WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1750
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1750
ตอนที่ 1,750 : พวกเราเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน…
ถึงแม้ว่าการทดสอบโดยใช้พลังกดดันไร้สภาพนั้นจะเรียบง่ายไร้ลูกเล่น แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่ามันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างสูง และผลลัพธ์ก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ
เมื่อเห็นรองจ้าววังนภา เซียวยี่ ลอยร่างขึ้นไปเตรียมตัว ศิษย์วังนภาคนอื่นๆยกเว้นต้วนหลิงเทียนพลันชักสีหน้าเข้มขรึมจริงจัง ต่างโคจรเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดออกมาฉาบคลุมไปทั่วกาย เตรียมพร้อมต้านทานแรงกดดันที่จะมาถึง…
ไม่นานแรงกดดันก็กดทับลงมา!
ช่วงแรกๆแรงกดดันดังกล่าวยังไม่มากมายอะไร ทว่ายิ่งมาก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากแรงกดดันไร้สภาพค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นทีละนิด ศิษย์ที่มาชมดูเรื่องราวโดยรอบจึงแลเห็นได้ชัดเจนว่าผู้ใดที่หน้าเริ่มขึ้นสีก่อน และตอนนี้สีหน้าบางคนก็เริ่มแดงคล้ายถูกแรงกดดันเคี่ยวกรำอย่างหนัก!
หลังจากนั้นไม่นานผู้ที่หน้าแดงก่ำที่สุดก็ทานทนไม่ไหวสืบไป! ร่วงตกจากฟ้าลงมาหยุดหอบที่ลานศิลาเป็นคนแรก…!!
และมันก็เสียโอกาสเข้าแดนลับเซียนเป็นคนแรก..
ผ่านไปไม่ทันไร สุดท้ายก็มีผู้ที่ถูกกำจัดออกไปทั้งสิ้น 5 คนในระลอกแรก
การที่ 5 คนถูกกำจัดออกไปในเวลาอันสั้น ทำให้ศิษย์ที่ทานรับแรงกดดันอยู่ยิ่งรู้สึกกดดันเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะพวกที่ด่านพลังฝึกปรือยังไม่ถึงเซียนขัดเกลาอย่างหลิวเจี้ยนและเริ่นเฟย ตอนนี้พวกมันทุ่มเทสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการโคจรพลังต้านทานแรงกดดัน
สำหรับศิษย์วังนภาที่บรรลุเซียนขัดเกลาอย่างต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียน เกาเผิง จ้าวจี้ ทั้งหมดยังคงเหินลอยกลางหาวอย่างไร้เรื่องราว คล้ายไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันแม้แต่น้อย
ด่านพลังเซียนขัดเกลานับว่าต่างจากเซียนดั้งเดิมมากเกินไป ความแข็งแกร่งจึงห่างไกลกว่าที่ศิษย์ทั่วไปจะเทียบได้
สถานการณ์ย่อมตรงกันข้ามกับเซียนดั้งเดิมทั้งหลาย หลิวเจี้ยนและเริ่นเฟยตอนนี้หน้าพวกมันเริ่มแดง หน้าผากปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึม ร่างกายยังเริ่มสั่นระริก เห็นชัดว่ายากที่พวกมันจะทานทนอยู่ได้อีกนาน!
ตุบ!
ไม่นานศิษย์วังนภาอีกคนก็ไม่อาจทานทนรับไหวสืบไป ร่างมันร่วงตกจากฟ้าไปกองบนลานศิลา แน่นอนว่านี่หมายความว่าพวกมันสิ้นวาสนากับแดนลับเซียนแล้ว
“เจ้าเริ่นเฟยนั่น…”
ต้วนหลิงเทียนที่สบายๆกับแรงกดดัน จึงมีเวลาว่ายตามองเรื่องราวโดยรอบ สุดท้ายพอสายตาไปตกที่ร่างเริ่นเฟยเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เพราะเห็นว่าตอนนี้สภาพของเริ่นเฟยไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“เกรงว่ามันคงจะถูกคัดออกแล้วล่ะ”
ตอนนี้เองเสียงของหวางเฟยเซวียนพลันดังขึ้นในหูเขาพอดี นางเองก็เห็นถึงสถานการณ์ของเริ่นเฟยเช่นกัน “ความหวังดีของเจ้า ท่าทางมันจะไม่มีวาสนาได้รับ…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะหันไปมองที่หลิวเจี้ยนอย่างไม่รู้ตัว
เพราะสุดท้ายแล้วหลิวเจี้ยนก็บรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด เหนือกว่าเริ่นเฟยที่บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญขั้นนึงเต็มๆ อีกทั้งยังแลดูแข็งแกร่งกว่าศิษย์วังนภาคนอื่นๆที่อยู่ในด่านพลังเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเหมือนกัน
“หลิวเจี้ยนถึงจะทุลักทุเล แต่ก็น่าจะผ่านการคัดเลือก…”
เสียงหวางเฟยเซวียนพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง เห็นชัดว่านางเองก็กำลังตรวจสอบสถานการณ์ของหลิวเจี้ยนหลังจากเลิกสนใจเริ่นเฟย
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบไป แม้หวางเฟยเซวียนจะไม่บอกเขาก็รู้อยู่แล้ว ในใจเริ่มครุ่นคิดเรื่องหนึ่ง ‘ดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าทำได้แค่ตอบแทนบุญคุณของอาวุโสหลิว…ส่วนรองผู้นำเริ่น เอาไว้ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสข้าจะตอบแทนท่านแล้วกัน’
อาวุโสหลิว ที่ต้วนหลิงเทียนคิดถึงก็คือ หลิวหงกวง อาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง!
