WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1754
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1754
ตอนที่ 1,754 : บานปลาย
เผชิญหน้ากับวาจาถามไถ่แกมสั่งของจ้าวไป๋ฉวี่ ต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองมันอย่างเฉยเมย ก่อนที่จะเมินมันไปทั้งอย่างนั้น
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่จ้าวไป๋ฉวี่เป็นแค่อริยะเซียนขั้นต้น ให้มันเป็นอริยะเซียนขั้นสูงสุดต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะกลัว!
หากเหลือทนจริงๆ เขาจะชักกระบี่นิลสวรรค์ออกมาฆ่ามันทันที!
“เป็นจ้าวไป๋ฉวี่ กับจ้าวเฮยถู!”
ไม่นานศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับหลายคนก็จดจำได้ ต่างร้องอุทานออกมาด้วยความตะลึง “ทั้งคู่ล้วนบรรลุอริยะเซียนขั้นต้น จนกลายเป็นศิษย์ในรายนามฟ้าลี้ลับ ปกติแล้วมักบ่มเพาะบนตำหนักหลัก!”
“คนที่อยู่ด้านหลังพวกมัน มิใช่ผู้ติดตามของจ้าวจี้หรือไร?”
“ดูเหมือนว่ามันจะไปพาจ้าวไป๋ฉวี่กับจ้าวเฮยถูมา”
“มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนจ้าวจี้ถึงยอมทนรับความอัปยศอยู่เงียบๆได้…ที่แท้มันส่งคนไปหาตัวช่วยแต่แรก!”
……
ตอนนี้ผู้คนเริ่มคาดเดากันได้ว่าไฉนจ้าวไป๋ฉวี่กับจ้าวเฮยถูถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่พ้นต้องถูกผู้ติดตามของจ้าวจี้ไปตามมาแน่!
“ในตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรา มีเพียงบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นต้นเท่านั้นถึงจะติดรายนามฟ้าลี้ลับและได้อยู่ตำหนักหลัก…ทั้งคู่สมควรบรรลุอริยะเซียนแล้วเป็นแน่!”
“ข้าพอรู้เรื่องของจ้าวไป๋ฉวี่กับจ้าวเฮยถูมาบ้าง เห็นว่าพวกมันถูกบิดาจ้าวจี้เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก ได้รับการดูแลสอนสั่งจากบิดาของจ้าวจี้…ในสายตาของรองจ้าวตำหนักจ้าวก็เห็นพวกมันเป็นบุตรชายแท้ๆไม่ต่างอะไรจากจ้าวจี้…ทั้งคู่ยังรักและเอ็นดูจ้าวจี้กว่าใคร!”
“ที่แท้เป็นศิษย์ของรองจ้าวตำหนักจ้าว มิน่าแปลกใจว่าไฉนจ้าวจี้ถึงส่งคนไปตามพวกมันมา…ขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นหรือ ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้หลิงเทียนจะรับมืออย่างไร”
“ถึงหลิงเทียนจะร้ายกาจมากพรสวรรค์…แต่อย่างไรก็พึ่งบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นยิ่งใหญ่ เทียบกับพวกมันยังขาดอยู่อีกมาก”
“นั่นสิ หากให้เวลาหลิงเทียนอีกไม่กี่ปี อาจจะก้าวข้ามจ้าวไป๋ฉวี่กับจ้าวเฮยถูไปได้…แต่ตอนนี้ยังอีกไกลนัก!”
……
หลายคนที่กล่าวซุบซิบกันอยู่ อดไม่ได้ที่จะเหงื่อตกแทนต้วนหลิงเทียน
“หน้าด้านนัก!”
หวางเฟยเซวียนที่ได้ยินบทสนทนาโดยรอบ ก็รับทราบถึงความเป็นมาของชาย 2 คนในชุดขาวกับดำ สีหน้านางเปลี่ยนไปยังหันไปมองด่าจ้าวจี้ทันที
ขณะเดียวกัน นางก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความกังวลขึ้นมา
นางกังวลในความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนนัก
เพราะจะกล่าวไปแล้วที่ต้วนหลิงเทียนมีเรื่องกับจ้าวจี้จนมันบานปลายถึงขั้นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะนางคนเดียว! นางจึงรู้สึกผิดอย่างมาก!!
