WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1768
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1768
ตอนที่ 1,768 : จ้าวจี้ ผู้ทำลายสถิติ!
เมื่อเห็นจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปตาปริบๆ ในใจครุ่นคิดไปอย่างตะลึง ‘พับผ่าเถอะ! โลกมันแคบจริงๆ!!’
หลังจากที่เข้ามาแดนลับเซียนได้ 3 วัน คนที่เขาเจอบอกเลยว่ามีไม่ถึง 10 คน! แต่ในบรรดาไม่ถึง 10 ที่ว่ากลับมีจ้าวจี้เสียอย่างนั้น!!
ถึงแม้เข้าจะไม่อยากยอมรับมากเพียงใด แต่ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับ ว่าเขามีชะตาต้องกันกับจ้าวจี้ไม่น้อย…!
หาไม่แล้วเขาจะพบกับจ้าวจี้ในแดนลับเซียนอันกว้างใหญ่ไพศาลรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?
“คิดหนีงั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าจ้าวจี้กำลังเหินร่างหนีหน้าตั้งสุดชีวิต ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกตัว มุมปากอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มดั่งแมวที่เห็นหนูในสายตา…
ต้องบอกเลยว่าจ้าวจี้มันเร็วใช้ได้
แต่มันจะเร็วกว่าเขาไหมเล่า?
จ้าวจี้จะให้พูดยังไงมันก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น!
เพียงเวลาชั่วพริบตา ร่างจ้าวจี้ก็พุ่งหายลับไปจากสายตาเผิงเฉินและหูรุ่ย
อย่างไรก็ตามในสายตาของต้วนหลิงเทียนที่มีม่านตาพิสดาร ร่างของจ้าวจี้ยังชัดแจ่มแจ้ง คล้ายห่างกับเขาไม่กี่ก้าวเท่านั้น…
“พวกเจ้า 2 คนรอข้าอยู่ตรงนี้…หากกล้าหนีไปไหน พวกเจ้าก็รอรับผลที่จะตามมาได้เลย…”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวกับหูรุ่ยและเผิงเฉินอย่างไม่แยแส ก่อนร่างจะไหววูบ พุ่งไล่ตามจ้าวจี้ไปด้วยความเร็วสูงล้ำ!
เผิงเฉินกับหูรุ่ยไม่ทันรู้ตัว ร่างต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานหายไปจากสายตาของพวกมันแล้ว
“พวกเราหนีกันดีหรือไม่?”
ทั้งคู่หันมามองสบตาและกล่าวถามออกมาทันที
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็คล้ายจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ และรีบเหินร่างไปยังทิศทางตรงข้ามกับที่ต้วนหลิงเทียนพุ่งไล่จ้าวจี้ไปด้วยความเร็วสูงสุด “พวกเรามิอาจมุ่งหน้าไปยังหนทางเดิมได้อีก…จำต้องอ้อมไปทิศทางอื่นก่อน ค่อยวกกลับมาในอีก 2-3 วันให้หลัง…หาไม่แล้วพวกเราคงถูกหลิงเทียนจับได้ไล่ทันแน่!”
“อืม! พวกเราฉวยโอกาสตอนมันไล่จ้าวจี้ หนีไปอีกทางเถอะ! สมควรมีเวลามากพอให้เราสลัดหลุดการติดตามของมัน!!
พวกมันย่อมไม่โง่ยืนรอให้ต้วนหลิงเทียนกลับมา
พวกมันไม่ใช่ตัวโง่งม!
หากต้วนหลิงเทียนกลับมา สถานที่ๆคล้ายจะมีมรดกเวทย์พลังอยู่นั่น ต้วนหลิงเทียนยังจะแบ่งปันให้พวกมันอีกหรือ?
อีกด้านหนึ่งนั้น เงาหลังของจ้าวจี้ยิ่งมาก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในสายตาต้วนหลิงเทียนเรื่อยๆ
ตอนแรกที่ต้วนหลิงเทียนไล่จ้าวจี้มานั้นเขาใช้ความเร็วที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเหินร่างพ้นสายตาเผิงเฉินกับหูรุ่ยมาแล้ว ก็ไม่คิดเก็บงำพลังสืบไป เร่งพุ่งร่างออกไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเดิมทันที!
และความเร็วที่เขาใช้ออกตอนนี้ก็เทียบได้กับอริยะเซียนขั้นต้น!
“ฟุ่บ!”
