WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1775
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1775
ตอนที่ 1,775 : โถงเหยียนเทียน!
ร่างมหึมาทั้ง 5 เป็นสัตว์ร้ายประเภทวิหกดั่งที่เซียวตุนอธิบายเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน…
ทั้งสัตว์ร้ายประเภทวิหกทั้ง 5 ก็ต่างสายพันธ์กัน บางตัวก็แลดูดีทั้งสวยงามดั่งพญาอินทรีย์ ทว่าบางตัวกลับพิลึกพิลั่นดั่งไก่ไร้ขน หัวเกลี้ยงกลมวับวาว…
สิ่งเดียวที่พวกมันเหมือนกันคือพวกมันเป็นสัตว์ปีกเท่านั้น!
คำรามออกด้วยเสียงหวีดแหลมรอบหนึ่ง วิหกยักษ์ดุร้ายก็แยบย้ายกันโฉบถลาเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด มองไปดั่งอัสนี 5 สายปะทุฟาดลงพร้อมเพรียง
“แค่นกขนอุย! กลับกล้ามาร้องหนวกหูแถมวางท่าใส่ข้า?”
เผชิญหน้ากับวิหกยักษ์ตัวเขื่องทั้ง 5 เพียงแค่นคำออกมาด้วยความเย้ยเยาะ
ต่อมา ไม่ทราบต้วนหลิงเทียนลงมืออย่างไร หากแต่ปราณสุริยันแรกกำเนิดที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกลับควบรวมกลายเป็นกระบี่พลังมากมาย พุ่งม้วนเวียนวนไปรอบกาย มองไปคล้ายระฆังใบเขื่อง!
เป็นระฆังกระบี่คลุมกาย ที่ต้วนหลิงเทียนประยุกต์มาจากระฆังศรคลุมกาย!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
……
ต้องกล่าวเลยว่าการโจมตีของวิหกยักษ์ตัวเขื่องทั้ง 5 ที่มีพลังฝึกปรือเพียงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดมันไม่ใช่ชั่ว พลังปะทุของพวกมันเทียบได้กับเซียนขัดเกลาขั้นต้นเลยทีเดียว พาลให้ระฆังกระบี่คลุมกายของต้วนหลิงเทียนสั่นไหวกระเพื่อมไปไม่น้อย
อย่างไรก็ตามแม้จะสั่นไหวกระเพื่อม แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพังทลายลงแต่อย่างไร
“แข็งแกร่งยิ่ง!”
ห่างออกไปไกลๆ เซียวตุนถึงกับตกตะลึง แม้มันรู้ดีว่าศิษย์พี่หลิงเทียนผู้นี้ร้ายกาจนัก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเมื่อเห็นป้องกันอันน่ากลัวนั่นกับตา
ย้อนกลับไป…ตอนนั้นมันกับสหายถูกนกผีทั้ง 5 ไล่จิกจนหนีกันหัวซุกหัวซุน…
หากแต่พอเป็นศิษย์พี่หลิงเทียน เพียงใช้วรยุทธ์ป้องกันชุดเดียว ก็สามารถป้องกันการโจมตีขงนกผีนั่นได้อย่างหมดจด ไม่คล้ายหนักหนาเหนื่อยแรงอะไร เรียกว่าวิหกยักษ์ร้ายกาจทั้ง 5 นั่นไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วน!
“แค่นกอ่อนแอไม่กี่ตัว…น่าเบื่อจริง”
เมื่อเห็นว่าวิหกยักษ์ทั้ง 5 ไม่อาจทำอะไรระฆังกระบี่คลุมกายได้เลย ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกคร้านจะเล่นกับมันสืบไป เพียงห้วงคิดกระบี่พลังที่วนเวียนห้อมล้อมคล้ายระฆังคลุมกาย ก็พุ่งออกไปเล่นงานวิหกทั้ง 5 ทันที!