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้ากล้าทำร้ายน้องเล็ก…เจ้ามันยะโสโอหังนัก!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกล้าที่จะเมินจ้าวไป๋ฉวี่ จ้าวเฮยถูพลันกล่าวออกเสียงเย็น สองตามองต้วนหลิงเทียนด้วยเจตนาฆ่าฟัน พาลให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเหมือนมีอสรพิษจับจ้องอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามกว่าต้วนหลิงเทียนจะมีวันนี้ได้ ไม่ทราบพบเจอสายตาเช่นนี้มาแล้วกี่คู่ กล่าวว่ามีภูมิต้านทานไปนานแล้วก็ไม่เกินเลย…
“พี่ไป๋ฉวี่ พี่เฮยถู ข้าอยากให้มันมาคุกเข่าขอขมาข้า!!”
จ้าวจี้ถลึงตามองต้วนหลิงเทียนเขม็ง ตอนนี้แก้มทั้งสองของมันเริ่มปูดบวมขึ้นมาปานหัวหมู กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟันอันคับแค้น
ถึงแม้จ้าวจี้จะโมโหจนแทบบ้า แต่มันก็ยังไม่ไร้สติ
ถึงมันอยากให้ต้วนหลิงเทียนตายขนาดไหน มันก็ไม่กล้าทำร้ายต้วนหลิงเทียนถึงตายในตำหนักฟ้าลี้ลับ!
ถึงแม้ภูมิหลังมันจะยิ่งใหญ่ แต่ถ้าฆ่าคนในตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างโจ่งแจ้งขึ้นมา ก็ยากที่มันจะรอดพ้นกฏของตำหนักฟ้าลี้ลับไปได้!
ถึงตอนนั้นเกรงว่ากระทั่งบิดามัน กับปู่ของมันก็ไม่อาจช่วยเหลือมันได้!
แม้มันอาจโชคดีรอดโทษประหาร แต่มันต้องถูกขับไล่ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับแน่นอน!
สำหรับจ้าวไป๋ฉวี่กับจ้าวเฮยถูที่ผู้ติดตามมันไปตามมานั้น ทั้งคู่เป็นเหมือนผู้ปกครองของมัน อีกฝ่ายยังรักเอ็นดูมันเป็นที่สุด!
วันนี้บุตรชายคนเดียวของบิดาบุญธรรมที่เก็บพวกมันมาเลี้ยง และเป็นดั่งน้องชายคนเล็กที่พวกมันดูแลมาตั้งแต่แบเบาะ…ถูกผู้คนทุบตีตบหน้าทามกลางสายตาคนมากมายให้อัปยศอดสู!
พวกมันจะไม่โกรธได้อย่างไรไหว?
ดังนั้นทันทีที่สิ้นคำของจ้าวจี้ จ้าวไป๋ฉวี่กับจ้าวเฮยถู ก็พุ่งแหวกอากาศออกไปพร้อมเพรียง ชั่วพริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน!
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ทว่าตอนนี้เองพลันมีเสียงแหวกฝ่าสายลม 2 เสียงพุ่งวูบมาหยุดขวางเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนเอาไว้ หนึ่งในนั้นคือหวังพี!
“หากคิดทำร้ายเขาก็ข้ามศพข้าหวางเฟยเซวียนไปก่อนเถอะ!”
น้ำเสียงใสกระจ่างหากแต่แฝงเร้นไปด้วยความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวดังขึ้นเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ดึงดูดความสนใจของผู้คนทันที
ร่างดังกล่าว มีทรวดทรงองค์เอวโค้งเว้าเด่นชัดได้สัดส่วนอันสมบูรณ์ปานปีศาจสาวยั่วสวาท ทว่ากลับแฝงเร้นไปด้วยความกล้าหาญปานบุรุษ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหวางเฟยเซวียนเอง!
ตอนนี้หวางเฟยเซวียนชักดาบเล่มเขื่องราวดาบของเพชตฆาตที่ไม่เข้ากับร่างบางสุดๆออกมาคอนถือไว้ด้านหน้าต้วนหลิงเทียน มองไปคล้ายแม่พยัคฆ์กำลังแยกเขี้ยวปกป้องลูกน้อย!
สายตาของนางมองจ้าวไป๋ฉวี่กับจ้าวเฮยถูด้วยสายตาเด็ดขาด พร้อมสู้แลกตาย!
โอ!!
เหล่าผู้ชมที่อึ้งไปพอรู้สึกตัวก็อดไม่ได้ที่จะฮือฮาขึ้นมา ด้วยไม่คิดว่าหวางเฟยเซวียนจะใจเด็ดถึงขั้นคิดปกป้องต้วนหลิงเทียนโดยไม่ห่วงชีวิตตัวเอง
ต้องทราบด้วยว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าเช่นนี้!
