
ถึงแม้ว่าทะเลสาบแห่งนี้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่พลังวิญญาณฟ้าดินเหลวในนั้นก็มีมหาศาลนัก มากพอให้ต้วนหลิงเทียนตกตะลึง!
“ด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการบ่มเพาะแบบนี้ ถ้าข้ายังทะลวงไปให้ถึงด่านเซียนขัดเกลาขั้นต้นไม่ได้อีก ข้าเอาหัวไปโขกเต้าหู้ให้ตายดีกว่า…”
หากจะกล่าวว่าก่อนหน้าที่จะเข้าสระวิญญาณมา ต้วนหลิงเทียนยังไม่มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะทะลวงถึงด่านเซียนขัดเกลาล่ะก็…
มาตอนนี้พอได้เห็นสระวิญญาณเบื้องหน้า เขาบังเกิดความมั่นใจเต็มสิบส่วน! ว่าสามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้นได้แน่ๆ หากดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวมหาศาลในสะวิญญาณนี่หมด!!
“ทันทีที่ข้าบรรลุถึงเซียนขัดเกลา พลังของข้าสมควรยกระดับขึ้นมาก ถึงตอนนั้นข้าสมควรแข็งแกร่งกว่าพวกอัจฉริยะจากภูมิภาคเบื้องบนด้วยซ้ำ!”
ต้วนหลิงเทียนรู้ถึงความวิเศษของปราณสุริยันแรกกำเนิดดี ด้วยใช้ปราณสุริยันแรกกำเนิดผสานไปกับพลังดิบเถื่อนของร่างกาย ไม่ยากอะไรที่เขาจะจัดการผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนทั่วๆไป หลังเขาบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้น
ยิ่งไปกว่านั้นทันทีที่เขาบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้น หากเขาใช้พลังอำนาจของกระบี่นิลสวรรค์ด้วยพลังทั้งหมด กระทั่งอริยะเซียนขั้นสูงสุดก็ไม่มีทางทานรับได้!
ซูด!
สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนพลันสะกดความตื่นเต้นในใจลงได้ ร่างเหินไปยังสระวิญญาณทันที
ตุ๋ม!
ต้วนหลิงเทียนที่กระโจนลงสระวิญญาณ ก็ประหนึ่งหินร่วงลงสระ ทำลายความสงบในทะเลสาบย่อมๆแห่งนี้จนหมดสิ้น
อย่างไรก็ตามไม่นานสระวิญญาณก็หวนคืนสู่ความสงบ…
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้เคลื่อนไปยังใจกลางสระวิญญาณ กระทั่งมุดน้ำลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใต้ ดูดซับพลังวิญญาณเหลวเข้าร่างอย่างตะกละตะกลามด้วยเคล็ดวิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม
มังกรพลังทั้ง 9 ตัวในชีพจรเซียน พากันชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินไปโคจรแปรเปลี่ยนเป็นปราณสุริยันแรกกำเนิดด้วยความเร็วสูงรอบแล้วรอบเล่า!
การบ่มเพาะพลังในสระวิญญาณแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกเสมือนทั้งร่างถูกบางสิ่งห่อหุ้มเอาไว้…แถมมันความรู้สึกราวกับย้อนกลับไปอยู่ในครรภ์ของมารดา!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนดูดซับพลังวิญญาณในสระวิญญาณเพื่อบ่มเพาะพลัง หวังพีก็พาหวางเฟยเซวียนออกจากหุบเขาที่ตั้งของสระวิญญาณ
สระวิญญาณนั้นเปิดออกทุกๆ 6 เดือน และเข้าไปได้ทีละคนเท่านั้น…
“ศิษย์พี่หวังพี ข้าจะมีโอกาสได้เข้าสระวิญญาณของวังนภาอีกหรือไม่?”
หลังออกมาจากหุบเขา หวางเฟยเซวียนก็เร่งถามหวังพีออกมาทันที เห็นชัดว่าเรื่องนี้สำคัญกับนางมาก
สระวิญญาณ!
นอกจากแดนลับเซียนที่จะเปิดขึ้นในอีก 2 เดือนหลังจากนี้ อีกเหตุผลหนึ่งที่นางเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับก็เป็นเพราะต้องการเข้าสระวิญญาณ…
บางทีนางก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ว่าไฉนถึงได้เลือกเข้าร่วมกับวังนภาแห่งนี้…
บางทีหากนางไปเข้าร่วมกับวังอื่นในอีก 3 วังที่เหลือ ป่านนี้นางอาจจะกำลังบ่มเพาะพลังอยู่ในสระวิญญาณไปแล้วก็เป็นได้! และด้วยความช่วยเหลือของสระวิญญาณ นางย่อมสามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้แน่!!
ตอนนี้นางไม่ได้เข้าสระวิญญาณแล้ว คิดทะลวงให้บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…แม้จะยังพอมีหวังแต่ก็ช่างน้อยนิดนัก!
“ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า ว่าจะต่อสู้แย่งชิงสิทธิ์ได้หรือไม่”
หวังพีกล่าวตอบ