ร่างต้วนหลิงเทียนดั่งกระสุนปืนพุ่งไปฉับไวไม่ต่างอะไรกับอัสนีฟาดผ่านฟ้า พริบตาก็แซงร่างจ้าวจี้กระทั่งไปหยุดขวางอยู่เบื้องหน้า!!
ซีด!
เมื่อเห็นร่างหนึ่งพุ่งมาหยุดขวางทาง สีหน้าของจ้าวจี้ก็เปลี่ยนไปทันใด เมื่อมันหยุดร่างลงและแลเห็นว่าผู้ขวางทางเป็นใคร หน้ามันก็เขียวปั๊ดคล้ายมีคนเอาสีมาละเลง “หละ…หลิงเทียน!!”
“จึกๆ…ว่าไงคุณชายจ้าว พวกเราเจอกันอีกแล้ว”
ต่างจากลมหายใจที่เร่งร้อนหอบถี่ของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนแลดูปกติไม่คล้ายเหนื่อยหอบอะไร มองกล่าวทักทายจ้าวจี้ด้วยน้ำเสียงสงบ
ขณะที่กล่าวทัก ร่างเขายังค่อยๆย่ำอากาศเข้าไปหาจ้าวจี้อย่างช้าๆทีละก้าวๆ
และทุกก้าวที่ย่างเยื้องเข้าไป ก็ทำให้จ้าวจี้ผวาจนต้องก้าวถอยไปทีละก้าวๆเช่นกัน
อย่างไรก็ตามระยะห่างของทั้งคู่ก็หดสั้นลงเรื่อยๆ
“หลิงเทียน นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?!”
จ้าวจี้มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก “หากเจ้ากล้าทำอะไรข้า ตระกูลจ้าวของข้าไม่มีวันละเว้นเจ้าแน่!!”
เห็นได้ชัดว่าจ้าวจี้ตระหนักได้ถึงวิกฤตที่กำลังคืบคลานเข้ามาชัดเจน จึงเริ่มกล่าววาจาข่มขู่ต้วนหลิงเทียนออกมาทันที
อย่างไรก็ตามมันกลับไม่ได้คิดเลย ว่าถ้าหากต้วนหลิงเทียนหวาดกลัวสกุลจ้าวของมัน แล้วจะตบหน้ามันซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อหน้าต่อตาผู้คนมากมายเช่นนั้นหรือ?
การกระทำในวันนั้นของต้วนหลิงเทียน ก็บอกให้รู้ชัดแล้วว่าไม่กลัวอิทธิพลของสกุลจ้าว!
เพี๊ยะ!!
เสียงตบดังชัดถนัดถนี่ลั่นขึ้นในอากาศ เป็นต้วนหลิงเทียนที่ไม่ทราบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ คนคล้ายภูตผี อยู่ๆก็มาปรากฏตัวตรงหน้าจ้าวจี้แล้วตบฟาดมันไปจนแก้มปูด!
“ให้ตายสิ…ถึงแม้จะเป็นร่างอวตาร แต่สัมผัสกลับนุ่มละมุนเหมือนเนื้อแก้มผู้คนแท้ๆไม่มีผิด…ตบแล้วรู้สึกสนุกมือข้าดีจริงๆ”
ในขณะที่สีหน้าจ้าวจี้บิดเบี้ยวอัปลักษณ์ทั้งแก้มเริ่มปูด ต้วนหลิงเทียนพลันมองฝ่ามือสลับกับหน้าจ้าวจี้ตาด้วยสายตาทึ่งๆ คิ้วยักขึ้นด้วยความแปลกใจ กล่าวจบคำก็หัวเราะเบาๆ
“เจ้า..”
จ้าวจี้ที่เจ็บใจถึงขีดสุด ตะคอกคำคล้ายคิดกล่าวอะไรออกมา
เพี๊ยะ!
ทว่าไม่ทันได้กล่าวก็ต้องรับประทานไปอีกหนึ่งตบ แน่นอนว่าเป็นแก้มอีกข้าง ทำให้ตอนนี้สองแก้มเริ่มปูดบวมคล้ายหัวหมูขึ้นมาเหมือนวันนั้น…
“คุณชายจ้าว…ดูเหมือนความจำเจ้าไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่เลยนะ?”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้าวจี้ด้วยรอยยิ้ม กล่าวถามออกมาด้วยสีหน้าราวกับจะบอกว่า ‘ไม่ไหวเลยจริงๆ’
อนิจจารอยยิ้มนี้ยามอยู่ในสายตาจ้าวจี้ ไม่ต่างใดกับยิ้มของมารร้ายแม้แต่น้อย
“หลิงเทียน ก่อนจะทำอะไรเจ้าต้องคิดให้ดี!”
