WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1761
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1761
ตอนที่ 1,761 :แดนลับเซียนกำลังจะเปิด!
“ทราบแล้วท่านอาจารย์”
“ได้ ท่านพ่อ!”
หลังจากที่มองส่งจ้าวเติงจากไปแล้ว เว่ยเหว่ยกับจ้าวจี้ก็นั่งรอให้จ้าวเติงกลับมาอยู่ที่บ้านอย่างเชื่อฟัง
พวกมันนั่งรอจนบ่ายคล้อย…
ทว่าพวกมันก็ไม่มีใครกล้าบ่นอะไร
และจ้าวเติงก็ไม่ได้กลับมา จนกระทั่งพลบค่ำ…
เมื่อกลับมาถึงจ้าวเติงก็แลดูเป็นปกติแววตาไม่คล้ายมีเรื่องหนักใจหรือร้อนรนอะไร ทว่ากลับเผยประกายแปลกๆออกมา
“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็กลับมา”
เมื่อจ้าวเติงกลับมา จ้าวจี้แลดูตื่นเต้นไม่น้อย “ตอนนี้ท่านบอกข้าได้รึยัง ว่าจักให้พี่ใหญ่จัดการกับหลิงเทียนอย่างไร”
“จี้เอ๋อ เรื่องหลิงเทียน ตอนนี้เจ้าจำต้องปล่อยมันไปก่อน”
ได้ยินคำจ้าวเติง ความตื่นเต้นบนใบหน้าจ้าวจี้พลันค้างเติ่งไปทันที
และหลังกล่าวกับจ้าวจี้แล้ว จ้าวเติงก็หันไปมองกล่าวกับเว่ยเหว่ย “เหว่ยเอ้อ ตอนนี้ไม่มีใดให้เจ้าทำแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ..”
“ทราบแล้วท่านอาจารย์ ศิษย์ขอลา”
แม้ไม่ทราบว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ไฉนอยู่ดีๆท่านอาจารย์ถึงได้ล้มเลิกความคิดเล่นงานหลิงเทียน? แต่เว่ยเหว่ยก็ยังคงเชื่อฟังคำอาจารย์อย่างไร้เงื่อนไข จึงเร่งประสานมือคารวะกล่าวคำอำลา
เมื่อเว่ยเหว่ยหันหลังเดินจากไป จ้าวจี้ก็อ้าปากคิดกล่าว ทว่าแววตาของจ้าวเติงที่มองมา ก็ทำให้มันจำต้องชะงักไปทันที
จ้าวจี้ไม่ใช่ชนชั้นโง่งม เป็นธรรมดาที่มันแลเห็นถึงความนัยแววตาบิดา มันจึงเลือกสงบปากสงบคำ และเผยแววตาอยากรู้อยากเห็นแทน
จนเมื่อเว่ยเหว่ยเดินหายไปลับตา จ้าวจี้ก็อดไม่ไหว มองถามจ้าวเติงด้วยสงสัยทันที “ท่านพ่อ ท่านจ้าวตำหนักมีเรื่องอะไรหรือ…ไฉนท่านถึงปล่อยหลิงเทียนไปทั้งๆที่มันตบหน้าข้าให้อับอายท่ามกลางผู้คนเล่า! มันหยามหน้าข้าก็เหมือนหยามหน้าท่านพ่อนะ!!”
“จี้เอ๋อ พ่อรู้ว่าเจ้าเกลียดหลิงเทียนจนอยากให้มันหายไปจากโลกนี้ ไหนเลยพ่อจะไม่อยากจัดการมัน?”
จ้าวเติงส่ายหัว ค่อยกล่าวถาม “แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ท่านจ้าวตำหนักเรียกหาพ่อทำอะไร?”
“หรือเป็นเพราะหลิงเทียน?”
