WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1767
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1767
ตอนที่ 1,767 : อริหนทางคับแคบ
“จ้าวตำหนักเมิ่งและทุกคนในที่นี้…หากข้าเดามิผิดพวกท่านต้องกำลังคิดว่าข้ามาเพื่อดึงตัวคนตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกท่านไปใช่หรือไม่?”
ทันใดนั้นกู่มี่พลันกล่าวออกมาโต้งๆ เห็นชัดว่าเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ชมชอบปกปิดอะไร
“แล้วมิใช่เช่นนั้นหรือไร?”
คราวนี้เมิ่งฉิงจ้าวตำหนักยังไม่ทันกล่าวคำใด จูลู่ฉี จ้าววังนนภาพลันกล่าวถามออกมาก่อน น้ำเสียงแววตายังแลดูประชดประชันอย่างเห็นได้ชัด
ต้องทราบด้วยว่าหลิงเทียนเป็นคนวังนภาของมัน! คิดดึงคนของมันไป ต้องถามมันก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่!!
“ย่อมไม่”
เผชิญหน้ากับท่าทางประชดประชันของจูลู่ฉี กู่มี่เพียงหัวเราะออกมา หันไปว่ายตามองทุกคนอย่างจริงจัง ค่อยกล่าวออกเสียงเรียบ “ข้ามาที่นี่เพื่อพบหน้าอัจฉริยะของตำหนักฟ้าลี้ลับเท่านั้น! โปรดให้ข้าสมปรารถนาด้วย และตราบใดที่ข้าได้เห็นคนแล้ว ข้าจะกลับไปทันที!”
“กู่มี่ด้วยฐานะสูงส่งของเจ้าในตำหนักเมฆาคราม ปกติพวกเราย่อมเชื่อคำพูดนี้ของเจ้า…หากแต่ถ้าเป็นเรื่องของหลิงเทียนพวกเราเองก็ต้องระวังเอาไว้ เจ้ากล่าวว่ามาเพื่อพบหน้าหลิงเทียนสักครั้ง…แต่พวกเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเจ้าจักไม่ส่งเสียงไปยื่นข้อเสนอชักชวนหลิงเทียน เพื่อดึงตัวเขาไปเข้าร่วมตำหนักเมฆาคราม?”
วาจาของจูลู่ฉีนั้น ไม่มีความสุภาพเหลืออยู่อีกเลย
เพราะตอนนี้ไม่มีเหตุผลที่มันต้องสุภาพ!
ได้ยินวาจาของจูลู่ฉี กู่มี่เพียงพ่นลมออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ พาลให้บรรยากาศโดยรอบคล้ายเย็นลงทันตาเห็น “ข้ากู่มี่เปิดเผยจริงใจ ยังรังเกียจการกระทำลับๆล่อๆเช่นนั้นเป็นที่สุด!”
“ขอผู้เฒ่ากู่อย่าได้มีโมโหไป…ลู่ฉีเสียมารยาทเพราะมิรู้จักท่าน!”
เมิ่งฉิงเร่งกล่าวแก้สถานการณ์ออกมาทันที แม้มันจะไม่ได้หวาดกลัวกู่มี่ แต่มันต้องกลัวมหาอำนาจที่หนุนหลังกู่มี่อย่างตำหนักเมฆาคราม!
