WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1740
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1740
ตอนที่ 1,740 : พี่น้องสกุลลั่ว
3 วันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนี้อีก 10 วันก็จะเป็นวันที่แดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับเปิดออกแล้ว และมีเพียง 30 คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสัมผัสประสบการณ์ด้านใน ฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง
แน่นอนว่าคงไม่อาจใช้คำฝึกฝนขัดเกลาได้เต็มปาก ต้องใช้คำว่า ‘หาสมบัติ’ จะประเสริฐกว่า…
มีสิ่งของอันดีซุกซ่อนอยู่ในแดนลับเซียนมากมายนัก และสิ่งที่มีค่ามากที่สุดก็ไม่ใช่ใดอื่นนอกจากมรดกเวทย์พลังระดับสูง มรดกเวทย์พลังเหล่านั้นล้วนเป็นยอดคนรุ่นก่อนเหลือทิ้งเอาไว้ทั้งสิ้น!
ในบรรดายอดคนเหล่านั้น มียอดคนของตำหนักฟ้าลี้ลับแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เพราะตำหนักฟ้าลี้ลับก็พึ่งจะยกระดับมาเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ได้ไม่นาน และมาสานต่อสถานที่แห่งนี้เท่านั้น
ตำหนักฟ้าลี้ลับใช้เวลาและทุ่มกำลังตระเวนหาอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยกว่า 40 ปีไปไม่น้อย ด้วยหวังว่าจะพบพานอัจฉริยะมือดี…
หากมีผู้ที่ได้รับมรดกเวทย์พลังออกจากแดนลับเซียนมา หลังบรรลุเซียนมนุษย์แล้วสามารถเพาะสร้างเวทย์พลังที่สืบทอดมาได้ นั่นย่อมหมายความว่าสามารถถ่ายทอดเวทย์พลังให้ตำหนักฟ้าลี้ลับได้เช่นกัน ซึ่งนั่นจะเป็นอะไรที่มีค่าอย่างถึงที่สุด!
ในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ออกจากแดนลับเซียนมาพร้อมมรดกเวทย์พลัง และสามารถบรรลุถึงเซียนมนุษย์ ก่อนจะเพาะสร้างต้นแบบเวทย์ได้สำเร็จ…
ทำให้จำนวนเวทย์พลังที่ตำหนักฟ้าลี้ลับได้รับนับว่าน้อยนิดนัก
ในเมื่ออีก 10 วันหลังจากนี้แดนลับเซียนจะเปิดให้ผู้คนเข้าร่วมได้เพียง 30 คน เช่นนั้นวันนี้จึงต้องมีการคัดเลือกผู้ที่จะมีสิทธิ์เข้าไปเสียก่อน!
ใน 30 สิทธิ์เข้าแดนลับเซียน 10 สิทธิ์นั้นเป็นของวังนภา!
ส่วนอีก 20 สิทธิ์ที่เหลือ 3 วังต้องไปแบ่งกันเอาเอง!
อย่างไรก็ตามแม้วังนภาจะได้รับสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมากที่สุดถึง 10 สิทธิ์ ทว่าอัจฉริยะของวังนภาหลายต่อหลายคนไม่ได้มีความสุขกันเลย…
หากเลือกได้ พวกมันยังอยากไปอยู่อีก 3 วังที่เหลือมากกว่า!
เพราะอีก 3 วังนั้นแม้เฉลี่ยแล้วจะได้สิทธิ์น้อยกว่า 7 แต่จำนวนยอดฝีมืออัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์กลับน้อยกว่าวังนภามาก!!
วังนภาแม้จะได้รับสิทธิ์ถึง 10 แต่การแข็งขันช่างหนักหน่วงรุนแรงนัก!
ณ ยอดเขาอันเป็นที่ตั้งวังนภา ปรากฏลานศิลาแกร่งหนึ่งตั้งอยู่ คนของวังนภาทั้งหมดจะมารับการคัดเลือก 10 สิทธิ์ ณ ที่แห่งนี้
ดังนั้นทำให้มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่ลานศิลาแต่เช้า กระทั่งผู้คนของอีก 3 วังก็ยังมาร่วมชมด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ในแต่ละวังก็มีการแข่งขันชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน ทว่ารสชาติกลับไม่น่าสนใจเท่าการแข่งขันของวังนภา ทำให้ศิษย์มากมายของวังปฐพี วังลี้ลับ และวังเหลืองที่ไม่มีสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนแน่ๆแล้ว ล้วนมาร่วมชมการคัดเลือกของวังนภาทั้งสิ้น!
