WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1764
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1764
ตอนที่ 1,764 : ความดีความชอบ
มองไปปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็รับทราบตัวตนผู้ที่มองมาด้วยสายตาไม่ดีนั่นได้ทันที
รองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวเติง!
นอกจากนั้นมันยังเป็นบิดาของจ้าวจี้!
เหตุผลที่ทำให้เขามองไปปราดเดียวก็จำได้นั้น เพราะลักษณะหว่างคิ้วของมันกลับละม้ายคล้ายจ้าวจี้ 6-7 ส่วน!
กอปรด้วยสายตาไม่ดีที่มองมา เขาย่อมคาดเดาตัวตนมันออกได้ง่ายดาย!
เขากับจ้าวจี้ยืนอยู่คนละฝั่ง ก็เป็นธรรมดาที่จ้าวเติงจะมองเขาด้วยสายตาเป็นอริเช่นนั้น
ส่วนชายวัยกลางคนอีก 2 คนต้วนหลิงเทียนก็พอเดาฐานะอีกฝ่ายได้เช่นกัน สมควรเป็นรองจ้าวตำหนักที่เหลือนอกจากจ้าวเติง…
ในตำหนักฟ้าลี้ลับมีรองจ้าวตำหนักทั้งสิ้น 9 คน
นอกจากรองจ้าววังทั้ง 4 แล้ว ยังมีรองจ้าวตำหนักอีก 5 คนที่คอยดูแลเรื่องราวภายนอกของตำหนักฟ้าลี้ลับ ทั้งหมดบ้างมักออกไปจัดการธุระด้านนอกตำหนักบ้างก็กลับมาจัดการเรื่องราวทั่วไปที่ตำหนัก
จ้าวเติงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“คารวะใต้เท้าจ้าวตำหนัก”
หลังจากนั้นไม่ทันไร โดยมีจ้าววังนภาจูลู่ฉีเป็นผู้นำ ทุกคนก็คารวะทักทายจ้าวตำหนักด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมถ่อมตน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าศิษย์ทั้งหลาย พอทราบว่าชายวัยกลางคนที่นำมาเป็นจ้าวตำหนัก! ร่างพวกมันถึงกับสั่นเทิ้มไปเพราะความตื่นเต้น!!
มีเพียงต้วนหลิงเทียนคนเดียว ที่แม้จะพบเจอจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับครั้งแรก แต่ยังแลสงบอยู่ได้
“อืม”
เผชิญหน้ากับการโค้งคารวะของผู้คน เมิ่งฉิงพยักหน้ากล่าวคำรับการทักทายอย่างเฉยเมย ก่อนที่จะมองไปยังจูลู่ฉี และว่ายตามองไปในกลุ่มคนของวังนภา
“หลิงเทียนคือผู้ใด?”
ครู่ต่อมาเมิ่งฉิงก็กล่าวออก คล้ายกำลังตามหาตัวต้วนหลิงเทียน
ทันใดนั้นทุกสายตาก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนทันที คล้ายจะบอกเมิ่งฉิงเป็นนัย…
ว่านี่คือหลิงเทียนที่ท่านตามหา!
“จ้าวตำนัก”
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่พลันพยักหน้าให้จ้าวตำหนัก
ตอนเผชิญหน้ากับจูลู่ฉีเขาเรียกหาอีกฝ่ายว่าจ้าววัง พอเจอหน้าเมิ่งฉิงเขาก็เรียกหาว่าจ้าวตำหนัก
นี่เป็นนิสัยที่ไม่ทราบคุ้นชินมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ในใจเขา…ทุกคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าล้วนคือคนที่สักวันเขาจะก้าวข้ามไปให้จงได้! ด้วยเหตุผลนี้ใจจึงยากนักที่จะยอมรับและเรียกหาผู้อื่นด้วยคำ ‘ใต้เท้า’ นำหน้าเหมือนคนอื่นๆ!!
“บังอาจ!”
จ้าวเติงที่ยืนอยู่ด้านหลังเมิ่งฉิงพลันตะโกนออกมาด้วยท่าทางเปี่ยมโทสะทันที สายตายังมองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่อง และหากสายตาฆ่าคนได้ต้วนหลิงเทียนคงตายไปแล้ว! มันตะคอกกล่าวอออกเสียงดังน้ำเสียงดุดัน “หลิงเทียนเจ้ามันสามหาวนัก! เจ้ากล้าเรียกหาใต้เท้าจ้าวตำหนักว่าจ้าวตำหนักห้วนๆได้อย่างไร ไฉนเจ้าถึงได้หยาบคายเช่นนี้!?”
