WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1796
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1796
ตอนที่ 1,796 : ปลาที่เล็ดรอดร่างแห
จนถึงตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดเสียวในใจ ยามนึกถึงชายชราที่รับบทเป็นผู้พิทักษ์ด่านสุดท้ายของบึงไร้ก้นบึ้ง ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็มีด่านพลังฝึกปรือแค่เซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น…
หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่น เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะชายชราคนนั้นได้ ต่อให้ด่านพลังฝึกปรือจะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดหรือเหนือกว่านั้นก็ตามที
เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดี ว่าการที่เขาผ่านบททดสอบนั่นและรับสืบทอดปฐมเวทย์กลืนกินมาได้ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดที่ผู้เฒ่าหั่วทำให้เขารู้แจ้งจนเพาะสร้างมันขึ้นมาได้!
ได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนผู้เฒ่าหั่วเผยยิ้มอ่อนๆ “เจ้าได้ครอบครองเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ทั้งได้พบข้าล้วนเป็นวาสนาของเจ้า…ไม่เว้นการที่เจ้าได้รับสืบทอดมรดกของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง…”
“สุดท้ายกระทั่งได้รับปฐมเวทย์กลืนกินครั้งนี้ ล้วนไม่ใช่เพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดแต่อย่างใด หากแต่เป็นโชควาสนาของเจ้าทั้งหมด…”
โชควาสนาของต้วนหลิงเทียน กระทั่งผู้เฒ่าหั่วยังอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมา
ในสมัยก่อน บรรดาตัวตนอันทรงพลังที่ผู้เฒ่าหั่วรู้จักในแดนสวรรค์ ยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เทียบต้วนหลิงเทียนได้ในแง่ของ ‘โชควาสนา’
แน่นอนว่าผู้เฒ่าหั่วก็ไม่คิดที่จะกล่าวบอกเรื่องนี้กับต้วนหลิงเทียน
ในสายตาของมันจะเป็นแค่การบอกเรื่องนี้ อาจสร้างอันตรายต่อต้วนหลิงเทียนอย่างใหญ่หลวง!
หากต้วนหลิงเทียนย่ามใจและคิดหวังพึ่งแต่โชควาสนา ไม่มานะอุตสาหะด้วยตัวเองก่อนขึ้นมา น่ากลัวว่าต่อให้มีโชควาสนาดีเพียงใดก็ยากที่จะประสบความสำเร็จและกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้!
โชควาสนาก็แค่ส่วนหนึ่ง ไม่อาจหวังพึ่งได้ทั้งหมด!
ผู้เฒ่าหั่วนั้นใช้ชีวิตมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว ย่อมได้เห็น ‘โศกนาฏกรรม’ ที่ลงเอยทำนองนั้นมามากมาย เป็นธรรมดาที่มันไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนต้องผิดพลาดจนซ้ำรอยอะไรเช่นนั้น
ได้ยินวาจานี้ของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็นิ่งเงียบไป
พอคิดย้อนไปแล้วเขาก็มีโชคไม่น้อย
แน่นอนว่าในฐานะที่เป็นผู้ที่ดวงวิญญาณข้ามภพมาเขาไม่คิดว่าโชควาสนาเหล่านี้มันน่าพึ่งพอใจอะไรขนาดนั้น
ในสายตาของเขา การที่ดวงวิญญาณเขามีโอกาสได้เริ่มต้นชีวิตที่สองต่างหาก ถือเป็นโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว!
หาไม่แล้วเขาคงตกตายไปเนิ่นนาน ไม่ต้องกล่าวถึงโอกาสอะไรหลังจากนั้นเลย! เช่นนั้นเขาจึงคิดว่าต้องพยายามให้มาก กระทำทุกอย่างให้ดีไม่ให้มีอะไรต้องเสียใจ…
สำหรับต้วนหลิงเทียนเขาเห็นซึ้งถึงเรื่องนี้ชัดเจนดี
แน่นอนว่าผู้เฒ่าหั่วไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าต้วนหลิงเทียนมีมุมมองดังกล่าว เช่นนั้นจึงไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับต้วนหลิงเทียน
“ผู้เฒ่าหั่วอีกไม่นานข้าจะเริ่มหาวัตถุดิบมาซ่อมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกเรื่องีน้กับผู้เฒ่าหั่ว ก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อบ่มเพาะพลัง หลังออกจากการปิดด่านบ่มเพาะรอบนี้ กู่ลี่สมควรกลับมาจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องพอดี
การปิดด่านครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เน้นหนักไปที่การบ่มเพาะสั่งสมพลังหมายยกระดับพลังฝึกปรือ รองมาก็คือการทำความเข้าใจยอดใจกระบี่ให้ลึกซึ้ง
ตอนนี้เขามาถึงขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่แล้ว แต่เคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่นั้น มีถึง 5 ขอบเขต!