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
……
ทันใดนั้นเสมือนพิรุณกระบี่ถล่มฟ้าก็ไม่ปาน แน่นอนว่าพิรุณกระบี่รอบนี้ไม่คล้ายพิรุณทั่วไปที่หล่นร่วงจากฟ้า พวกมันกลับย้อนทวนทิศ พุ่งขึ้นฟ้าสูง!
กระบี่พลังนับร้อยๆดั่งห่าพิรุณพุ่งแหวกฟ้าไปฉับไว บังเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวฉีกอากาศดังระงม เสียดหูนัก!
สัตว์ร้ายประเภทวิหกตัวเขื่องทั้ง 5 แต่ละตัวไม่ทราบถูกกระบี่กี่เล่มทะลวง…พริบตาก่อนที่พวกมันจะสลายหายไปเรียกว่าพรุนไม่ต่างรังผึ้ง!
‘พลังทำลายของพวกมัน คล้ายๆกับสัตว์ร้ายหน้าหอคอยลิ่วเหอเลย’
หลังมองเหม่อไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็หวนนึกถึงเรื่องราวหน้าหอคอยลิ่วเหอ ที่มีมรดกเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอ
อย่างไรก็ตามที่หอคอยลิ่วเหอแม้จะมีสัตว์ร้ายเพียง 3 ตัว แต่พวกมันกลับผนึกพลังกันได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้มีพลังอำนาจทัดเทียมกับวิหกยักษ์ทั้ง 5
แอ๊ดดด……ครืด ครืดดดด
พร้อมกันกับที่วิหกยักษ์ทั้ง 5 สลายหายไปในอากาศ ประตูพระราชวังก็คอยๆเปิดออก
‘เหอะๆ…เหมือนหอคอยลิ่วเหอไม่มีผิด’
ต้วนหลิงเทียนกล่าวในใจ
ในเมื่อประตูเปิดอ้าเชื้อเชิญแบบนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะเข้าไปโดยไม่คิดหยุดพักให้เสียเวลา
เซียวตุนก็เร่งสับเท้าวิ่งตามไปติดๆ แววตาที่มองไปยังแผ่นหลังต้วนหลิงเทียน ลุกวาวทั้งฉายประกายคลั่งไคล้นัก
เมื่อเข้ามาในพระราชวังแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าการทดสอบละม้ายคล้ายคลึงกับหอคอยลิ่วเหอ
แน่นอนที่กล่าวบอกว่าคล้ายนั้น…หมายถึงระดับพลังของศัตรูที่ปรากฏตัวขึ้น หากแต่ศัตรูที่ปรากฏขึ้นกลับมาในรูปของชุดเกราะอัศวินต่างๆ!
เซียวตุนยิ่งติดตามมาก็ยิ่งมองต้วนหลิงเทียนตาลุกวาวมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะไม่ว่าจะบททดสอบอะไรระหว่างทาง ค่ายกล ศัตรู ประตูกล รวมถึงกับดักทั้งหลายแหล่ ล้วนถูกต้วนหลิงเทียนจัดการแก้ไขในชั่วพริบตา กระทั่งจะยกมือขึ้นลงมือจู่โจมออกไปสักท่ายังไม่ทัน
และเป็นธรรมดาเหล่าการทดสอบที่ว่ามา หากมันมาคนเดียวก็คงต้องจอดตั้งแต่หน้าประตู…
“จากที่ข้าแผ่สำนึกเทวะไปตรวจขสอบ ห้องโถงข้างหน้าสมควรเป็นห้องสุดท้ายแล้ว…และถ้าข้าเดาไม่ผิด หากฆ่าผู้พิทักษ์อะไรที่ปรากฏออกมาได้ มรดกเวทย์พลังสมควรปรากฏออกมา”
ต้วนหลิงเทียนที่เดินนำในพระราชวังใหญ่โต กล่าวบอกเซียวตุนหลังแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจตราโดยรอบ
เซียวตุนที่พอได้ยินก็เร่งหันมองไปยังเบื้องหน้าทันที จนแลเห็นประตูเข้าห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง บนขื่อเหนือประตูโถงมีคำสลักเอาไว้ โถงเหยียนเทียน!
