WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1766
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1766
ตอนที่ 1,766 : การมาเยือนของกู่มี่
แดนลับเซียนนั้น ชั่วชีวิตของศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับล้วนมีโอกาสเข้าไปได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น…
นั่นเพราะช่วงเวลาระหว่างการเปิดออกแต่ละครั้งของแดนลับเซียนมันห่างกันมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่ศิษย์อายุน้อยกว่า 40 ปี จะเข้าไปในแดนลับเซียนได้ 2 ครั้ง…
ด้วยเหตุนี้จ้าวเติงจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบุตรชายของมันจะค้นพบมรดกเวทย์พลังระดับสูงในแดนลับเซียน กระทั่งเก็บสำนึกรู้ไว้ได้ไม่ขาดหล่น พอถึงเวลาที่เหมาะสมก็สามารถยกมาทำความเข้าใจได้อย่างแตกฉาน…
หากกระทำได้ เรื่องที่บุตรชายมันจะเป็นจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคนต่อไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
ทว่าตอนนี้พอจ้าววังเหลืองกล่าวขึ้นมา มันก็เป็นกังวลทันที!
ด้วยความขัดแย้งบาดหมางระหว่างลูกมันกับหลิงเทียน หากทั้งคู่เจอกันในแดนลับเซียนล่ะก็ หลิงเทียนที่กระทั่งตบหน้าลูกมันยังกล้า! คงไม่ใช่คนใจดีถึงขั้นละเว้นชีวิตลูกมัน…มิวายต้องฆ่าลูกมันทิ้งทันทีแน่!
และเมื่อลูกชายมันตกตายในแดนลับเซียน ถึงแม้จะไม่ใช่การตกตายจริงๆ ทว่าลูกมันก็จะถูกเตะออกจากแดนลับเซียน และสูญเสียโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่จะได้สืบทอดมรดกเวทย์พลังไว้ทำความเข้าใจ…!
นั่นเป็นอะไรที่มันไม่อยากจะเห็น!
เช่นนั้นสีหน้าของจ้าวเติงจึงเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก ยังกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน “หากมันกล้าทำอะไรจนส่งผลให้ลูกข้าพลาดโอกาสสืบทอดมรดกเซียนไว้ทำความเข้าใจเพราะความแค้นส่วนตัวล่ะก็…ตระกูลจ้าวของข้าไม่มีวันละเว้นมันแน่!!”
จ้าวเติงตอนนี้คล้ายคนไร้เหตุผลไปโดยสิ้นเชิง ยังถึงขั้นลืมเลือนไปว่าจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิง ก็ลอยร่างอยู่ไม่ห่าง!
“เหอะ!”
ดั่งคาดพอสิ้นคำจ้าวเติง เมิ่งฉิงก็สบถคำออกมาเสียงเย็น สองตาเผยประกายเฉียบคมหันไปจับจ้องมองร่างจ้าวเติงเขม็งทันที “รองจ้าวตำหนักจ้าว…อย่าได้ลืมเลือนกฏในแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา! ในแดนลับเซียนอนุญาตให้ศิษย์ฆ่ากันได้ เพราะพวกเรามิรู้ว่ามีเรื่องใดบังเกิดขึ้นข้างใน!”
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครทราบได้ว่าจะมีบุคคลที่ 3 อยู่ในเหตุการณ์หรือไม่ ยามคน 2 คนปะทะกันในแดนลับเซียน
และหากมีสถานการณ์เช่นนั้นจริง ถึงสุดท้ายจะโดนศิษย์ร่วมตำหนักกำจัดออกมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าสามารถใส่ร้ายป้ายสีกันได้หรือ?
ถึงแม้ว่าผู้ที่ถูกฆ่าจะสามารถกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องน่าละอายอย่างถึงที่สุด…เพราะต่อให้กล่าวคำสาบานออกไปจนรู้ตัวผู้กระทำผิดแล้วอย่างไร จะให้ตำหนักลงโทษผู้ที่ได้มรดกเวทย์พลังไปครองเพื่อผู้อ่อนด้อยไร้มรดก? เช่นนั้นทำแบบนั้นนอกจากทำให้ตัวเองดูเหมือนคนอ่อนด้อยไร้สามารถแล้ว ยังเป็นการทำให้ตำหนักอาจเสียคนเก่งที่ถือครองมรดกเวทย์พลังไปอีก!
นอกจากนั้นการถูกฆ่าในแดนลับเซียนยังไม่ใช่การตายจริงๆ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นตำหนักฟ้าลี้ลับหรือขุมพลังกึ่งชั้น 3 อื่นใด ก็อนุญาตให้ฆ่ากันได้ในแดนลับเซียน
ผู้ที่ถูกเตะออกจากแดนลับเซียนก็ได้แต่โทษตัวเองที่มีฝีมืออ่อนด้อยเองเถอะ!
เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้ที่ถูกผู้อื่นฆ่าจนต้องถูกขับออกจากแดนลับเซียน…นั่นหมายความว่าเป็นคนที่อ่อนแอกว่า! คนที่อ่อนแอย่อมมีโอกาสได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลัง ทั้งทำความเข้าใจในเวทย์พลังในภายหลังได้น้อยกว่าผู้ที่แข็งแกร่งกว่าแน่นอน!!
“ท่านจ้าวตำหนัก ข้ากล่าวผิดไปแล้ว!”
ได้ยินเสียงแค่นตำหนิเย็นชาของเมิ่งฉิง จ้าวเติงเร่งโค้งขมาทันที เม็ดเหงื่อยังผุดซึมออกมาทั่วร่าง!
“ถึงแม้บุตรชายไม่เอาไหนของข้าจักถูกหลิงเทียนฆ่าตายจนถูกขับออกจากแดนลับเซียน ก็กล่าวได้ว่าเป็นมันพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่าผู้อื่นเขา…ข้าและตระกูลจ้าวของข้า ย่อมไม่คิดแค้นกระทั่งลงมือทำอันใดผู้อื่น…”
จ้าวเติงรีบกลับคำพูดทันที
“ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้ตามที่พูด”
เมิ่งฉิงมองจ้าวเติงด้วยสายตาเฉยชา ทำให้จ้าวเติงรู้สึกเสมือนนั่งอยู่บนแพเข็ม พาลให้กระสับกระส่าย
ช่วงเวลา 3 เดือนนับเป็นช่วงเวลาสั้นๆของเหล่าอาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับ
ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้รีบร้อนจากไปที่ใด เพียงนั่งขัดสมาธิกลางอากาศและเข้าฌาณรอคอยการออกมาจากแดนลับเซียนของเหล่าศิษย์อย่างเงียบงัน
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านพ้นไป 3 วัน และในช่วง 3 วันนี้ก็ยังไม่มีศิษย์คนไหนถูกขับออกมาจากแดนลับเซียนเลยแม้แต่คนเดียว
“ท่านจ้าวตำหนัก”
ทันใดนั้นพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแต่ไกล เป็นร่างชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
ชายชราที่ว่า มันก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในตำหนักฟ้าลี้ลับ…
อาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับคนนี้ เป็นอาวุโสที่ได้รับมอบหมายให้ตรวจตราเรื่องราวทั่วไปในตำหนักหลักช่วงนี้ และการที่มันมาโผล่ที่นี่ได้ หมายความว่าสมควรมีเรื่องสำคัญแน่นอน!
ดังนั้นไม่เพียงแต่เมิ่งฉิน กระทั่งอาวุโสคนอื่นๆของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ลืมตาขึ้นมา จับจ้องมองไปที่มันด้วยความสงสัยทันที
ถึงแม้มันจะเป็นอาวุโสคนหนึ่งของตำหนักฟ้าลี้ลับ อนิจจาคนที่อยู่ ณ ที่นี้นอกจากกู่ลี่แล้ว ไม่มีใครที่ไม่มีฐานะสูงส่งกว่ามันเลย โดยเฉพาะจ้าวตำหนัก!
ต่อหน้าตัวตนระดับสูงของตำหนัก มันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง!
“เรียนท่านจ้าวตำหนัก…มีคนของตำหนักเมฆาครามมาเยือนพวกเรา”
เผชิญหน้ากับสายตาของระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับ รวมถึงจ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิง ชายชราผู้ที่พึ่งมาถึงก็เร่งรุดกล่าวรายงานเรื่องราวออกไปทันที
“หืม? ตำหนักเมฆาคราม?”
ได้ยินคำรายงาน ไม่เพียงเมิ่งฉิงถึงกับขมวดคิ้ว คนอื่นๆยังอดไม่ได้ที่จะหยีตาทันใด!
ตำหนักเมฆาครามนั้นเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ดุจเดียวกับตำหนักฟ้าลี้ลับ!
บางทีในอดีตที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของตำหนักเมฆาครามอาจจะไม่ได้แตกต่างจากตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกมันเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามในวันนี้ ความแข็งแกร่งของตำหนักเมฆาครามได้สะกดข่มพวกมันโดยสมบูรณ์ ถึงขั้นที่เทียบได้กับตลาดมืดหยินชาน!