ได้ยินคำจ้าวเติงสีหน้าจ้าวจี้เปลี่ยนไปใหญ่หลวง “ใช่ท่านจ้าวตำหนักกล่าววาจาปกป้องหลิงเทียน และไม่คิดให้ท่านพ่อแตะต้องมันหรือไม่?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
จ้าวเติงส่ายหัว “คราวนี้ที่ท่านจ้าวตำหนักรีบร้อนเรียกหาข้า ส่วนใหญ่เป็นเพราะคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง อย่างไรก็ตามเพราะเรื่องนี้ทำให้หลิงเทียนได้รับความดีความชอบใหญ่หลวง หากสกุลจ้าวเรากล้าแตะหลิงเทียนมันตอนนี้ น่ากลัวว่าจ้าวตำหนักและอาวุโสทั้งหลายจะไม่พอใจมากแน่”
“ก่อนที่ข้าจะกลับมาก็แวะไปหารือกับปู่เจ้ามาแล้ว สรุปได้ว่าข้าจะไม่ทำอะไรหลิงเทียนมั่นก่อนในช่วงนี้ รอให้จบเรื่องคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเสียก่อน”
จ้าวเติงร่ายยาวต่อเนื่อง
“ท่านปู่รู้เรื่องแล้วหรือ?”
จ้าวจี้เบิกตากว้าง
“วันนี้ไม่เพียงแต่ข้าที่ถูกเรียกไป ระดับสูงทั้งหมดของตำหนักฟ้าลี้ลับเราไม่เว้นปู่เจ้าล้วนไปประชุมกันทั้งสิ้น…กู่ซืออวิ๋นกับกู่ลี่ลูกมันเองก็เช่นกัน”
จ้าวเติงกล่าว
“กู่ลี่ก็ร่วมประชุมด้วย?”
จ้าวจี้ขมวดคิ้ว “ถึงแม้ข้าไม่ทราบว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเราคิดทำอะไรกับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่ในเมื่อท่านจ้าวตำหนักถึงกับเรียกตัวท่านปู่ ท่านพ่อและกู่ซืออวิ๋นแบบนี้ เช่นนั้นเรื่องราวต้องใหญ่หลวงแน่…กู่ลี่ไหนเลยมีคุณสมบัติเข้าร่วมประชุมได้เล่า?”
“เพราะเรื่องนี้กู่ลี่เป็นคนแจ้งกู่ซืออวิ๋น จากนั้นกู่ซืออวิ๋นก็ได้นำมาแจ้งต่อท่านจ้าวตำหนัก”
จ้าวเติงกล่าวออกอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ข้าฟังท่านกล่าวมาตั้งนานแล้วแต่ตอนนี้ข้ายังมิรู้เลยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่…ไฉนถึงทำให้ท่านต้องล้มเลิกจัดการหลิงเทียนไปชั่วคราว?”
จ้าวีจ้ถามออกมาด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจจริงๆว่ามันเกี่ยวกับหลิงเทียนอย่างไร
“เรื่องมีอยู่ว่า…”
ถึงแม้จ้าวตำหนักจะกำชับให้จ้าวเติงและทุกคนเก็บเป็นความลับ ทว่าจ้าวจี้นั้นไม่เหมือนเว่ยเหว่ย อีกฝ่ายเป็นบุตรชายแท้ๆคนเดียวของมัน จ้าวเติงจึงไม่คิดปิดบัง
หลังจากนั้นจ้าวเติงก็เล่าให้จ้าวจี้ฟังถึงเรื่องนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้ง ที่สมควรบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง
“เคล็ดวิชารวมวิญญาณ? ฟื้นคืนชีพ? เคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง?”
จ้าวจี้ที่ได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งจนลืมหายใจไปพักหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าหากมันได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารนี่ พลังฝึกปรือของมันจะก้าวหน้าอัศจรรย์หรือไร? ไม่ใช่ว่าจะก้าวข้ามหลิงเทียนก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้?
เพราะสุดท้ายแล้ว ฉีจิ้ง ก็ใช้เวลาแค่ปีเดียวบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดจากเซียนขัดเกลาขั้นต้น! แล้วหากมันได้เคล็ดบำเพ็ญมารนั่นมาเล่า? มิใช่ว่าใช้แค่ปีเดียวก็สมควรบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดบ้างเหรอ?!
ในเรื่องนี้จ้าวจี้เต็มไปด้วยความมั่นใจนัก!
เมื่อเห็นประกายวูบวาบในแววตาจ้าวจี้ ไหนเลยจ้าวเติงจะไม่รู้ว่าบุตรชายคิดอะไรอยู่ “หากฉีจิ้งบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงปกติ มิใช่อวิชชาชั่วร้าย ก็เป็นเรื่องดีที่เจ้าจะบ่มเพาะ…แต่หากเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งฝึกมิใช่อยู่ในวิถีทั่วไป แต่เป็นเดียรัจฉานวิชาที่สร้างหายนะเภทภัยให้ผู้คน ท่านจ้าวตำหนักย่อมไม่อนุญาตให้ผู้ใดฝึกปรือ!!”