คำ 3 คำนี้กลับแผ่พลังกดดันอันน่าเกรงขามออกมาไม่ใช่ชั่ว มีอำนาจสะกดขู่ขวัญผู้คนนัก!
“มรดกเวทย์พลัง!”
ได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน เซียวตุนย่อมตื่นเต้นไม่น้อย เพราะตอนนี้มันกำลังจะได้รับมรดกเวทย์พลังแล้ว ถึงแม้มันอาจจะไร้สามารถเพาะสร้างหรือควบคุมเวทย์พลังนี้ได้ในอนาคต แต่มีหวังก็ยังดีกว่าไม่มีหวัง!
ยิ่งไปกว่านั้นหากมองถึงความยากและบททดสอบระหว่างทาง มันมั่นใจได้เลยว่ามรดกเวทย์พลังชิ้นนี้ไม่ใช่มรดกเวทย์พลังระดับต่ำแน่นอน!!
แม้มันจะยังเข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับได้ไม่นาน แต่มันก็พอรู้มาบ้างว่าในแดนลับเซียนแห่งนี้…บททดสอบของมรดกเวทย์พลังยิ่งยาก ระดับของมรดกเวทย์พลังยิ่งสูง!
ด้วยเหตุนี้เซียวตุนจึงบังเกิดความตื่นเต้นไม่น้อย ขณะเดียวกันก็บังเกิดความคาดหวังอย่างแรงกล้า ด้วยอยากรู้นักว่าสุดสายปลายทางพระราชวังหลังนี้อย่างโถงเหยียนเทียน จะมีมรดกเวทย์พลังอันใดรอคอยมันอยู่…!
“หลังจากเข้าไปข้างในแล้ว อย่าอยู่ห่างจากข้า…หากข้าเดาไม่ผิด การทดสอบสุดท้ายด้านในต้องไม่ง่ายเหมือนข้างนอก”
ก่อนที่จะเข้าไปในห้องโถง ต้วนหลิงเทียนกล่าวเตือนเซียวตุน
จกาประสบการณ์ที่ผ่านหอคอยลิ่วเหอมา เขาเชื่อว่าในห้องโถงสุดท้ายนี้ต้องมีศัตรูหรือบททดสอบรออยู่แน่
เพียงแค่มันคงไม่ใช่รูปปั้นเหมือนในหอคอยลิ่วเหอเท่านั้น
“ทราบแล้วศิษย์พี่หลิงเทียน”
เซียวตุนนั้นเคารพนับถือต้วนหลิงเทียนมานาน ย่อมเชื่อฟังคำของต้วนหลิงเทียนอย่างไร้เงื่อนไข
“เข้าไปกันเถอะ”
หลังได้รับคำตอบจากเซียวตุน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า ย่างเท้าก้าวเข้าไปในโถง สายตามองกวาดฉับไวดั่งเหยี่ยว สำนึกเทวะกระจายตัวออกไปเฝ้าระวังโดยรอบ
นามโถงเหยียนเทียนแม้ฟังดูดี แต่พอก้าวเข้ามาและสำรวจรอบๆดูเขากลับไม่พบอะไรเลย แถมแตกต่างไปจากห้องโถงอื่นๆที่พบเจอก่อนหน้ามากนัก! เพราะมันมีแต่ก้อนหินประหลาดๆเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด! ไร้ซึ่งเครื่องเรือนและของตกแต่งอันใด!!
ต้องทราบด้วยว่าทุกห้องโถงที่ผ่านมา ตกแต่งเลิศหรูแลดูดีมีระดับทั้งสิ้น หากมีแหวนมิติเขายังคิดจะเก็บเก้าอี้ทั้งของตกแต่งบางชิ้นติดมือกลับไปด้วยซ้ำ…
ทว่าโถงเหยียนเทียนตรงหน้าเขากลับแลดูเสมือนสถานที่ๆกระทั่งนกยังไม่อยากแวะเวียนมาขับถ่ายเสียอย่างนั้น!
ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะทำหน้าอึน ด้านเซียวตุนถึงกับทำหน้าเหวอสองตากระพริบปริบๆ มองถามต้วนหลิงเทียนราวกับตัวโง่งม “ศิษย์พี่หลิงเทียน…ตอนนี้พวกเราอยู่โถงสุดท้ายของวังจริงหรือ? ไฉนข้ารู้สึกเสมือนเข้าห้องผิดเลยเล่า?”
เข้าห้องผิด?
อันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็คิดแบบนี้เช่นกัน…
อย่างไรก็ตาม ไม่นานสีหน้าอึนๆของต้วนหลิงเทียนมลายหายไป กลายเป็นขึงขังขึ้นมาทันที
สองตาต้วนหลิงเทียนกลับหรี่มองก้อนหินประหลาดๆนับไม่ถ้วนที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นโถง ใจเต็มไปด้วยความสงสัย ‘หินพวกนี้ตอนแรกเหมือนวัตถุไร้ชีวิต…แต่ตอนนี้ไฉนข้ารู้สึกเสมือนพวกมันกำลังพุ่งพล่านไปด้วยพลังชีวิต..หืม? นั่นอะไรน่ะ?’
ทั้งหมดนี้เกิดจากสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนที่สัมผัสได้ถึงบางอย่าง
“ศิษย์พี่หลิงเทียน! ก้อนหินพวกนี้…ข้าว่ามันมีอันใดแปลกๆ”
ตอนนี้เองเซียวตุนก็พบว่าก้อนหินในห้องโถงมีความผิดปกติแล้วเช่นกัน
ตึงงงงง!!
แทบจะพร้อมกันกับที่เซียวตุนกล่าวจบคำ เสียงหนึ่งพลันดังลั่นขึ้นมาจากด้านหลัง ไม่ต้องหันไปมองจากสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่ามีประตูศิลาขนาดมหึมาเลื่อนลงมาดั่งประตูกล ปิดผนึกทางออกเดียวของโถงเหยียนเทียนแห่งนี้เอาไว้แล้ว!
ไม่เหมือนกับต้วนหลิงเทียนที่ยังคงความสงบไม่ตื่นตระหนก เซียวตุนเรียกว่าสะดุ้งตกใจทั้งหน้าเปลี่ยนสีไปทันที
แคร่ก! แคร่ก! แคร่ก!
……
ทว่าตอนนี้เองโถงเหยียนเทียนที่สมควรกล่าวได้ว่าเป็นห้องปิดตายไปแล้ว อยู่ดีๆกลับบังเกิดความปั่นป่วนขึ้นประการหนึ่ง ไม่ทราบสายลมมันพัดมาจากที่ใด แต่อยู่ๆมันก็ผุดขึ้นมาหมุนวนในห้องโถง! พาลให้ชุดเสื้อคลุมของเซียวตุนโบกกระพือขึ้นมา!!
“ศิษย์พี่หลิงเทียน หินนั่น…หินนั่นมันขยับได้!!”
เซียวตุนร้องโพล่งออกมาอย่างเสียขวัญ
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ เขาเองก็เห็นแต่แรกแล้ว
สายลมยิ่งมายิ่งกรรโชกแรงขึ้น พาลให้ก้อนหินบนพื้นห้องโถงเริ่มสั่นไหวกระทั่งกลิ้งไปมา กระทั่งหินก้อนที่ใหญ่ที่สุดดั่ง ราชาหิน ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องโถงก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมาเบาๆ
ไม่นานต้วนหลิงเทียนกับเซียวตุนก็พบว่า ก้อนหินเล็กๆทั้งหลายในห้องโถงเริ่มลอยล่องขึ้นมา
หินก้อนใหญ่เองก็ค่อยๆลอยล่องขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ภายใต้สายตามองจ้องด้วยความสนใจของต้วนหลิงเทียน ก้อนหินน้อยใหญ่ทั้งหลายอยู่ๆก็พุ่งไปรวมกันที่จุดๆหนึ่ง พวกมันปะติดปะต่อกันด้วยความเร็วสูง ก่อเกิดเป็นร่างที่มองไปคล้ายมนุษย์ศิลาขนาดตัวมหึมาดั่งเนินเขาขึ้นมา!!