ทั้งหมดนี้เพียงเพราะตำหนักเมฆาครามปรากฏจ้าวตำหนักคนใหม่ ที่มีพลังอำนาจปานปีศาจ!
ภายใต้การนำพาของจ้าวตำหนักคนใหม่ ตำหนักเมฆาครามได้ผงาดขึ้นมาด้วยความเร็วอันน่ากลัว ถึงขั้นสามารถคานอำนาจกับตำหนักมืดหยินชานได้ในเวลาไม่กี่ปี!
และตั้งแต่ที่ตำหนักเมฆาครามปรากฏจ้าวตำหนักคนใหม่ อีกฝ่ายก็ไม่เคยมาเยือนพวกมันเลย ด้วยเหตุนี้จ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิง และอาวุโสทั้งหลายของตำหนักฟ้าลี้ลับจึงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
ไฉนอยู่ดีๆคนของตำหนักเมฆาครามจึงมาหาพวกมันได้?
นอกจากนั้นยังเลือกมาในเวลานี้…
“ผู้มาเป็นใคร?”
เมิ่งฉิง มองจี้ไปยังอาวุโสที่เข้ามารายงาน กล่าวถามเสียงเรียบ
“เป็น กะ…กู่มี่!”
ในขณะที่อาวุโสดังกล่าวพูดนามของผู้มาเยือน น้ำเสียงมันสั่นขึ้นมาทันที
กู่มี่!
ได้ยินคำที่พ้นลำคอของอาวุโสดังกล่าว เว้นแต่เมิ่งฉิงที่เพียงขมวดคิ้วเป็นปม คนอื่นๆถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที!
กู่มี่นั้นเป็นคนที่มีหน้ามีตาในตำหนักเมฆาครามนัก ยังเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘คู่คนฟ้าพิสดาร’ ร่วมกันกับยอดฝีมืออีกคนของตำหนักเมฆาคราม เป็นดั่งมือซ้ายมือขวาของจ้าวตำหนักเมฆาคราม!
ในแง่ของพลังฝีมือแล้ว กู่มี่กับยอดฝีมืออีกคนหนึ่งที่เรียกว่า หรงหยวน ของตำหนักเมฆาคราม ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 คนของตำหนักฟ้าลี้ลับเลย…กระทั่งยังเหนือกว่าด้วยซ้ำ!
การที่กู่มี่แห่งตำหนักเมฆาครามมาด้วยตัวเองแบบนี้ น่ากลัวว่าต้องมีเรื่องสำคัญไม่น้อย!
เรื่องนี้เมิ่งฉิงกับคนอื่นๆ ก็พอตระหนักได้
“เจ้าไปเชิญมันมาที่นี่เถอะ”
เมิ่งฉิงมองกล่าวไปยังอาวุโสที่มารายงาน
หากเป็นจ้าวตำหนักเมฆาครามมาเอง เมิ่งฉิงย่อมออกไปต้อนรับเป็นการส่วนตัว
อย่างไรก็ตามครั้งนี้เป็นกู่มี่ที่มา นับว่ายังไม่มีคุณสมบัติพอให้มันออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง!
“ทราบ”
อาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับคนดังกล่าวรับคำแล้วเร่งรุดจากไป
หลังจากที่ชายชราดังกล่าวออกไปไปแล้ว นอกจากเมิ่งฉิง อาวุโสคนอื่นๆของตำหนักเมฆาครามอดไม่ได้ที่จะสนทนากันเสียงเครียด
“กู่มี่แห่งตำหนักเมฆาครามนั่นเป็นตัวอำมหิตฝีมือร้ายกาจ…มันมาตำหนักฟ้าลี้ลับของเราเพื่อทำอันใดกันแน่?”
“ในตำหนักเมฆาคราม ฐานะของกู่มี่กับหรงหยวนเทียบได้กับอาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา…มันมาเยือนตำหนักฟ้าลี้ลับเราด้วยตัวเอง สมควรต้องมีเรื่องสำคัญ…”
“แต่หลายปีมานี้ตำหนักฟ้าลี้ลับเรากับตำหนักเมฆาครามของพวกมัน ก็มิเคยข้องเกี่ยวกันเลย…ไฉนวันนี้มันถึงมาได้?”
……
ในขณะที่อาวุโสกำลังสนทนากันนั้น น้ำเสียงของพวกมันแฝงเร้นไว้ด้วยความกลัว..
กระทั่งจูลู่ฉีที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกมัน ยังอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวยามเอ่ยถึงกู่มี่
ถึงแม้มันกับกู่มี่จะเป็นคนในรุ่นเดียวกัน หากแต่ชื่อเสียงและวีรกรรมของอีกฝ่าย ยามมันได้ฟังคราใด ก็อดไม่ได้ที่จะหนาวไปถึงไขสันหลัง !
ในตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกมัน น่ากลัวว่าจะมีเพียงจ้าวตำหนักของพวกมันคนเดียวเท่านั้นที่สยบกู่มี่ได้!
ไม่นานอาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับที่เร่งรุดจากไปก็ย้อนกลับมาพร้อมชายชราร่างผ่ายผอมคนหนึ่งที่มาในชุดคลุมลมดำ
ยามชายชราผอมแห้งในชุดคลุมลมดำนี้ปรากฏตัว บรรยากาศโดยรอบคล้ายจะเย็นเยือกลงทันใด
ยกเว้น เมิ่งฉิง จ้าวตำหนักเมฆาครามแล้ว คนอื่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนมีไอเย็นขุมหนึ่งแล่นวาบไปจับไขสันหลัง นั่นเพราะกลิ่นอายพลังที่กำจายออกมาจากร่างชายชราในชุดคลุมลมดำมันหนักเกินไป…หนักหนาจนพวกมันทานทนรับแทบไม่ไหว!
“กู่มี มิได้พบจ้าวตำหนักเสียนาน”
ชายชราในชุดคลุมลมดำโค้งตัวทั้งพยักหน้าเบาๆให้เมิ่งฉิงกล่าวคำทักทาย
“ผู้เฒ่ากู่ นับว่าพลังฝีมือของท่านก้าวหน้าจากครั้งก่อนที่พวกเราพบกันมิน้อย…”
เมิ่งฉิงมองชายชราในชุดคลุมลมดำ ในแววตาเผยประกายประหลาดใจออกมา
“จ้าวตำหนักล้อข้าเล่นแล้ว แม้ข้าจะก้าวหน้าขึ้นมาแต่ยังนับว่าห่างไกลจากท่านนัก”
ชายชราในชุดคลุมลมดำ กู่มี่ ของตำหนักเมฆาคราม เพียงยืนอยู่เฉยๆ ก็แผ่กลิ่นอายพลังกดดันอันน่ากลัวออกมา
มีเพียงเมิ่งฉิงคนเดียวที่สามารถเพิกเฉยพลังกดดันนี้ได้
“มิทราบลมอันใดหอบผู้เฒ่ากู่มาถึงตำหนักฟ้าลี้ลับของข้าได้เล่า?”
เมิ่งฉิงกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
กู่มี่มาคนเดียวมันอาจไม่เห็นอยู่ในสายตา ทว่าด้วยตำหนักเมฆาครามที่หนุนหลังอีกฝ่ายอยู่ ถึงแม้มันจะมีตำหนักฟ้าลี้ลับหนุนหลังอยู่เช่นกัน แต่มันก็ไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่ายแม้แต่น้อย!
ทำให้ยามเผชิญหน้ากับกู่มี่มันก็ยังมากมารยาทไม่กล้าเพิกเฉย
“ท่านจ้าวตำหนัก…ข้ารู้ว่าท่านเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดอ้อมค้อม…ข้ามาที่นี่เพื่อพบศิษย์ใหม่คนหนึ่ง…ที่พึ่งเข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับของท่าน”
กู่มี่ไม่ได้อ้อมค้อมอะไร กล่าวออกมาตรงๆ
“ศิษย์ใหม่รึ?”
เมื่อวาจานี้ของกู่มี่ดังออก ทำให้เมิ่งฉิงและคนอื่นๆอึ้งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานในใจของพวกมันก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา…
เจ้าของร่างดังกล่าวไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก ต้วนหลิงเทียน!
แน่นอนว่าในสายตาของเมิ่งชิงและอาวุโสคนอื่นๆของตำหนักฟ้าลี้ลับ เจ้าของร่างดังกล่าวเรียกว่า ‘หลิงเทียน’
“ผู้เฒ่ากู่…หรือท่านมาที่นี่เพื่อพบหลิงเทียน?”
เมิ่งฉิงกล่าวถามอย่างตรงไปตรงมา
“เป็นเช่นนั้น”
กู่มี่ตอบ
“ข้าทราบได้หรือไม่ ว่าผู้เฒ่ากู่มาหาหลิงเทียนเพื่ออันใด?”
เมิ่งฉิงกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
อันที่จริงเมิ่งฉิงยังรู้สึกว่าคำถามนี้ของมันออกจะเกินจำเป็นไปบ้าง อีกฝ่ายเป็นดั่งมือขวามือซ้ายของจ้าวตำหนักเมฆาคราม ไม่พ้นมาเพื่อนำตัวหลิงเทียนกลับไปตำหนักเมฆาครามเป็นแน่!