“ผู้เฒ่ากู่ แขกจากแดนไกลเช่นท่านมาเยือนพวกเราทั้งที ปกติข้าสมควรต้อนรับท่านอย่างดี…อย่างไรก็ตามช่วงนี้ข้ามิอาจออกไปที่ใดได้ชั่วคราว ผู้เฒ่ากู่สมควรรู้ดีว่าแดนลับเซียนของพวกเราพึ่งเปิดไปเมื่อ 3 วันที่แล้ว…หากท่านคิดเห็นคนเช่นนั้นต้องรออีก 3 เดือนแดนลับเซียนของพวกเราถึงจะปิดตัว และระหว่างนั้นพวกเราเองก็ต้องอยู่ที่นี่…คงมิอาจดูแลท่านให้เหมาะสมได้”
เมิ่งฉิงกล่าวออกมาอีกครั้ง
“มิต้องรับรองต้อนรับอันใดข้าหรอก เพียงให้ข้าเฝ้ารอเห็นหน้าหลิงเทียนสักครั้งก็พอ”
กู่มี่วางแผนอยู่ที่นี่กับเมิ่งฉิงและคนอื่นๆ
“เจ้า…”
ได้ยินวาจาของกู่มี่ สีหน้าจูลู่ฉีมืดคล้ำลงทันใด มันคิดกล่าวอะไรออกมาทว่าจำต้องหยุดลงเพราะเมิ่งฉิงส่งสายตามาเสียก่อน
เมิ่งฉิงยังส่งเสียงกล่าวกับจูลู่ฉีทันที “เจ้าสมควรเคยได้ยินเรื่องของหลิงเทียนมาแล้ว…เจ้าหนุ่มนั่นมีอาจารย์รอคอยอยู่ภูมิภาคเบื้องบน และมิอาจรั้งอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างได้นาน… แม้จักออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเราไปเข้าร่วมตำหนักเมฆาคราม ก็มินับว่าเสียหายอันใดมาก อีกทั้งพวกเรายังมีโอกาสได้สร้างสัมพันธ์อันดีกับเขาอีกด้วย…”
“สหายน้อยนั่น…จะอย่างไรก็สัตย์ซื่อจริงใจ”
เมิ่งฉิงย่อมส่งคนไปยืนยันข่าวลือมาแล้ว จึงได้ทราบว่าข่าวลือทั้งหมดมาจากเริ่นเฟยคนของคฤหาสน์ข้ามฟ้า…
นอกจากนี้ยังได้ทราบว่าต้วนหลิงเทียนคิดช่วยเหลือเริ่นเฟยในแดนลับเซียน เพื่อตอบแทนบุญคุณแทนลี่เฟิง ที่เคยถูกอาวุโสของคฤหาสน์ข้ามฟ้ากับคฤหาสน์คลื่นคลั่งช่วยเหลือเอาไว้…
น่าเสียดายที่เริ่นเฟยพลังฝีมืออ่อนด้อยเอง จึงมิอาจชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมาได้ พลาดโอกาสได้รับความช่วยเหลือจากต้วนหลิงเทียนที่คิดจะช่วยให้ได้รับมรดกเวทย์พลัง กระทั่งเวทย์พลังระดับสูง!
ได้ยินเสียงของเมิ่งฉิง จูลู่ฉีก็เงียบไปไม่กล่าวอะไรอีก
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเฝ้ารอศิษย์ทั้ง 30 คนของตำหนักฟ้าลี้ลับเพิ่มมาอีกคน…
ด้านต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้เลยว่าตอนนี้ หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของบิดาตัวเองอย่าง ‘กู่มี่’ ได้มาถึงตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว และกำลังรอพบเขาอยู่พร้อมกับเมิ่งฉิงกับคนอื่นๆ
“นี่มันก็ 3 วันเข้าไปแล้ว…ข้าได้เจอคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้น แถมยังไม่เจอคนของวังนภาสักคน…”
หลังจากผ่านไป 3 วันในแดนลับเซียน มีสัตว์ร้ายตายตกด้วยน้ำมือของต้วนหลิงเทียนเป็นเบือ นอกจากนี้เขายังเจอของดีๆหลายอย่าง แต่เขาคร้านจะสนใจอะไรพวกมันมาก ทั้งยังพกพายุ่งยากลำบากเลยไม่ได้หยิบติดมือมาด้วย
เพราะตอนนี้เขามาตัวเปล่า แหวนพื้นที่อะไรก็ไม่มี เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ไม่อยู่…
เช่นนั้นไม่ว่าจะเจอของดีอันใด คิดเก็บกลับมาก็ต้องหอบหิ้วถือเอา…และแน่นอนว่าการมาเป็น ‘ไอ้บ้าหอบฟาง’ หิ้วของพะรุงพะรังในแดนลับเซียนย่อมไม่ค่อยสะดวก…
“หืม?”