ครั้งนี้จ้าวจี้ไม่กล่าวข่มขู่ออกมาเหมือนตอนแรก เพียงกล่าวด้วยวาจาทำนองคิดกระตุ้นเตือน “สถานการณ์ตอนนี้ต่างจากครั้งที่แล้วอย่างสิ้นเชิง…หากเจ้ากล้าทำให้ข้าต้องถูกขับออกจากแดนลับเซียน เท่ากับเจ้าทำให้ตระกูลจ้าวของข้าสิ้นโอกาสได้รับมรดกเวทย์พลังระดับสูง! ถึงยามนั้นระหว่างเจ้ากับตระกูลจ้าวของข้า จักเพาะสร้างความแค้นที่มิอาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้!!”
“ที่สำคัญท่านจ้าวตำหนักเองก็รู้เรื่องเจ้าแล้วเช่นกัน เช่นนั้นท่านย่อมมิคิดรับเจ้าเป็นศิษย์หรือศิษย์ปิดสำนักอันใดอีก…หากไร้บารมีของท่านจ้าวตำหนักคุ้มครอง ต่อให้เจ้ามีสัมพันธ์กับกู่ลี่ แต่เจ้าคิดจริงๆหรือว่ามันจะช่วยเจ้าทานรับโทสะของตระกูลจ้าวข้าได้?”
“หากวันนี้เจ้าปล่อยข้าไปเรื่องราวบาดหมางก่อนหน้าของพวกเรา รวมถึงที่เจ้าตบหน้าข้าอีก 2 ครั้งเมื่อครู่เป็นอันเลิกแล้วต่อกัน…! ตระกูลจ้าวของข้าจะไม่ยุ่งวุ่นวายอะไรกับเจ้าอีก…และไม่คิดลงมือทำร้ายเจ้า!”
เพื่อความอยู่รอดในแดนลับเซียน จ้าวจี้ถึงกับเลือกที่จะเลิกหัวแข็งยอมโอนอ่อนผ่อนปรน
สำหรับวาจาที่มันกล่าวออกมาว่าจะไม่ทำอะไรต้วนหลิงเทียนนั้น แน่นอนว่ามันกล่าวอย่างขอไปที! หมายหลอกให้ต้วนหลิงเทียนไม่ลงมือกับมันก็เท่านั้น!!
เพราะหากต้วนหลิงเทียนคิดลงมือจัดการมันจริงๆ มันตายแน่!!
ถึงแม้ความตายในแดนลับเซียนจะเป็นแค่การตายของร่างอวตารและไม่ได้ตายจริงๆ แต่มันก็จะถูกขับออกจากแดนลับเซียน และทำให้ไร้วาสนาได้รับมรดกเวทย์พลังอะไรในนี้สืบไป ไม่ต้องฝันถึงมรดกเวทย์พลังระดับสูงด้วยซ้ำ!
“โฮ่ ฟังดูดีนี่…”
หลังจากได้ฟังข้อเสนอของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับคล้ายเห็นด้วยจริงจัง
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนคล้ายจะเห็นด้วยกับข้อเสนอ สองตาจ้าวจี้ถึงกับลุกวาว คิดตีเหล็กตอนร้อนเร่งรีบกล่าวต่อทันที “หลิงเทียน ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นคนฉลาด..มีสหายเพิ่มอีกหนึ่งย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มอีกคน! หากเจ้าปล่อยข้าไปวันนี้ ไม่เพียงข้าจะเป็นสหายอันดีของเจ้า สกุลจ้าวยังเห็นเจ้าเป็นสหายอันดีด้วยเช่นกัน!!”
“หืม! ข้าจะได้เป็นสหายอันดีกับเจ้าและตระกูลจ้าวจริงๆหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มแย้มแจ่มใส มองจ้าวจี้ด้วยสองตาลุกวาว
“ใช่ๆ เป็นสหายอันดีกัน!”