สำหรับรองผู้นำเริ่นก็คือ เริ่นฟง รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า!
ทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ดำเนินการจัดการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง และเคยช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนในการประลอง จนสุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็คิดว่าจะเข้าร่วมกับหนึ่งในทั้งคู่ จึงกล่าวบอกว่าจะไปรอคอยเสียดิบดี
แต่เขาไม่คิดเลยว่าหลังจากที่ออกจากหุบเขาหลิงหลงมารอคอยเริ่นจงกับหลิวหงกวงได้ไม่ทันไร เขาจะบังเอิญได้ยินผู้ฝึกตนที่บังเอิญผ่านมากล่าวถึงเรื่องการคัดคนของตำหนักฟ้าลี้ลับ ว่ากำลังเฟ้นหาอัจฉริยะที่บรรลุขอบเขตเซียนตั้งแต่อายุไม่ถึง 40 ปี…ด้วยเหตุนี้เขาจึงปล่อยให้ทั้งคู่ ‘นก’ ไปอย่างช่วยไม่ได้…
เขามักจะรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เสมอ จึงคิดที่จะตอบแทนบุญคุณทั้งคู่เมื่อมีโอกาส
คราวนี้แดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับกำลังจะเปิด จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะตอบแทนบุญคุณ!
น่าเสียดายที่การจะเข้าไปยังแดนลับเซียน อันดับแรกเริ่นเฟยกับหลิวเจี้ยนยังต้องพึ่งความสามารถตัวเองในการช่วงชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมาให้ได้ก่อน อนิจจาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเห็นแล้วว่าคงยากที่จะได้ช่วยเริ่นเฟยในแดนลับเซียน…
ดั่งที่ต้วนหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนคาดคิดเอาไว้ ไม่นานเริ่นเฟยก็ถูกกำจัดออกไป
หลังจากที่เริ่นเฟยถูกกำจัด มันที่ทรุดร่างอยู่บนลานศิลาก็ได้แต่เงยหน้ามองต้วนหลิงเทียนที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยสายตาระริก สุดท้ายจึงค่อยระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน
มันรู้ดีว่ามันได้สูญเสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตไปแล้ว…
ตอนแรกพอมันรู้ว่าขอเพียงมันมีสิทธิ์เข้าสู่แดนลับเซียนได้ มันจะได้รับความช่วยเหลือจากต้วนหลิงเทียน และการที่ต้วนหลิงเทียนให้ความช่วยเหลือมัน ย่อมไม่ยากเลยที่มันจะได้รับมรดกเวทย์พลังระดับสูง! มันจึงเร่งบ่มเพาะพลังอย่างหนัก!
อนิจจาแม้มันดิ้นรนไขว่คว้าเพียงใดแต่สุดท้ายก็ไร้พลังมากพอจะชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมาได้ ดั่งฟ้าลิขิตให้มันไร้วาสนากับมรดกเวทย์พลังในแดนลับเซียน…
“ไถ่ถามโลกหล้า ใยฟ้าจึงได้ล้อเล่นกับชีวิตข้านัก…ส่งมอบขนมเปี๊ยะให้ข้า แต่พอข้าคิดหยิบกินกลับรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่มายา มิอาจลองลิ้มชิมรสอันใด…”
ตอนนี้ เริ่นเฟยอยู่ก็ได้แต่ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเริ่นเฟยเองก็ได้เตรียมใจรับความผิดหวังมาแล้วแต่แรก เพราะรับทราบถึงด่านพลังฝึกปรือของศิษย์รุ่นเยาว์ในวังนภา มันจึงไม่ได้จมอยู่ในห้วงอารมณซึมเศร้าดังกล่าวนานนัก เพียงแค่รู้สึกเสียดายเท่านั้น
เริ่นเฟยแหงนมองไปทางหลิวเจี้ยนที่ลอยกลางอากาศด้วยสายตาอิจฉา “จากสีหน้าท่าทีที่ยังคล้ายไหวอยู่ของหลิวเจี้ยน คงมิยากที่จะได้สิทธิ์เข้าแดนลับเซียน…น่าอิจฉายิ่งนัก พอคิดถึงเรื่องที่มันจะได้ติดสอยห้อยตามหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนเข้าแดนลับเซียนด้วยกัน…มันสมควรเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มิน้อย”
พอนึกถึงเรื่องนี้ แววตาเริ่นเฟยก็อดไม่ได้ที่จะลุกโชนขึ้นมาด้วยเพลิงแห่งความความปรารถนา อิจฉานัก!