ยังมีหนทางอีกไกลให้เขาก้าวเดิน
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะ ทางด้านขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็ประสบกับหายนะล่มสลาย!
คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่สงบสุข เพียงชั่วข้ามคืนความสงุบสุขนั้นก็ถูกพรากไปถาวร เพราะผู้นำคฤหาสน์กลับถูกฆ่าตาย!
ผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเองก็นับเป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กระทั่งในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังมีน้อยคนนักที่สามารถสังหารมันได้โดยที่ไม่กระตุ้นเตือนความสนใจของผู้คน!
นั่นทำให้เหล่าอาวุโสระดับสูงของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถึงกับตื่นตระหนกครั้งใหญ่ เมื่อพบว่าผู้นำคฤหาสน์ของมันถูกฆ่าตาย!
หลังจากนั้นไม่นานบรรดาอาวุโสระดับสูงของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ถูก พายุสังหารกวาดผ่าน…ไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว ไม่ทันที่จะได้รวมตัวกันหารือเตรียมรับสถานการณ์
สุดท้ายในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ไม่ว่าจะบรรดาอาวุโสระดับสูง หรือกระทั่งศิษย์ที่โดดเด่นก็ล้วนกลับกลายเป็นซากศพไร้ชีวิตจนหมด
ผู้ที่ตกตายในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องชุดแรกทั้งหมด ยังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน…นั่นคือพวกมันล่วงรู้ว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่มีพลังฝึกปรือก้าวหน้าอัศจรรย์ในเวลาอันสั้น ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงอันมีเคล็ดรวมวิญญาณแฝงอยู่!
เพียงแต่พวกมันไม่อาจคิด กระทั่งหลับยังไม่เคยฝัน…ว่าฝูงพยัคฆ์และหมาป่าพวกนี้ จะมาเพื่อเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นของฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์พวกมัน!
ผู้ที่ลงมือกวาดล้างทุกชีวิตที่รู้เรื่องนี้ในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ไม่ใช่ใครที่ไหน…เหล่าระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับ!
ในบรรดาผู้ที่มาจากตำหนักฟ้าลี้ลับ คนที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดก็คือ กู่ลี่
แน่นอนว่ากู่ลี่เพียงติดตามมาเก็บประสบการณ์ด้วยเท่านั้น เพราะบิดามันและคนอื่นๆเป็นคนฆ่าเป้าหมายทั้งหมดที่พบแทบจะทันที…ไม่มีแม้แต่เวลาจะให้มันลงมืออะไร
เพราะนอกจากกู่ลี่แล้ว ในที่นี้ผู้ที่อ่อนแอที่สุด ก็เป็นถึงชนชั้นรองจ้าวตำหนักทั้งสิ้น!
ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงสามารถเลาะกระดูกสันหลังของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ดับชีวิตเสาหลักของพวกมันได้ ก่อนที่พวกมันจะทันรู้ตัวด้วยซ้ำ!
“เก็บกวาดเรียบร้อยดีหรือไม่?”
เหล่าระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากแยกย้ายกันลงมือเป็นเมิ่งฉิงที่กล่าวถามออกมา
“ท่านจ้าวตำหนัก ฝั่งตะวันออกข้าจัดการหมดแล้ว”
กู่ซืออวิ๋นที่ยืนข้างกู่ลี่กล่าวรายงาน
“ฝั่งตะวันตกก็เรียบร้อยดี มิมีผู้ใดรอด”
ชายชราที่อยู่ข้างๆจ้าวเติงกล่าว มันก็คือบิดาของจ้าวเติง อาวุโสผู้พิทักษ์อีกคนของตำหนักฟ้าลี้ลับ
ในตำหนักฟ้าลี้ลับ พลังฝีมือของมันเรียกว่าทัดเทียมกับกู่ซืออวิ๋น เป็นรองก็แต่เมิ่งฉิง จ้าวตำหนัก!
“ท่านจ้าวตำหนัก ทิศใต้เองก็จัดการหมดเรียบร้อยแล้ว”
จ้าววังทั้ง 4 โดยมีจูลู่ฉีเป็นผู้นำกลุ่มสังหารก็กล่าวคำรายงานออกมา
ส่วนรองจ้าวตำหนักที่เหลือก็ติดตามเมิ่งฉิงไปเก็บกวาดฝั่งเหนือมาด้วยกัน อีกทั้งยังต้องคอยดูแลภาพรวมเพื่อไม่ให้มีปลาเล็ดรอดร่างแหไปได้
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง แม้แต่ตลาดมืดหยินชานกับตำหนักเมฆาครามก็ต้องให้ความสนใจแน่นอนหากล่วงรู้
“ดี!”