ในที่สุดจ้าวเติงก็ได้พบโอกาสเล่นงานต้วนหลิงเทียนทั้งที มันแน่นอนว่าไม่ยอมพลาดโอกาส “หรือเจ้าหลิงเทียนไม่เห็นใต้เท้าจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา?”
อา
พอจ้าวเติงกล่าวออกมาแบบนี้ ก็ทำให้ศิษย์ที่เหลืออื้ออึงไปทันใด
หลานคนคิดว่าจ้าวเติงคิดเลาะกระดูกจากไข่ บ้างก็คิดว่าวาจานี้ของจ้าวเติงมีเหตุผล การที่ต้วนหลิงเทียนเรียกจ้าวตำหนักว่าจ้าวตำหนักห้วนๆไม่มีคำใต้เท้าหรือแม้แต่ท่านนำหน้านับเป็นเรื่องไม่สมควร…
“รองจ้าวตำหนักจ้าวเติงเป็นบิดาของจ้าวจี้ เป็นธรรมดาที่ไม่คิดพลาดหาเรื่องให้หลิงเทียนลำบากใจ…ตอนนี้มันสบโอกาสแล้วข้าเกรงว่าคงไม่ง่ายที่หยุด”
“เรื่องนี้สมควรมองว่าเป็นการใช้ความแค้นส่วนตัวหาเรื่องผู้อื่นหรือไม่?”
“กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูก อย่างไรเสียการเรียกหาใต้เท้าจ้าวตำหนักว่าจ้าวตำหนักห้วนๆก็มิควรมิใช่หรือ?”
“ใช่แล้ว ใต้เท้าจ้าวตำหนัก ท่านคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับเรา! หลิงเทียนเรียกหาท่านว่าจ้าวตำหนักห้วนๆย่อมไม่สมควร!”
……
หลายคนมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเวทนาเพราะรู้ดีว่าจ้าวเติงหาเรื่องต้วนหลิงเทียนเพราะความแค้นส่วนตัว แต่ที่จ้าวเติงกล่าวมันก็ถูก และไม่มีใครในที่นี้กล้าหักล้างวาจามัน…เพราะนั่นจะถือว่าลบหลู่จ้าวตำหนัก!
‘ตัวบัดซบนี่!’
‘ศิษย์น้องหลิงเทียน!’
ทั้งหวางเฟยเซวียนและหวังพีอดไม่ได้ที่จะเหงื่อตกแทนต้วนหลิงเทียน เพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนนับว่าเผชิญหน้ากับสถานการณ์ยากลำบากแล้วจริงๆ
จ้าวเติงกระทำเช่นนี้นับว่าช่วงชิงความได้เปรียบมากนัก อย่างน้อยๆหลายต่อหลายคนก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนถึงคราวตกที่นั่งลำบาก!!
“เรียนใต้เท้าจ้าวตำหนัก น้องหลิงเทียนมิได้เป็นอย่างที่รองจ้าวตำหนักเติงกล่าวแน่นอน”
กูลี่เองก็เป็นกังวลไม่น้อย จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวช่วยต้วนหลิงเทียนออกมา
“เหอะ!”
ไม่รอให้เมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับตอบคำอะไร จ้าวเติงพลันพ่นลมออกจมูกเสียงเย็นกล่าวเย้ย “กู่ลี่ ข้ารู้ว่าเจ้ามีสัมพันธ์อันดีกับหลิงเทียน…แต่สถานการณ์เช่นนี้เจ้ายังเข้าข้างมันก็ออกจะเกินไปบ้าง…หรือที่มันไม่เคารพใต้เท้าจ้าวตักหนัก…เป็นเพราะเจ้าเสี้ยมสอนมันมาเล่า?”
วาจาจ้าวเติงดังขึ้นอีกครั้ง กระทั่งฉุดลากกู่ลี่ที่ไม่เกี่ยวข้องให้จมปลักโคลนนี้ด้วย
“เจ้า!”
กู่ลี่มีโมโหนัก หน้ายังเปลี่ยนสีไป แววตาเผยความดุร้ายออกมา
“อ้อ! ข้าไม่เคารพจ้าวตำหนักงั้นเหรอ? ใส่ร้ายกันเกินไปหน่อยรึเปล่า?”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันปริปากกล่าวคำออกมา ขณะมองจ้าวเติงด้วยรอยยิ้ม “รองจ้าวตำหนักจ้าว ข้าขอถามอะไรเจ้าสักเรื่อง…ตำหนักฟ้าลี้ลับใช่มีกฏเกณฑ์ข้อบังคับไว้ด้วยหรือไม่ ว่ายามเจ้าพบเห็นจ้าวตำหนัก ไม่อาจเรียกว่าจ้าวตำหนักเฉยๆได้…แต่ต้องเป็นใต้เท้าจ้าวตำหนัก?”