“เจ้าคิดว่าอย่างเจ้าจะหยุดพวกเราได้?”
จ้าวไป๋ฉวี่กับจ้าวเฮยถู ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของนาง
อย่างไรก็ตามแม้จะประหลาดใจ ทว่าพวกมันก็ไม่ได้เห็นหวางเฟยเซวียนอยู่ในสายตา เพราะด้วยสำนึกเทวะของพวกมัน ย่อมสัมผัสกลิ่นอายพลังของหวางเฟยเซวียนได้ชัดเจน แค่เซียนขัดเกลาขั้นกลางจะเอาอะไรมาหยุดพวกมัน?
“ข้าไม่มีนิสัยที่ให้สตรีต้องมาปกป้อง”
ในขณะที่หวางเฟยเซวียนเผชิญหน้ากับจ้าวไป๋ฉวี่ พลันมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นต้วนหลิงเทียนที่ก้าวออกมาบังหน้าหวางเฟยเซวียนเอาไว้ด้านหลัง
ตอนแรกเขาก็คิดจะลงมือแล้ว
ทว่าเพราะการกระทำของหวางเฟยเซวียนทำให้เขาถึงกับตกตะลึง จนอึ้งไปพักหนึ่ง
ได้เห็นหวางเฟยเซวียนที่ก้าวออกมาปกป้องทั้งๆที่เป็นสตรีแถมพลังยังอ่อนด้อยกว่าเขามากแบบนี้ ทำให้เขาเลิกสนใจนิสัยเสียของนาง ลบอคติสุดท้ายที่มีต่อหวางเฟยเซวียนไปทันที เห็นนางเป็นเพื่อนคนหนึ่งเต็มตัว
“เรื่องนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะมีข้าเป็นต้นเหตุ ข้าจักอยู่เฉยได้อย่างไร”
หวางเฟยเซวียนมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนที่อยู่เบื้องหน้า “เจ้าไม่ต้องห่วงนะ พวกมันไม่กล้าฆ่าข้าหรอก”
น่าเสียดายที่ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะฟังนาง
ต้วนหลิงเทียนรู้ดี ไม่ว่าจะมีหวางเฟยเซวียนหรือไม่มีผลลัพธ์มันก็ไม่ต่างกัน ยังไงจ้าวจี้มันก็เห็นเขาเป็นศัตรูที่ต้องกำจัดให้พ้นทางอยู่แล้ว
เพราะมีหวางเฟยเซวียน ก็เลยทำให้เรื่องบาดหมางระหว่างเขากับจ้าวจี้มันเพิ่มขึ้นอีกเรื่องก็เท่านั้น
เช่นนั้นแล้วตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่คิดว่าการที่เขามีเรื่องกับจ้าวจี้หนักขึ้น มันจะเกี่ยวอะไรกับนางแม้แต่น้อย
ยืนอยู่เบื้องหน้าหวางเฟยเซวียน ต้วนหลิงเทียนมองพินิจจ้าวไป๋ฉวี่กับจ้าวเฮยถูด้วยสายตาไม่แยแส คล้ายไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับอริยะเซียน 2 คน…แต่เป็นแค่จอมยุทธ์ดาษๆไร้ฝีมือเท่านั้น
“นับว่าเจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่! แต่บางครั้งคิดทำเป็นวีรบุรุษปกป้องหญิงงามมันก็มีราคาที่ต้องจ่ายสูงหน่อย…กระทั่งต่อให้ทำไม่สำเร็จก็ยังต้องจ่ายราคาอย่างหนัก!”
จ้าวเฮยถูแสยะยิ้มกว้างน่ากลัว ชวนให้ขนลุกนัก
“เจ้ามิได้ยินที่น้องเล็กข้ากล่าวหรือ! ยังไม่รีบมาคุกเข่าขอขมาน้องเล็กข้าอีก!!”
จ้าวไป๋ฉวี่มองต้วนหลิงเทียนตาขวางกล่าวสั่งเสียงดัง
“จ้าวไป๋ฉวี่ จ้าวเฮยถู”
ตอนนี้เองหวังพีพลันก้าวขึ้นมาอีกไม่กี่ก้าว คั่นกลางระหว่างต้วนหลิงเทียนกับทั้งคู่ด้วยใบหน้าบึ้งตึง “วันนี้ใครถูกใครผิดพวกเจ้าสมควรรู้ดีแก่ใจ…อย่าให้มันมากเกินไปนัก!”