“สิทธิ์ที่มอบให้วังนภาของพวกเรา กล่าวไปแล้วยังนับว่าน้อยเกินไป…”
ศิษย์วังนภาคนหนึ่งกล่าวออกมาสองตาละห้อย เสียงยังอ่อนพิกล
“ก็นั่นน่ะสิ…ถึงพวกเราจะได้สิทธิ์มากกว่าอีก 3 วังถึง 3 สิทธิ์ ทว่าต่อให้เป็นศิษย์ที่อ่อนด้อยที่สุดที่ได้รับสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนของวังพวกเรา ก็น่ากลัวจะแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือที่ได้รับสิทธิ์ของอีก 3 วัง”
ศิษย์วังนภาอีกคนกล่าวออกอย่างเห็นด้วย
“จะให้ทำอย่างไรได้ ไม่ต้องกล่าวใดให้มาก เอาแค่เซียนขัดเกลาแต่ก่อนวังนภาเราก็มีถึง 4 คนเข้าไปแล้ว! สองเดือนที่แล้วยังรับศิษย์ใหม่เพิ่มมาอีก แถมไม่ว่าจะหลิงเทียนหรือหวางเฟยเซวียนก็ล้วนบรรลุเซียนขัดเกลาทั้งคู่! เช่นนั้นก็เท่ากับวังนภาพวกเรามีเซียนขัดเกลาที่อายุน้อยกว่า 40 ปีถึง 6 คน!”
“ทั้ง 6 คนนั่น วันนี้ย่อมได้รับสิทธ์แน่นอน…ทำให้การต่อสู้แข่งขันที่เหลือยิ่งหนักหน่วงรุนแรงขึ้นไปอีก ข้ากลัวว่าหากไม่บรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด คงยากจะได้รับสิทธิ์”
“การเฟ้นหาอัจฉริยะเวียนรุ่นเยาว์มาเข้าร่วมเช่นนี้ ทำให้พวกเราที่แต่เดิมมีหวังกดดันกันไม่น้อย ยกระดับบรรทัดฐานการแข่งขันไปอีกขั้นเลยจริงๆ”
“นั่นสิ ตอนแรกที่ข้าได้ยินว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเราจะเฟ้นหาอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยกว่า 40 ปี ข้าคิดว่าคงมีผู้มาสมัครรับการคัดเลือกไม่มาก ที่ไหนได้ไม่เพียงรับมาเป็นสิบ กระทั่งยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดในนั้นทั้ง 2 ยังอยู่วังนภาเรา”
“หวางเฟยเซวียนนั้นไม่ต้องกล่าวใดมาก ลำพังชื่อเสียงของนางในฐานะหลานสาวคนเดียวของผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราชก็โด่งดังเป็นทุน…แต่หลิงเทียนนี่สิ เป็นผู้ใดมากจากที่ไหนกันแน่ ยังร้ายกาจยิ่งกว่ารุ่นเยาว์อัจฉริยะของพวกเราเสียอีก”
“จริง! หลิงเทียนผู้นั้นถึงขั้นสู้เสมอกับกัวลู่ได้ เช่นนั้นหมายความว่าพลังฝีมือสมควรอยู่ช่วงปลายเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้ว…แถมตอนเข้าสระวิญญาณยังใช้เวลาแค่ 20 วันดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวจนหมด! พวกเจ้าว่าป่านนี้หลิงเทียนจะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วหรือยัง?”
“ยังไม่ชัดอีกเหรอ ข้าว่าทะลวงแล้ว!”
“ข้าก็คิดว่าทะลวงผ่านแล้ว”
……
ในลานศิลาอันเต็มไปด้วยเหล่าศิษย์ ก็เต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่ หัวข้อที่กล่าวถึงก็ไม่พ้นเรื่องหลิงเทียนกับแดนลับเซียน
ยังมีศิษย์กว่า 8 ส่วนของวังนภาที่คิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว!
ในบรรดากลุ่มคน ร่างกัวลู่ที่ยืนอยู่มุมหนึ่งพอได้ฟังเรื่องราวและบทสนทนาโดยรอบ มันอดไม่ได้ที่จะยืนยิ้มอยู่คนเดียว
มีเพียงมันเท่านั้นที่รู้ดี ว่าพลังฝีมือของศิษย์น้องหลิงเทียนผู้นั้น สมควรข้ามผ่านเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดไปแต่แรกแล้ว
มาเข้าไปใช้สระวิญญาณเช่นนี้ มันเชื่อว่าสมควรทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใกล้อริยะเซียนมากขึ้น กระทั่งอาจจะทะลวงอริยะเซียนไปก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้!!
แน่นอนว่าที่กัวลูคิดเช่นนี้ เพราะมันรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนที่มีเมตตาออมมือให้มันวันนั้น ร้ายกาจขนาดไหน
เช่นนั้นมันรู้สึกว่าพลังฝึกปรือของหลิงเทียนยามประลองกับมันก็สมควรบรรลุสูงสุดเซียนขัดเกลาแต่แรก เข้าสระวิญญาณไปแบบนี้ถึงไม่ทะลวงผ่าน ก็ต้องก้าวหน้าไปไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้มันจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันยามได้ฟังบทสนทนาที่ศิษย์วังนภาถกกัน
“กัวลู่ เจ้าคิดว่าหลิงเทียนอะไรนั่น มันจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วหรือยัง?”