จ้าวจี้พยักหน้า แต่ในใจลอบหวั่นไหว
‘แค่ข้าเข้มแข็งขึ้นก็พอแล้วมิใชรึไง จะเป็นอวิชชาชั่วร้ายสังเวยชีวิตผู้คนแล้วจะอย่างไร…พวกสวะต้อยต่ำนั่นถึงตายไปหมดโลกก็ช่างหัวมันปะไร! ยังนับเป็นเกียรติของพวกมันด้วยซ้ำที่ชีวิตสวะของพวกมันมีส่วนสนับสนุนให้ข้าจ้าวจี้แข็งแกร่ง!’
นี่คือความจริงจากส่วนลึกของใจจ้าวจี้ ตราบใดที่มีนสามารถยกระดับพลังฝึกปรือให้ตัวเองได้ มันไม่สนวิธีการและผลที่ตามมาทั้งหมด
“ท่านพ่อ แล้วตอนนี้ท่านจะทำเช่นไรต่อไป?”
จ้าวจี้บังเกิดความละโมบต่อเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งฝึกปรือนัก ด้วยเหตุนี้มันจึงเลียบๆเคียงๆถามบิดาออกมาด้วยความอยากรู้
“ทำอย่างไรต่อนั้น…ท่านจ้าวตำหนักยังไม่สรุป ท่านคิดรอให้พวกเจ้าออกจากแดนลับเซียนกันก่อนค่อยหารือกันอีกครั้ง…เพราะถึงตอนนั้นท่านจ้าวตำหนักจึงจะว่าง”
จ้าวเติงกล่าว
“ท่านจ้าวตำหนักคิดลงมือด้วยตัวเอง?”
จ้าวจี้อึ้งเพราะจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกมันไม่ได้ลงมือด้วยตัวเองนานหลายปีแล้ว ทว่าคราวนี้กลับคิดลงมือแล้วจริงๆ!
“อีกฝ่ายเป็นคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แม้ไม่มีท่านจ้าวตำหนักพวกเราก็เอาชนะมันได้ แต่นั่นคงมิอาจหลีกเลี่ยงความสูญเสีย…พลังฝีมือของจ้าวคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมิได้ด้อยไปกว่าปู่ของเจ้า…มีเพียงท่านจ้าวตำหนักเท่านั้นที่เอาชนะมันได้”
จ้าวเติงกล่าวออกมาอีกครั้ง
พลังความแข็งแกร่งของขุมพลังชั้น 4 นั้น ไม่ใช่อะไรที่มองข้ามกันได้
นอกจากนี้ถึงแม้คหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะเป็นขุมพลังชั้น 4 แต่หากมองย้อนไปในอดีต…พวกมันก็เคยเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3!
ขุมพลังชั้น 4 แบบนี้จะมีความแข็งแกร่งเหนือขุมพลังชั้น 4 ทั่วไปเล็กน้อย
“จี้เอ๋อข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดหลิงเทียน แต่ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะกำจัดมัน…หากเจ้าคิดกำจัดมันจำต้องรอให้จบเรื่องคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเสียก่อน”
จ้าวเติงมองจ้าวจี้พร้อมกล่าวเตือน
“ท่านพ่อ หากต้องรอถึงตอนนั้นไม่ใช่ท่านจ้าวตำหนักจะรับมันเป็นศิษย์ กระทั่งเผลอๆอาจจะรับมันเป็นศิษย์ปิดสำนักไปแล้วหรือไง? มิใช่ท่านกล่าวเองหรือว่าออกจากแดนลับเซียนครั้งนี้ มีโอกาสสูงที่ท่านจ้าวตำหนักคิดรับมันเป็นศิษย์ประทั่งศิษย์ปิดสำนัก?”
เมื่อจ้าวเติงได้ยินคำพูดของจ้าวจี้ มันก็เป็นกังวลเช่นกัน
“จี้เอ๋อข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้า…อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเราคิดทำอะไรก็ต้องหลังออกจากแดนลับเซียน อีกทั้งจ้าวตำหนักก็ไม่แน่ว่าจะรับมันเป็นศิษย์ทันที เพราะเรื่อง ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสำคัญกว่า… “
จ้าวเติงกล่าวปลอบ
จ้าวจี้พยักหน้าและยอมวางมืออย่างไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไร
“นอกจากนี้ต่อให้หลิงเทียนมันเป็นศิษย์กระทั่งศิษย์ปิดสำนักแล้วอย่างไร…หรือท่านจ้าวตำหนักจะอยู่กับมันได้ตลอดเวลา? ตราบใดที่มันกล้าออกนอกตำหนักฟ้าลี้ลับไปไหนเพียงลำพัง มิใช่สกุลจ้าวเราคิดฆ่ามันก็ง่ายดายเหมือนฆ่าไก่หรือ?”