จ้าวจี้เองก็ยิ้มแย้มออกมา ด้วยคิดว่าต้วนหลิงเทียนกำลังรู้สึกตื่นเต้นยินดีกับข้อเสนอ หากแต่ในใจลอบคิดอำมหิต ‘สารเลวหลิงเทียน ตอนนี้เจ้าย่ามใจไปเถอะ…หลังออกจากแดนลับเซียนได้เมื่อไหร่ ตระกูลจ้าวของข้าจะทุ่มกำลังทั้งหมด ลากเจ้ามาสับร่างให้แหลกเป็นหมื่นชิ้นให้จงได้!!’
“ขอโทษที พอดีข้าไม่สนใจ”
ทว่าทันใดนั้นเอง อยู่ๆรอยยิ้มของต้วนหลิงเทียนก็มลายหายไป แทนที่ด้วยใบหน้าเย็นชาปานมีชั้นน้ำแข็งเคลือบ!
เมื่อเห็นอย่างนี้ หน้าจ้าวจี้ก็เปลี่ยนเป็นสีซีดทันใด มันหันหลังกลับและคิดจะหนีไปให้ไกลทันที!
แต่มันคิดหนี ก็หนีได้งั้นเหรอ?
ฟุ่บ!
ต้วนหลิงเทียนเพียงยกมือขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน ปรากฏกระบี่พลังสีทองมีสภาพอันควบรวมจากปราณสุริยันแรกกำเนิดเข้ามือ ตวัดข้อมือวาดกระบี่เบาๆไปคราหนึ่ง บังเกิดเป็นคลื่นพลังสะบั้นสีทองดั่งเสี้ยวจันทร์ พุ่งแหวกฟ้าผ่าอากาศไปฉับไว!!
เผชิญหน้ากับการลงมือของต้วนหลิงเทียน…ต่อให้จ้าวจี้คิดสู้ก็ไม่มีทางต้านรับ! ยังนับประสาอะไรกับเปิดแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้ป้องกัน?!
เพียงชั่วพริบตา คลื่นพลังสะบั้นสีทองก็ผ่าร่างจ้าวจี้ออกเป็น 2 ส่วน!
ทว่ากลับไร้ฉากนองเลือดปรากฏหลังคลื่นกระบี่ผ่าร่างจ้าวจี้ให้เห็น พอร่างมันแยกเป็น 2 เสี่ยง…ร่างมันก็อันตรธานหายไปในอากาศทันที ราวกับไม่เคยดำรงอยู่มาก่อน…!
สุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่ร่างอวตาร เป็นธรรมดาที่จะไร้ฉากนองเลือดอะไร
“แค่ 3 วันจ้าวจี้มันก็ถูกเตะออกจากแดนลับเซียนแบบนี้…อันดับ 1 ของศิษย์ที่ถูกขับออกเร็วที่สุดจะหนีไปไหนได้”
หลังจากกำจัดจ้าวจี้แล้วมุมปากต้วนหลิงเทียนพลันยกยิ้มขึ้นมากล่าวออกอย่างสนุกสนาน แลดูถูกใจไม่น้อย
ขณะเดียวกันจ้าวจี้ที่ร่างอวตารถูกฆ่า สำนึกสติของมันก็หวนคืนสู่ร่างที่แท้จริงเช่นกัน…
และทันทีที่สำนึกสติของมันหวนกลับสู่ร่างกายที่แท้จริง ไม่ทันที่มันจะได้ทำอะไร มันก็สัมผัสได้ว่ามีพลังไร้สภาพผลักดันมหาศาลขุมหนึ่ง ขับไล่มันออกจากแดนลับเซียน!
ทางเข้าของแดนลับเซียนที่เป็นวังวนมหึมาน่ากลัวบนรอยแยกกลางอากาศนั้น ก็เป็นทางออกของผู้ที่อยู่ในแดนลับเซียนเช่นกัน…
และตอนนี้อาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับเมื่อ 3 วันก่อนก็เฝ้ารออยู่เบื้องหน้าครบครัน
แน่นอนว่านอกจากอาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว ยังมีชายหนุ่มแลดูกำยำแข็งแกร่งคนหนึ่ง กับชราในชุดคลุมลมดำ…
ชายหนุ่มคือกู่ลี่!
ส่วนชายชราก็คือ กู่มี่!