มันเชื่อว่าด้วยความเอาใจใส่ของต้วนหลิงเทียน หลิวเจี้ยนต้องได้รับสืบทอดมกดกเวทย์พลังระดับสูงแน่นอน!
“ไม่ได้เรื่องจริงๆ…”
เมื่อเห็นว่าเริ่นเฟยถูกกำจัดออกไปแล้วแม้หวางเฟยเซวียนจะคิดไว้แต่แรก แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา
สำหรับหวางเฟยเซวียนนั้น ที่แท้นางคิดอะไร ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ด้วยมาพักหนึ่ง ย่อมพอจะเดาได้
“เริ่นเฟย ข้าจำได้ว่าคฤหาสน์ข้ามฟ้าของเจ้า นอกจากเจ้าแล้วยังมีคนอื่นที่เข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับมาด้วย…และถ้าข้าจำไม่ผิดอีกคนดูเหมือนจะมีพลังฝึกปรือเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญเช่นเดียวกับเจ้า และมันถูกเลือกให้เข้าร่วมกับวังลี้ลับ เจ้าคิดว่ามันมีโอกาสเข้าสู่แดนลับเซียนหรือไม่?”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนคิดว่าหากไม่ได้ครั้งนี้ ก็จะไปตอบแทนบุญคุณรองผู้นำเริ่นครั้งหน้า แต่หากสามารถตอบแทนไปเลยทีเดียวได้ ก็ย่อมเป็นอะไรที่ประเสริฐกว่า เพราะนั่นจะเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ดังนั้นหลังจากที่เริ่นเฟยถูกกำจัดออกไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันจำได้ว่าตอนที่เริ่นจงพาศิษย์มาเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับ มันพามา 2 คน
และอีกคนก็อยู่ในขอบเขตพลังเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญเหมือนเริ่นเฟย
“พลังฝีมือของมันอ่อนด้อยกว่าข้าเล็กน้อย…สำหรับเรื่องที่มันจะได้สิทธิ์เข้าแดนลับเซียนของวังลี้ลับหรือไม่ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน อย่างไรก็ตามข้าคิดว่ามันสมควรมีโอกาสสูงกว่าข้า เพราะสิทธิ์ของวังลี้ลับแม้จะน้อยกว่าวังนภา แต่การแข่งขันก็ไม่รุนแรงเช่นนี้”
หลังได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน เริ่นฟงก็กล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดาย
ตอนแรกที่มันเข้าร่วมกับวังนภานั้น กล่าวไปไม่ใช่ความสมัครใจของมันเลยมันถูกเลือกโดยเซียวยี่…และไม่มีโอกาสเลือกเลยว่าจะไปอยู่ที่ใด เพราะมันไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนหรือหวางเฟยเซวียน!
หากมันมีโอกาสเลือกได้มันจะไม่มาอยู่วังนภาแน่นอน!
ดังคำกล่าวที่ว่า ยอมเป็นหัวไก่ไม่เป็นหางหงส์ มันเข้าใจความนี้กระจ่างดี…
“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากข้าเจอมันในแดนลับเซียนข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือมัน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ขอบคุณเจ้ามาก”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน เริ่นเฟยก็เร่งกล่าวขอบคุณไปทันที ขณะเดียวกันมันก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงไปกล่าวถามเรื่องที่มันส่งสัยมานาน “หลิงเทียนเจ้าสะดวกที่จะบอกข้าหรือไม่ ว่าไฉนถึงคิดช่วยข้ากับหลิวเจี้ยน? ข้าได้ยินว่าเจ้าคิดตอบแทนบุญคุณของผู้อาวุโสเรา…มิทราบว่าเป็นบุญคุณอันใดหรือ เจ้าสะดวกกล่าวหรือไม่?”