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าข้างๆกัวลู่ยามนี้ปรากฏร่าง 2 ร่างมาหยุดยืนใกล้ๆ ทั้งคู่ล้วนเป็นชาย ทั้งยังหล่อเหลาไม่น้อย ที่สำคัญรูปร่างหน้าตาของพวกมันก็ละม้ายคล้ายกัน ต่างมาในชุดสีขาวบริสุทธิ์ แลดูสง่างามน่าเกรงขาม
ผู้ที่กล่าวถามออกมาเป็นชายหนุ่มผิวขาวที่ยืนอยู่ด้านซ้าย
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแยกความแตกต่างระหว่างทั้งสอง เพราะหนึ่งมีไฝแดงที่หว่างคิ้วส่วนอีกหนึ่งเป็นไฝสีดำที่หว่างคิ้วเช่นกัน
และคนที่กล่าวถามกัวลู่ คือคนที่มีไฝดำที่หว่างคิ้ว
“ข้าไม่รู้”
เห็นทั้งคู่ คิ้วกัวลู่ขมวดขึ้นมาทันที
ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ได้เป็นศัตรูอะไรกับมันมากมาย แต่ทั้งคู่ชมชอบอวดโอ่พลังฝีมือของตัว
หลังจากที่มันแพ้พ่ายทั้งคู่ ทั้งคู่ก็ชมชอบมาหาเรื่องประลองแล้วทุบตีเพื่อเอาชนะมันซ้ำๆ ราวกับสนุกสนานกับการทุบตีมันอยู่ร่ำไป
มีครั้งหนึ่งที่มันกระทั่งกล่าวคำยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว แต่อีกฝ่ายยังไม่หยุดมือแถมลงมือทำร้ายมันอย่างหนัก จนมันบาดเจ็บสาหัส นอนติดเตียงไปเป็นเดือน
ดังนั้นกัวลู่จึงไม่ค่อยชอบทั้งสองคน
ชายหนุ่มชุดขาวทั้งสองที่หน้าตาละม้ายคล้ายเหมือนกันนี้ ล้วนอยู่ในเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ และยังมีพลังฝีมือสูงส่งกว่ากัวลู่ …พวกมันเป็นฝาแฝด!
และพวกมันยังมีความสามารถพิเศษอีกอย่าง ยามที่พวกมันต่อสู้ร่วมมือกัน พวกมันสามารถใช้กระแสจิตสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ในเสี้ยวพริบตา รู้ใจกันหมดจดโดยไม่จำเป็นต้องกล่าวคำ! ทำให้การลงมือสอดประสานนับว่าลงตัวอย่างถึงขีดสุด ถึงขั้นมีพลังอำนาจทัดทานเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!!
ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงหยิ่งยะโสถือดี กร่างไม่น้อย
“กัวลู่ เจ้านี่มันน่าขายหน้าจริงๆ เจ้านั่นมันก็แค่หมาหลงจากบ้านนอก แต่เจ้ากลับทำได้แค่สู้เสมอกับมัน! น่าขายหน้ายิ่ง!!”
ชายหนุ่มชุดขาวหว่างคิ้วแต้มไว้ด้วยไฝดำกล่าวออกเสียงเย้ย มันเป็นแฝดคนน้องเรียกว่าลั่วเหอ
“เพราะเจ้าใช้การมิได้ทำได้แค่สู้เสมอกับเจ้านั่น ทำให้พวกเราทั้งคู่พลอยเสียชื่อไปด้วย เพราะผู้คนต่างพากันคิดว่าหลังออกจากสระวิญญาณ เจ้าหมาหลงนั่นสมควรเหนือกว่าพวกเรา”
ชายหนุ่มอีกคนในชุดขาวหากแต่มีไฝแดงแต้มกลางหว่างคิ้วนามว่า ลั่วชาน มองกล่าวัวกับกัวลู่ด้วยสีหน้าดูแคลน
“หากพวกเจ้าทั้งคู่อยากพิสูจน์ตัวเองล้างคำครหา ก็ไปขอท้าประลองฝีมือกับศิษย์น้องหลิงเทียนเองเถอะ พวกเจ้าจะมาตีโพยตีพายเป็นอิสตรีต่อหน้าข้าทำอะไร?”
กัวลู่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“กัวลู่ เจ้าเบื่อชีวิตแล้วหรือไร!?”