“อะไรหวังพี หรือเจ้าคิดจะช่วยมัน?”
จ้าวเฮยถูกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแสยะ “ข้าจำได้ว่าระหว่างเจ้ากับข้า…ก่อนหน้านี้เป็นเจ้าที่แพ้มิใช่หรือ?”
ได้ยินคำนี้ของจ้าวไป๋ฉวี่ กอปรกับสังเกตเห็นแววตาที่มองมาโดยรอบ หวังพีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึมครึมในใจ สีหน้ายังเปลี่ยนเป็นถมึงทึง “จ้าวเฮยถู ศิษย์น้องหลิงเทียนต่างจากข้า คิดหาเรื่องเขา เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ…”
“เจ้าหมายความว่าอะไร?”
สายตาจ้าวเฮยถูมองเพ่งไปยังหวังพีทันที เสียงกล่าวยังเข้มขึ้น
“พรสวรรค์ของศิษย์น้องหลิงเทียนเป็นเช่นไร ข้าคิดว่าพวกเจ้าสมควรได้ยินกันมาแล้ว…เท่าที่ข้าทราบ ตอนนี้กระทั่งท่านจ้าวตำหนักยังรู้เรื่องของศิษย์น้อง!”
คราวนี้หวังพีเลือกจะส่งเสียงกล่าวกับจ้าวไป๋ฉวี่และจ้าวเฮยถูตรงๆ คนอื่นจึงไม่ได้ยิน
ท่านจ้าวตำหนัก!
ทันทีที่หวังพีกล่าวคำนี้ออกมา สีหน้าของทั้งคู่พลันเปลี่ยนเป็นศพทันที!
พวกมันรู้ดีว่าหวังพีคิดจะสื่ออะไร!
ในเมื่อท่านจ้าวตำหนักรู้เรื่องต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นอาจบังเกิดความสนใจคิดรับเป็นศิษย์ กระทั่งอาจเป็นศิษย์ปิดสำนัก!
“พวกเจ้าสมควรเป็นคนฉลาด หรือต้องให้ข้ากล่าวอย่างละเอียด?”
หวังพีกล่าวเสริม
จ้าวไป๋ฉวี่และจ้าวเฮยถูพอได้ยินดังนี้ก็หันหน้ามองสบตากัน ก่อนที่จะหันไปมองจ้าวจี้ที่อยู่ไม่ไกลและบอกว่าหวังพีกล่าวอะไรกับพวกมัน
“ท่านจ้าวตำหนัก?”
ได้ยินคำเล่าจากทั้งคู่ จ้าวจี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยหากแต่ไม่นานก็คลายลง เร่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “พี่ไป๋ฉวี่พี่เฮยถู พวกท่านไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก! เพราะหวังพีมันรู้จักกับหลิงเทียนแต่แรกมันจึงพยายามกล่าวช่วยเหลือ”
“ส่วนเรื่องที่มันพูดจะจริงหรือไม่จริงก็นับเป็นเรื่องในวันหน้า แม้จ้าวตำหนักคิดรับมันเป็นศิษย์แต่ก็ต้องมิใช่วันนี้…หรือหลังมันเป็นศิษย์แล้ว ท่านจ้าวตำหนักจะย้อนมาเล่นงานพวกเราหรือ?”
จ้าวจี้กล่าวออกเสียงเรียบ มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งในแววตายังเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“นอกจากนั้นถ้าวันนี้มันคุกเข่าต่อหน้าผู้คนมากมาย เกรงว่าจ้าวตำหนักคงไม่คิดรับมันเป็นศิษย์อีกต่อไป มิว่าจะชมชอบพรสวรรค์ของมันเพียงใดก็ตาม ผู้ที่ไร้ศักดิ์ศรีเช่นนั้นไหนเลยจ้าวตำหนักจะรับเป็นศิษย์ให้ตัวเองขายหน้าได้?”
จ้าวจี้กล่าวออกรวดเดียวจบ มุมปากยังปรากฏรอยยิ้มแสยะขึ้นมาอย่างชั่วร้าย
และยามที่วาจานี้ของจ้าวจี้ดังขึ้นในหูของจ้าวไป๋ฉวี่กับจ้าวเฮยถู พวกมันก็รู้สึกเหมือนมีเข็มปักลงกลางใจ!