“ก็ไม่ได้ไม่สะดวกอะไรหรอก อันที่จริงก็ไม่ใช่ข้าที่ติดค้างบุญคุณของผู้อาวุโสพวกเจ้าดวยซ้ำ…แต่เป็นสหายของข้าต่างหากที่ติดค้างผู้อาวุโสของเจ้า ตอนนั้นเพราะมีเรื่องสำคัญบางประการที่สหายของข้าต้องรีบไปจัดการ เขาจึงได้ผิดนัดและปล่อยให้ผู้อาวุโสของพวกเจ้ารอเก้อไปแบบนั้น อีกทั้งเมื่อครึ่งปีที่แล้วสหายข้าก็ทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียน เช่นนั้นจึงออกเดินทางจากภูมิภาคเบื้องล่างขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนด้วยธุระสำคัญ เขาจึงไหว้วานให้ข้าช่วยตอบแทนผู้อาวุโสของพวกเจ้าแทนหากข้ามีโอกาส..”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
เขาเชื่อว่าด้วยวาจานี้ของเขา มันมากพอจะทำให้เริ่นเฟยกับหลิวเจี้ยนที่เป็นศิษย์ของคฤหาสน์ข้ามฟ้าและคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ผูกโยงเรื่องราวทั้งหมดเข้ากับเรื่องที่เขาเคยพูดไปวันนั้นว่าเขาเป็นสหายของลี่เฟิงได้ไม่ยาก…
เพราะสุดท้ายแล้วหลังจากจบการประลองยอดนักรบครั้งนั้น อาวุโสของทั้งคู่สมควรกล่าวเล่าเรื่องราวของลี่เฟิงให้พวกมันฟังหมดสิ้นแล้วไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตากระทั่งกลวิธีลงมืออย่างละเอียด ไม่เว้นกระทั่งปราณสุริยันแรกกำเนิดที่สว่างไสวปานดวงตะวัน
เช่นนั้นเขาจึงผลักเรือตามกระแส บอกว่าลี่เฟิงเป็นสหายของเขาไปแต่แรก
“ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูก! ที่แท้เจ้ามีความสัมพันธ์กับลี่เฟิงจริงๆ!!”
ในขณะที่เริ่นเฟยกล่าวถึงจุดนี้ลมหายใจของมันเร่งร้อนขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกใจ “จะ…เจ้าพึ่งบอกว่า…ลี่เฟิงทะลวงถึงอริยะเซียนเมื่อหกเดือนก่อนงั้นหรือ?”
ขณะกล่าวประโยคนี้ น้ำเสียงของเริ่นเฟยก็สั่นเล็กน้อย
อายุไม่ถึง 40 ปี บรรลุขอบเขตพลังอริยะเซียน!
พรสวรรค์เช่นนี้ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน ยังทำให้มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไร้พลังอำนาจ ความพ่ายแพ้ยังผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของใจ!
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ว่าที่แท้เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับลี่เฟิงกันแน่..ไฉนปราณแรกกำเนิดของพวกเจ้าถึงได้มีคุณสมบัติละม้ายคล้ายกันเช่นนี้?”
เริ่นเฟยอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามถึงเรื่องนี้ออกมา เพราะนี่เป็นเรื่องที่มันสงสัยที่สุด
“ให้กล่าวกันจริงๆจังๆเลย เขาก็คือศิษย์พี่ของข้าเอง…พวกเราเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันน่ะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวส่งเสียงตอบ “อาจารย์ของพวกเราทั้งคู่คือยอดฝีมือที่มาจากภูมิภาคเบื้องบน หลายปีที่แล้วตอนที่ท่านอาจารย์ลงมายังภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อปลีกวิเวกหมายใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายหลีกหนีความวุ่นวายบางประการ ท่านบังเอิญถูกชะตาข้ากับลี่เฟิงจนรับพวกเรามาเป็นศิษย์ พวกเราอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ เคล็ดวิชาบ่มเพาะพลังทั้งวิชายุทธ์ที่ร่ำเรียนก็วิชาเดียวกัน สุดท้ายไปๆมาๆกระทั่งเขตแดนที่พวกเราชำนาญ ก็ยังเป็นเขตแดนเดียวกัน…”
“อาจารย์ของเจ้า ต้องเป็นสุดยอดฝีมือที่น่ากลัวของภูมิภาคเบื้องบนแน่…”
เริ่นเฟยกล่าวออกมาด้วยความอิจฉา
“อาจจะ…แต่ท่านอาจารย์ได้กลับไปยังภูมิภาคเบื้องบนตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว พวกเราก็ทำได้แค่พยายามเร่งบ่มเพาะให้บรรลุอริยะเซียนไวๆ หมายอาศัยพลังฝึกปรือของพวกเราขึ้นไปตามหาท่านอาจารย์ด้วยตัวเอง…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
ตั้งแต่ต้นจนจบวาจาต้วนหลิงเทียนคล้ายภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ ไม่มีช่องโหว่พิรุธอันใด ทั้งยังมีเหตุผลรองรับให้ผู้คนเชื่อถือ เริ่นเฟยจึงไม่คิดสงสัยอะไรเลย