“ฮึ่ม! ถึงแม้จักมิมีกฏเกณฑ์ดังกล่าวตราไว้ แต่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลนักที่จะเรียกหาใต้เท้าจ้าวตำหนักโดยมีคำ ใต้เท้า นำหน้า! เรื่องนี้นับเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่สุด! เจ้าเรียกหาใต้เท้าจ้าวตำหนักว่าจ้าวตำหนักโดยตรง ย่อมส่อให้เห็นว่าเจ้าไม่เห็นใต้เท้าจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา!!”
จ้าวเติงตะโกนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ฮ่าๆๆ…รองจ้าวตำหนักจ้าว ในเมื่อเจ้ากล่าวว่าข้าไม่เห็นจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา เช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าว่าข้าไม่เห็นจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา!”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะร่า ค่อยกล่าวออกมาเสียงดังตามอำเภอใจ
เงียบ!
ทันทีที่วาจาประโยคนี้ดังพ้นลำคออกมา ก็พาลให้ผู้คนในที่นี้เงียบลงทันใด
ยกเว้นจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างเมิ่งฉิง ทุกคนไม่เว้นจ้าวเติงถึงกับตกตะลึง ด้วยไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวอะไรออกมาแบบนี้ดื้อๆ
เมิ่งฉิงเพียงมองต้วนหลิงเทียนอย่างเงียบงัน หน้ายังไม่แปรเปลี่ยน ไม่ทราบว่าในใจมันคิดอะไรอยู่
‘เจ้าทึ่มเอ๊ย! นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรกัน!’
หวางเฟยเซวียนพอได้ฟังถึงกับหน้าซีด ยังกังวลไปใจแทบหยุดเต้น
“น้องหลิงเทียน”
สีหน้ากูลี่เองก็ซีดลงเช่นกัน ด้วยไม่คิดว่าน้องหลิงเทียนของมันจะแข็งกร้าวเช่นนี้ ยังถึงขั้นกล่าวพูดเรื่อง ‘ไม่เห็นจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา’ ออกมาดื้อๆ!
นี่ยังต่างใดจากเอาหน้าไปขวางทางปืน?
ในสายตาของมันการกระทำเช่นนี้มันเป็นการรนหาที่ตายชัดๆ!
จ้าววังนภา จ้าววังปฐพี จ้าววังลี้ลับ และจ้าววังเหลืองเองยังอดไม่ได้ที่จะงุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงกล่าวคำอุกอาจปานเป็นกบฏคิดคดทรยศเช่นนี้ออกมาได้
เพราะดูแล้วต้วนหลิงเทียนไม่คล้ายคนบ้าบิ่นทำอะไรไม่คิดอย่างนั้นเลย…
“ทรยศ! เจ้ามันตัวทรยศ!!”
ตอนนี้เองจ้าวเติงพึ่งได้รู้สึกตัว ตอนแรกมันหลงคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะปฏิเสธข้อกล่าวหาของมัน แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือกับมันแต่โดยดีช่วยขุดหลุมฝังศพตัวเอง
“หลิงเทียน เจ้ากล้ากบฏต่อใต้เท้าจ้าวตำหนักต่อหน้าต่อตา! เจ้ามันมิมีคุณสมบัติอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้อีกต่อไป!!”
จ้าวเติงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าดุร้ายสะใจ วาจาที่กล่าวออกเต็มไปด้วยความชอบธรรม ราวกับมันกำลังผดุงความยุติธรรมอยู่
“รองจ้าวตำหนักจ้าว ข้าจะมีคุณสมบัติอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับหรือไม่ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้อยู่ในดุลยพินิจและการตัดสินใจของเจ้าไม่ใช่หรือไง… นอกจากนั้นข้ายังพูดไม่ทันจบ แต่เจ้ากลับใส่ร้ายข้าว่าทรยศบ้างล่ะ กบฏบ้างล่ะ นี่เจ้าจะไม่ใจเร็วด่วนได้เกินไปหน่อยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวขัดจ้าวเติงด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“เฮอะ! เป็นเจ้าพูดเองมิใช่หรือไงว่าไม่เห็นจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา! หรือเจ้าคิดว่ากล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมีคุณสมบัติอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับได้!?”
จ้าวเติ้งกล่าวเย้ย
“ฟังข้าพูดให้จบก่อนเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองจ้าวเติงด้วยสายตาไม่แยแส ก่อนที่จะหันไปมองเมิ่งฉิงด้วยสายตาลึกซึ้ง กล่าวออกด้วยวาจาน้ำเสียงฉะฉาน “ข้าไม่เห็นจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา แต่ข้านับถือจ้าวตำหนักอยู่ในใจ…หาไม่แล้วข้าคงไม่มอบ ‘ข้อมูลลับ’ อันสำคัญเช่นนั้นให้แก่จ้าวตำหนักหรอก!”