ทั้งหมดกำลังนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ สองตาหลับพริ้มคล้ายกำลังเข้าฌาณสมาธิทำความเข้าใจบางสิ่ง บ้างก็บ่มเพาะพลัง…
ทว่าทันใดนั้นเอง ทั้งหมดคล้ายสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่าง ทยอยกันลืมตาขึ้นมาทีละคนๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปจับจ้องมองวังวนมหึมากลางฟ้าตาเขม็ง
“อันใดกัน…พึ่งผ่านไปแค่ 3 วัน กลับมีคนถูกกำจัดแล้วงั้นเหรอ?”
เมิ่งฉิง จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตอนนี้เองจ้าววังทั้ง 4 ก็หันมองหน้าสบตากัน ต่างภาวนาอธิษฐานในใจว่าขออย่าให้เป็นศิษย์ของวังพวกมันเลย…!
เพราะสุดท้ายนี่นับเป็นเรื่องน่าอายอย่างถึงที่สุด และน่าขายหน้าอย่างถึงที่สุด! ถูกขับไล่ออกจากแดนลับเซียนในเวลาแค่ 3 วัน! เรียกว่าหากเป็นศิษย์ของวังใด..ย่อมนำความอัปยศมาสู่วังนั้นๆ!!
วู้ม! วู้ม! วู้ม!
……
ไม่ว่าจ้าววังทั้ง 4 จะภาวนาอธิษฐานอันใดก็แล้วแต่ วังวนที่หมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ดั่งอสูรตัวเขื่องพ่นของแสลงออกจากปาก ส่งร่างหนึ่งออกมาท่ามกลางสายตาทุกคน!!
เมื่อแลเห็นร่างที่ถูกขับออกมาชัดถนัดตา…ทุกคนยกเว้นกู่มี่ถึงกับตกตะลึงกันยกใหญ่!!
ครู่ต่อมาในบรรดารองจ้าวตำหนักทั้งหลายของตำหนักฟ้าลี้ลับ ก็เป็นจ้าวเติงที่ตอบสนองเร็วกว่าผู้ใด หน้ามันเปลี่ยนสีกลับกลายในชั่วพริบตา ยังร่ำร้องออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “จี้เอ๋อ..!!”
จ้าวเติงไม่เคยคิดกระทั่งหลับยังไม่เคยฝันถึง! ว่าในเวลาแค่ 3 วัน..คนแรกที่ถูกขับออกมาจากแดนลับเซียนจะเป็นบุตรชายคนเดียวของมัน!!
“เฮ่ย! นั่นมันจ้าวจี้!!”
“นิ…นี่จักเป็นไปได้อย่างไรกัน จ้าวจี้มิเพียงแต่เป็นศิษย์ของวังนภาของพี่ลู่ฉี แต่มันยังตัดผ่านไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้วมิใช่หรือไร! ไฉนถึงถูกขับออกมาจากแดนลับเซียนก่อนผู้ใดได้!?”
“นั่นสิ! ด้วยพลังฝีมือของจ้าวจี้เรื่องพรรค์นี้มิน่าจักเป็นไปได้เลย!”
“ในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา ศิษย์ที่บรรลุขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ที่ถูกขับออกมาจากแดนลับเซียนในเวลาอันสั้นที่สุด…ดูเหมือนว่าจะทนได้เดือนครึ่งมิใช่หรือ? แต่จ้าวจี้กลับถูกขับออกมาตั้งแต่ 3 วันแรก? มันนับว่าทุบทำลายสถิติกระจุยแล้ว!!”
“หลังจากนี้จ้าวจี้คงได้จารึกชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเราแล้วล่ะ…ในฐานะผู้ที่ถูกขับออกมาจากแดนลับเซียนเร็วที่สุด!”
……
เหล่ารองจ้าววังกระทั่งรองจ้าววังนภาต่างสนทนากันตาปริบๆ ในแววตาหลากหลายอารมณ์นัก ตอนแรกก็เวทนาสงสารเห็นใจ ครู่ต่อมากลับเป็นตลกขบขัน…
คราวนี้จ้าวจี้คงได้จารึกนามของมันลงหน้าประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับแล้วจริงๆ…เสียดายก็แต่มิใช่เรื่องดี!
กล่าวกันตามตรงมันคงได้โด่งดังครั้งใหญ่จากเรื่องนี้! เพราะนี่มันเป็นเรื่องน่าละอายนัก แต่อย่างไรเสียด้วยความที่บิดามันเป็นรองจ้าวตำหนักทั้งปู่มันเป็นอาวุโสผู้พิทักษ์ ก็คงไม่มีใครกล้าลำเส้นอย่างล้อเลียนมันต่อหน้าต่อตา…