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนคล้ายจับสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างไกลๆ เขาพลันมองออกไปไกลสุดสายตาทันที จึงได้เห็นร่างที่กำลังเหินพุ่งตัดฟ้ามาฉับไว โดยมีอีกคนที่กำลังเหาะมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน…
หลังจากที่ทั้ง 2 คนพบกัน ก็คล้ายจะสนทนาอะไรกันบางอย่าง ท่าทางแลดูกำลังจะตกลงเรื่องราวบางประการ
หลังจากนั้นผู้ที่เหาะมาไม่รีบไม่ร้อนตอนแรก ก็คล้ายยอมรับข้อเสนอ จึงเหินร่างติดตามคนที่เร่งรุดเหาะมาอย่างรีบร้อนคนแรกทันที
ด้วยความที่พวกมันอยู่ห่างไกลจากต้วนหลิงเทียนมาก จึงไม่อาจสัมผัสได้ถึงต้วนหลิงเทียนได้เลย และที่ต้วนหลิงเทียนสามารถเห็นพวกมันที่อยู่ไกลตาได้แบบนี้ เพราะเขาเปิดใช้ความสามารถของ ม่านตาพิสดาร!
ม่านตาพิสดารนั้น หากใช้ความสามารถมองไกลเป็นเวลาสั้นๆ ย่อมไม่ได้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณอะไรมากมาย
“เจ้านั่นดูเหมือนจะพบอะไรบางอย่าง…”
ต้วนหลิงเทียนที่เห็นสีหน้าอาการไม่ปกติของผู้ที่เหาะมาอย่างรีบร้อนตอนแรกก็บังเกิดความอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย เขาจึงเหินร่างตามพวกมันไปทันที ด้วยอยากรู้ว่าพวกมันจะไปไหนกัน…
ตอนแรกการตามพวกมันไปก็ไม่มีอะไรหวือหวา ทว่าผ่านไปพักหนึ่งเขาก็พบว่ามีสัตว์ร้ายตัวเขื่องพุ่งแหวกก้อนเมฆออกมา หมายโฉบทำร้ายเขา!
เหลือบมองเพียงครั้งด้วยเนตรเทวะ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่านกตัวใหญ่นี่เป็นเพียงสัตว์ร้ายเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเท่านั้น
“ซวยฉิบ…ข้าโดนเจอตัวแน่…”
เมื่อต้องลงมือสังหารนกตัวเขื่องนั่น ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่า 2 คนที่อยู่ข้างหน้าไม่พ้นต้องรู้ตัว และหันกลับมาความเคลื่อนไหวเมื่อครู่แน่นอน…
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พวกมันหันกลับมาเห็นตอนเขาฆ่านกประหลาดตัวเขื่องจริงๆ…
ในเมื่อพวกมันรู้ตัวแล้วเขาก็ไม่คิดหลบๆซ่อนๆอะไรอีก เร่งเหินร่างเข้าไปหาพวกมันทันที
“หลิงเทียน!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกำลังเหาะมาแต่ไกล ลูกตาทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง พวกมันคิดว่าจะได้พบสหายที่อาจร่วมกลุ่มด้วยกันได้…แต่ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะพบเจอ ‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนี้แทน!
ต่อให้พวกมันร่วมมือกันกับใครในแดนลับเซียน ก็คงไม่อาจเทียบกับการร่วมมือกับคนเบื้องหน้าได้…
อนิจจาด้วยพลังฝีมือของคนเบื้องหน้าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับพวกมันสักนิด…
“พวกเจ้าเจออะไรงั้นรึ?”
เมื่อเหาะมาถึงเบื้องหน้าทั้งคู่ ต้วนหลิงเทียนก็หรี่ตามอง จี้ถามพวกมันออกมาทันที
“ไม่ / ไม่เจอ!”