“จ้าวตำหนัก เรื่องนี้ท่านว่าจริงหรือไม่?”
กล่าวถึงประโยคนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ส่งยิ้มให้จ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิง
“วาจาที่กลับกลอกนัก!”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หน้าจ้าวเติงเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันใด มันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะนำเรื่อง ‘คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง’ มายกอ้างแบบนี้ ถึงแม้มันจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนให้ข้อมูลเรื่องนี้ก็ตาม!
“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว!”
อย่างที่จ้าวเติงคิดไว้ไม่มีผิด หลังได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน จ้าวตำหนักพลันหยุดการโต้เถียงออกมาด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวสืบต่อ “คำพูดย่อมเป็นเพียงคำพูด มิว่าผู้ใดล้วนพูดได้…บางคนเรียกหาข้าว่าใต้เท้า แต่ใจหาได้เคารพเห็นหัวข้าไม่…บางคนไม่ได้เรียกหาข้าเช่นนั้น ทว่ากลับปฏิบัติต่อข้าด้วยดียิ่งกว่าหลายๆคน”
ในวาจาที่เมิ่งฉิงกล่าวออก เห็นชัดว่ายอมรับคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน และเสมือนตบหน้าจ้าวเติงดังฉาด!
‘สารเลวเอ๊ย!’
จ้าวจี้เดิมทีคิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องโดนบิดามันทำขายหน้าแล้ว กระทั่งยังสามารถขับไล่ต้วนหลิงเทียนไปให้พ้นจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้ แต่ไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะยกอ้างเรื่อง ‘คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง’ ออกมาแบบนี้
มันย่อมรู้ดีว่าจ้าวตำหนักให้ความสำคัญเรื่องนี้เพียงใด
ด้วยความดีความชอบดังกล่าว จ้าวตำหนักย่อมไม่ปล่อยให้บิดามันขับไล่หลิงเทียนออกไปแน่นอน!
อย่างไรก็ตามถึงแม้มันจะรู้เรื่องนี้ดี แต่ในใจก็ยากจะยอมรับได้
“ข้อมูลลับ?”
“ข้อมูลลับที่ว่า นี่มันเรื่องอันใดกันหรือ?”
“หากพวกเรารู้ยังจะเรียกว่าข้อมูลลับหรือไม่? แต่ข้าคิดว่าสมควรเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญยิ่ง แม้ข้าจักมิรู้ว่ามันเป็นข้อมูลอะไรก็ตามที…”
……
ยกเว้นเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับและอาวุโสอีก 7 คน ก็มีเพียงต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ และจ้าวจี้เท่านั้นที่รู้ว่า ‘ข้อมูลลับ’ นี่มันคือเรื่องอะไร
คนอื่นย่อมไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้ที่แท้เป็นเรื่องอะไรกันแน่ และ ‘ข้อมูลลับ’ ที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกคืออะไร…
แต่ไม่ว่าจะอะไรยังไง สุดท้ายเรื่องตลกดังกล่าวก็จบลงด้วยดี แม้คนส่วนใหญ่จะยังรู้สึกอื้ออึงเหลือเชื่อ แต่มันก็จบลงเช่นนี้…
ขณะเดียวกันผู้ที่ลอบเหงื่อตกแทนต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
วู้ม! วุ้ม! วู้ม!
……
ทันใดนั้นพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน ความว่างเปล่าสูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือหัวผู้คน อยู่ๆกลับบังเกิดความเปลี่ยนแปลงพิสดาร! หมู่เมฆเคลื่อนออกพัลวัน…เผยให้เห็นช่องว่างอากาศน่ากลัวช่องหนึ่ง!
ในช่องว่างอากาศดังกล่าวยังคล้ายมีวังวนก่อตัวขึ้น!
เสียงยิ่งดังมากขึ้นเท่าไหร่ ช่องว่างที่คล้ายรอยแตกของท้องฟ้าก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แถมวังวนดังกล่าวก็ยิ่งหมุนคว้างด้วยความเร็วสูงขึ้นทั้งยังใหญ่โตขึ้น!
พริบตานั้นเองบังเกิดพลังดูดรั้งไร้สภาพขุมหนึ่งกำจายออกมาโอบคลุมทุกผู้คนเอาไว้ในฉับพลัน! ราวกับมันจะดูดกลืนผู้คนลงไป!!