มนุษย์ศิลาที่ว่าไม่มีตาไม่มีปาก หากแต่มันมีชีวิตเสมือนดั่งสัตว์ร้าย! ไม่ใช่แค่ของประดับฉากแน่ๆ!!
ตึงงงง!!
ทันใดนั้นมนุษย์ศิลาก็เริ่มเคลื่อนไหว มันก้าวย่ำออกมาก้าวหนึ่งในอากาศ ร่างวูบตกลงมายังพื้นโถงอย่างแรง เสียงหนักแน่นดังขึ้น! ฝุ่นดินคละคลุ้งขึ้นมาตลบไปในอากาศ มวลธุลีเริ่มปลิดปลิวตามลมกรรโชกฟุ้งไปทั่วโถงเหยียนเทียน ห้องโถงเองยังสนั่นหวั่นไหวสะเทือนไปปานแผ่นดินไหวพักหนึ่ง!
ตึง! ตึง! ตึง!!
……
มนุษย์ศิลาตัวเขื่องเริ่มก้าวย่ำออกมา ไม่กี่ก้าวที่ย่างเยื้องพาลให้โถงยิ่งสนั่นสั่นแรงขึ้น ต้วนหลิงเทียนเองที่ยืนอยู่บนพื้นยังรู้สึกสะเทือนไปทั่วร่าง
ตึง…….ตึง…….ตึง…ตึง…ตึง..ตึง!!
……
หลังจากนั้นไม่กี่ก้าวมนุษย์ศิลาก็คล้ายจะเร่งความเร็วขึ้น จากเดินก็กลายเป็นวิ่ง ความเร็วเพิ่มพุนขึ้นทุกขณะ!
ตอนนี้เองทั่วกายมนุษย์ศิลายังปรากฏกลิ่นอายพลังขุมหนึ่งปะทุออกมาอย่างมหาศาล สภาวะปานคลื่นยักษ์โถมถล่มสาดออกมาท่วมโถงก็ไม่ปาน! เซียวตุนยังรู้สึกอึดอัดไปแทบหายใจไม่ออก!!
สำหรับต้วนหลิงเทียนนั้นยังคงเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร
“ศิษย์พี่หลิงเทียนระวังตัวด้วย!”
เซียวตุนที่อึดอัดจากกลิ่นอายพลังจนหน้าแดงก่ำ รีบร่ำร้องกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนด้วยความตื่นกลัว
หากแต่ต้วนหลิงเทียนคล้ายไม่ได้ยินเสียงเตือนของมัน หรือไม่สนใจอย่างไรก็ไม่ทราบ กลับค่อยๆเดินเข้าหาร่างมนุษย์ศิลาที่เร่งความเร็วเข้ามาอย่างไม่สนใจ
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ปรากฏกระบี่พลังมีสภาพยาว 3 ฉื่อจากปราณสุริยันแรกกำเนิดผนึกควบแน่นถือไว้ในฝ่ามือ!
‘กลิ่นอายพลังของมันคงถี่ดีแล้ว…เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ! ไอ้เจ้านี่มันมีระดับพลังเหมือนรูปปั้นหินตัวใหญ่บนชั้น 6 ของหอคอยลิ่วเหอเลย!’
หลังจากกลิ่นอายพลังของมนุษย์ศิลาเร่งเร้าขึ้นมาคงถี่ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวในใจด้วยความสนใจ
“ให้ข้าดูหน่อยว่า เจ้าจะทนรับกระบี่ข้าได้เหมือนไอรูปปั้นยักษ์นั่นหรือไม่!”
เพียงใจคิดร่างเคลื่อนกระบี่ถึง! คนพุ่งออกไปดั่งฟ้าฟาดทั้งตวัดกระบี่พลังมีสภาพสีทอง 3 ฉื่อฟันฉับไปที่ร่างมนุษย์ศิลาตัวเขื่อง!!