เมื่อได้ยินคำถามทั้งสายตามองจี้ของต้วนหลิงเทียน พวกมันทั้งคู่ก็แลดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ แต่ก็ยังอุตส่ากล่าวตอบปฏิเสธออกมาได้อย่างพร้อมเพรียง…
ล้อกันเล่นหรือไร?
หากให้หลิงเทียนรู้ว่าพวกมันพบเจออะไรมา น้ำแกงสักถ้วยยังจะเหลือให้พวกมันซดดื่มอีกหรือ?
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรกับคำตอบของทั้งคู่ ทั้งยังไม่ได้เผยสีหน้าโกรธเคืองอะไร เพียงส่งยิ้มกลับไปบางๆกล่าวออกเสียงเรียบ “ถ้างั้นข้าส่งพวกเจ้าออกไปข้างนอกเลยแล้วกัน…”
ตอนแรกพอพวกมันเห็นต้วนหลิงเทียนยิ้ม ก็คิดว่าจบเรื่องแล้ว
อย่างไรก็ตามพวกมันไม่ทันได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พวกมันก็ได้ยินต้วนหลิงเทียนพูดขึ้นมาอีกครั้ง และนั่นทำให้สีหน้าของพวกมันซีดเขียวลงทันใด!
ส่งออกไปข้างนอกหรือ?
ความหมายในวาจาของต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า…ฆ่าพวกมันทิ้ง และส่งพวกมันออกไปจากแดนลับเซียน!!
ถ้าพวกมันถูกส่งออกไป…นั่นหมายความว่าพวกมันหมดโอกาสได้รับสิ่งดีๆในแดนลับเซียนทั้งหมด! โดยเฉพาะมรดกเวทย์พลัง! พวกมันก็คงไร้วาสนาได้รับอีกต่อไป!!
“เอ่อ หลิงเทียนพอดีพวกเราจำผิดน่ะ…พวกเราพึ่งเจออะไรบางอย่าง”
ครู่ต่อมาทั้งสองคนก็หันมามองสบตากันและแลเห็นสายตาอับจนของกันและกัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเร่งกล่าวออกมาเสียงอ่อนด้วยรอยยิ้มขมขื่น เร่งกล่าวคำแก้สถานการณ์ออกมาทันที
“อ้อ…แล้วพวกเจ้าเจออะไรมางั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“มันเป็นสถานที่ๆประหลาดนัก คล้ายจะมีค่ายกลหลายชุดจัดตั้งเอาไว้…ข้าคิดว่าสมควรมีมรดกเวทย์พลังอยู่ด้านใน”
ชายคนเดิมกล่าวออกอีกครั้ง
“มรดกเวทย์พลัง?”
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ จากนั้นค่อยมองทั้งคู่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นำทางไป”
“ดะ…ได้”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงปกติ แต่พวกมันทั้งคู่ก็รู้สึกกดดันนัก! เพราะพวกมันรู้ดีว่าคนเบื้องหน้าไม่ใช่คนใจดี!!
เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากการที่อีกฝ่ายกล้าตบหน้าจ้าวจี้ต่อหน้าผู้คน!
จ้าวจี้เป็นใคร!
บุตรชายคนเดียวของรองจ้าวตำหนักจ้าว!
หลานชายของอาวุโสผู้พิทักษ์จ้าว!
ในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้ จ้าวจี้นับเป็นผู้ทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งในรุ่นแน่นอน!
ทว่าคนที่ทรงอิทธิพลอันดับ 1 ในรุ่น กลับถูกชายเบื้องหน้าตบซ้าบตบขวาจนหน้าบวมท่ามกลางผู้คนมากมาย! เผยให้เห็นชัดแล้วว่าอีกฝ่ายโหดแค่ไหน!!
เผชิญหน้ากับคนโหดเหี้ยมเช่นนี้พวกมันยังเหลือหนทางเลือกอื่นใดอีกนอกจากยอม?