ลั่วเหอถึงกับหน้าเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดทันใด เมื่อได้ยินวาจาเสียดสีของกัวลู่ ปราณแรกกำเนิดยังพวยพุ่งออกมาท่วมร่าง ราวกับพร้อมจะลงมือเล่นงานกัวลู่ได้ทุกเวลา!
“แล้วที่ข้ากล่าวมีอะไรผิด?”
กัวลู่เย้ยไปอย่างไม่กลัว “ข้ายอมรับว่าข้าสู้พวกเจ้าสองคนไม่ได้ หากพวกเจ้าคิดสร้างภาพให้ตัวเองดูดีด้วยการเอาชนะข้าก็ตามใจพวกเจ้าเถอะ! แต่นั่นไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าพวกเจ้ามันแน่อะไรตรงไหน อย่างดีก็เป็นได้แค่อันธพาลร้านถิ่น ดีแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น พอวันไหนเจอผู้แข็งแกร่งจริงๆ พวกเจ้าก็กลายเป็นมุกสิกขลาดเขลา!”
วาจานี้ของกัวลู่ไม่ได้จงใจระงับเสียงแม้แต่น้อย มันดังพอให้ผู้คนแทบทั้งลานได้ยิน!
จังหวะนี้ศิษย์ทั้งหลายคล้ายหูผึ่งกันโดยอัตโนมัติหันขวับมามองกัวลู่กับพี่น้องสกุลลั่วทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เหอะ!”
เมื่อเห็นว่ากัวลู่เจตนาเรียกร้องความสนใจของผู้คนสีหน้าลั่วเหอกลายเป็นมืดดำปานน้ำหมึก! หากมันโจมตีตอนนี้ไม่ใช่พิสูจน์ว่ากัวลู่กล่าวถูกหรอกหรือ?!
เปลือกไม้สำคัญกับต้นไม้ฉันใด ใบหน้าก็สำคัญต่อผู้คนฉันนั้น ลั่วเหอไม่อาจลงมือให้เสียหน้าได้!
“กัวลู่ เช่นนั้นพวกเราพี่น้องจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ ว่าพวกเราทั้งคู่เหนือกว่าหลิงเทียนอันใดนั่น!”
ลั่วชานกล่าวออกเสียงเข้ม
“วาจาเขื่องโขผู้ใดก็พ่นได้! รอให้พวกเจ้าเอาชนะศิษย์น้องหลิงเทียนได้ก่อนค่อยคุยเถอะ!”
กัวลู่หัวเราะกล่าวออกทั้งกล่าวดังลั่น ทำให้สีหน้าทั้งคู่แย่ลงไปอีก
มาตอนนี้ศิษย์รอบๆที่หันมาสนใจเรื่องราวพอจับความได้คร่าวๆ เริ่มกล่าวซุบซิบกันทันที “พี่น้องสกุลลั่ว คิดประมือกับหลิงเทียนหรือ?”
“ฝาแฝดแซ่ลั่วทั้ง 2 มิว่าคนใดก็แข็งแกร่งเหนือกัวลั่ว…ทว่าตอนนี้หลิงเทียนมีแนวโน้มว่าจะบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว แฝดแซ่ลั่วไม่ว่าคนใดก็ยากจะเอาชัยหลิงเทียน”
“นั่นสิความต่างระหว่างเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดกับขั้นเชี่ยวชาญมิใช่เรื่องตลก…หากหลิงเทียนทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดจริง เว้นแต่แฝดแซ่ลั่วจะร่วมมือกัน หาไม่แล้วคงยากจะเอาชนะหลิงเทียนได้”
“พวกเจ้าพูดกันเหมือนด่านพลังทะลวงกันได้ง่ายๆ…ทั้งหมดก็แค่คาดเดาไปเท่านั้น บางทีหลิงเทียนอาจยังไม่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดก็ได้”
“หากยังไม่บรรลุจริงๆ ไม่ว่าใครในพี่น้องสกุลลั่วก็พอมีทางเอาชนะ”
……
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลย ว่าเขาถูก 2 ยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญของวังนภาเพ่งเล็งแล้ว
น่านฟ้าข้างยอดเขาสูงยามนี้ ปรากฏร่างต้วนหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนกำลังย่ำอากาศเหินขึ้นไปยังยอดเขาพร้อมๆกัน
“เจ้าไปชวนหลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟยเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามหวางเฟยเซวียน
“อื้ม”
หวางเฟยเซวียนพยักหน้า ทันใดนั้นคล้ายนางนึกอะไรได้ออก “ข้าได้ยินมาว่าการแข่งขันชิงสิทธิ์ของวังนภาครั้งนี้สมควรหนักหน่วงรุนแรงนัก หากพวกมันทั้งคู่ไม่ได้รับสิทธิ์…แล้วนี่เจ้าจะตอบแทนอาวุโสพวกมันได้อย่างไร?”