ขณะกล่าวประโยคนี้วาจาของจ้าวเติงเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ
“ท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ข้าก็อุ่นใจแล้ว”
จ้าวจี้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“เอาล่ะจี้เอ๋อ ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องสนใจไม่ใช่เรื่องของหลิงเทียนอะไรนั่น แต่เป็นการเตรียมตัวเข้าแดนลับเซียนในอีกสิบวันหลังจากนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะได้รับสืบทอดทั้งเข้าใจมรดกเวทย์พลังระดับสูงในแดนลับเซียน หากเจ้าสามาถบรรลุถึงเซียนมนุษย์และเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังได้ล่ะก็…เจ้าอาจจะได้เป็นจ้าวตำหนักคนต่อไปของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา!”
จ้าวเติงมองจ้าวจี้ด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง “สกุลจ้าวเรามิเคยมีผู้ใดประสบความสำเร็จเช่นนี้…เช่นนั้นพ่อจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะได้เป็นคนแรกในสกุลจ้าวที่สามารถได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับสูงในแดนลับเซียน!”
“ท่านพ่อข้าจะขยันให้มาก ท่านไม่ต้องห่วง”
จ้าวจี้กล่าวรับเป็นมั่นเหมาะ
“การเข้าสู่แดนลับเซียนครั้งนี้ สกุลจ้าวของเรานอกจากเจ้าแล้วก็ยังมีอีก 4 คนที่ได้สิทธิ์เข้าแดนลับเซียน…อย่างไรก็ตามที่แข็งแกร่งที่สุดก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงถ้าช่วยได้เจ้าก็ช่วยเหลือพวกมันด้วย ทว่าหากพวกมันถ่วงมือถ่วงเท้า เจ้าก็ไม่ต้องสนใจ”
จ้าวเติงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง มันไม่อยากให้บุตรพลาดมรดกเวทย์พลังระดับสูงในแดนลับเซียนเพราะคนอื่น
“ข้ารู้แล้วท่านพ่อ”
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้จ้าวเติงกล่าวเตือน เพราะจ้าวจี้เป็นคนเห็นแก่ตัวถึงที่สุด มันพร้อมทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง กระทั่งให้สละคนอื่นในตระกูลเพื่อมัน…ก็สามารถทำได้โดยตาไม่กระพริบ
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น เพราะตอนนี้เขาตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ รอคอยการเปิดของแดนลับเซียนอย่างใจจดจ่อ ไม่สนเรื่องฉีจิ้งและความเป็นไปของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องใดๆทั้งสิ้น
และแน่นอนว่าต่อให้ เว่ยเหว่ย อะไรนั่นจะเป็นศิษย์คนโตของจ้าวเติง แต่ก็คงยากจะสร้างปัญหาอะไรให้ต้วนหลิงเทียนได้เพราะเขามีกระบี่นิลสวรรค์!
แต่แน่นอนว่าถึงมีกระบี่นิลสวรรค์เขาก็ไม่อาจใช้มันต่อหน้าผู้คนได้ง่ายๆ
แรงดึงดูด ของกระบี่นิลสวรรค์น่ากลัวจะเหนือล้ำกว่าตราผนึกมารเสียอีก หากไม่พัวพันถึงชีวิตจริงๆเขาไม่คิดใช้กระบี่นิลสวรรค์ต่อหน้าผู้คนมั่วซั่วแน่นอน
หากไม่ใช้กระบี่นิลสวรรค์เขาไม่ใช่คู่มือ เว่ยเหว่ย
เว่ยเหว่ยย่อมไม่อาจฆ่าเขาได้เพราะกลัวกฏของตำหนักฟ้าลี้ลับ ทว่าการทำร้ายทุบตีเขาจนสาหัสนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายย่อมยากจะฟื้นฟูหายดีได้ทันเข้าแดนลับเซียน และนั่นจะส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวในแดนลับเซียนของเขาแน่นอน!