เช่นนั้นพออีกฝ่ายให้พวกมันนำทาง พวกมันก็ไม่กล้ามีโทสะทั้งคิดเล่นลูกไม้ใดๆทั้งสิ้น เพราะพวกมันรู้ดีว่าถ้าพวกมันกล้าเล่นลูกไม้อะไร พวกมันอาจถูกอีกฝ่ายฆ่าเอาง่ายๆ จนมีอันต้องถูกขับออกไปจากแดนลับเซียน….
และนั่นไม่ใช่อะไรที่พวกมันอยากจะเห็น!
“เจ้ารู้เห็นอะไรมา พูดออกมาให้หมด”
ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยออกมาเบาๆ
“ตอนนี้ข้าสมควรเป็นคนเดียวที่พบสถานที่แห่งนั้น…ข้าเข้าไปที่นั่นได้ไม่ทันไรข้าก็เจอกับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่มีพลังฝีมือขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเข้ามากลุ้มรุมถึง 3 ตัว อีกทั้งไม่รู้พวกมันทำได้อย่างไรแต่ดูเหมือนพวกมันจะผนึกกำลังกันได้! ข้าสู้มันไม่ไหวก็เลยรีบหนีทันที…”
ชายคนหนึ่งกล่าวเล่าออกมา “หลังจากที่หนีมาได้ ข้าก็พยายามตามหาคนรอบๆเพื่อดูว่าจะมีใครยินดีร่วมมือกับข้าบ้าง…จากนั้นข้าก็ได้เผิงเฉิน และพอดีว่าเผิงเฉินเองก็เป็นคนของวังลี้ลับเหมือนข้า แถมพลังฝึกปรือพวกเราก็ทัดเทียมกัน ข้าจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเพื่อขอความร่วมมือทันที”
ขณะที่เล่าถึงจุดนี้มันก็หันไปมองชายหนุ่มข้างๆ ก่อนที่จะหันกลับมามองต้วนหลิงเทียนทั้งกล่าวแนะนำตัว “ส่วนข้าเรียกว่า หูรุ่ย เป็นศิษย์วังลี้ลับเช่นกัน…”
“อ๊ะ? นั่นมันจ้าวจี้มิใช่หรือ?”
ในขณะที่หูรุ่ยกล่าวแนะนำตัว เผิงเฉินพลันแลเห็นอะไรบางอย่างไกลตา จนอึ้งไปพักหนึ่งค่อยกล่าวอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นมันก็หันมองมาทางต้วนหลิงเทียนตามสัญชาตญาณ ครุ่นคิดไปในใจอย่างหวั่นๆ ‘หลิงเทียนคงไม่ฆ่าจ้าวจี้หรอกนะ?’
และพอคิดถึงจุดนี้ใจมันก็อดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้านไปทันใด
“หืม? จ้าวจี้?”
เมื่อเผิงเฉินอุทานออกมา ทั้งมองไปทิศทางหนึ่งแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ย่อมหันมองตามสายตามันไปตามสัญชาตญาณ…
เห็นเป็นร่างจ้าวจี้กำลังเหินมาแต่ไกล!
และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเห็นจ้าวจี้ อีกฝ่ายก็เห็นเขาทันที แววตาสีหน้ายังคล้ายตื่นตระหนกเสียขวัญ จ้าวจี้ยังอดอุทานออกมาในใจด้วยความหวาดกลัวไม่ได้ ‘ฉิบหาย! เจอผู้ใดไม่เจอไฉนข้าต้องเจอมันด้วย!!’
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียน จ้าวจี้ไม่คิดอะไรให้มากความสิ่งแรกที่มันคิดได้คือต้องรีบหนีทันที!!
‘ระยำเอ๊ย! ไฉนข้าถึงได้ซวยนัก! แดนลับเซียนกว้างใหญ่ไพศาล แต่แค่ 3 วันข้ากลับเจอตัวบัดซบนี่ได้!’
ในขณะที่เร่งรุดหลบหนี จ้าวจี้ทั้งหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อและวิตกกังวลอย่างหนัก!