เมิ่งฉิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “นายน้อยคฤหาสน์อย่างฉีจิ้งถูกข้าย้ายไปกักตัวไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว…ในเมื่อพวกเราเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อย เช่นนั้นก็กลับกันเถอะ…จากที่ข้าตรวจสอบวิญญาณของฉีจิ้งยังมิฟื้นฟูหายดีพอที่พวกเราจะใช้เคล็ดวิชาควาญวิญญาณล้วงความลับจากมันได้”
“เช่นนั้นตอนนี้เรื่องที่พวกเราทำได้ ก็มีแต่นำมันกลับไปขังไว้ก่อนเท่านั้น”
เมิ่งฉิงกล่าวสืบต่อ
“ครั้งสุดท้ายที่มันใช้เคล็ดวิชารวมวิญญาณ วิญญาณของมันก็ยังมิได้ควบรวมฟื้นฟูจนหายดี…การจะใช้วิชาควาญวิญญาณกับมัน พวกเราจำต้องรอให้มันฟื้นฟูในระดับหนึ่ง หาไม่แล้วจากสภาพมันตอนนี้เกรงว่ายังไม่ทันดึงข้อมูลเรื่องเคล็ดบำเพ็ญมารอันใด วิญญาณคงได้สลายหายไปอย่างสิ้นเชิง…”
กู่ซืออวิ๋นพยักหน้า
“รออีกปีครึ่งหรือมากกว่านั้นก็มิเป็นไร…ข้าหวังว่าเคล็ดบำเพ็ญมารของมันคงมิใช่อวิชชาชั่วร้ายอะไร เช่นนั้นตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราก็จะผงาดขึ้นมาในภูมิภาคเบื้องล่างได้ในเวลาอันสั้นหลังบ่มเพาะมัน!”
ชายชราที่ยืนถัดจากจ้าวเติงกล่าว มันคือจ้าวจิน อาวุโสผู้พิทักษ์อีกคนของตำหนักฟ้าลี้ลับ น้ำเสียงของมันยังแลดูตื่นเต้นไม่น้อย
และทันทีที่มันกล่าวออกมา กระทั่งเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นจนออกอาการให้เห็น
ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ตำหนักฟ้าลี้ลับเป็นถึงขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจมหาศาลในสายตาของผู้คนทั่วๆไป
อย่างไรก็ตามเหล่ายอดฝีมือที่อยู่แถวหน้าของภูมิภาคเบื้องล่างล้วนรู้กันดี ว่าแม้ตำหนักฟ้าลี้ลับจะเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 แต่ก็ยังด้อยกว่ามากหากจะยกไปเทียบกับตำหนักเมฆาครามและตลาดมืดหยินชาน
“ท่านจ้าวตำหนัก…”
ทว่าตอนนี้เอง เฉียนผิงเชิง พลันกล่าวแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าคล้ายมีเรื่องกังวลบางอย่าง ทำให้บรรยากาศยินดีก่อนหน้าหยุดชะงักลงทันที
จังหวะนี้ทุกสายตาพลันหันไปมองเฉียนผิงเชิงอย่างพร้อมเพรียง
“มีอันใดหรือ?”
เมิ่งฉิงกล่าวถามด้วยสงสัย
“ข้าคิดว่า…อาจมีปลาที่เล็ดรอดร่างแหไปได้…”
เฉียนผิงเชิงกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขมขื่น
ปลาที่เล็ดรอดร่างแห!
ทันทที่เฉียนผิงเชิงกล่าวประโยคนี้ออกมา ทุกคนรวมถึงจูลู่ฉีจ้าววังนภาอดชักหน้าเคร่งขึ้นมาไม่ได้
“จ้าววังจู มิใช่ท่านพึ่งกล่าวว่า ฝั่งใต้ของท่านจัดการเรียบร้อยดีแล้วหรอกหรือ?”
เมิ่งฉิงยังไม่ทันได้พูดอะไร เป็นจ้าวจินที่กล่าวถามออกมาก่อน สีหน้าแววตายามมองถามจูลู่ฉียังแฝงตำหนิไม่น้อย
“ศิษย์นองเฉียน เรื่องนี้มันยังไงกันแน่ ไฉนเจ้าถึงกล่าวเช่นนั้น?”
จูลู่ฉีก็มองจี้ถามเฉียนผิงเชิงเช่นกัน สีหน้ายังแลดูอัปลักษณ์ไม่น้อย ไฉนเฉียนผิงเชิงถึงไม่บอกมันก่อน…กล่าวออกมาแบบนี้ไม่ใช่ว่าเป็นมันที่ต้องรับผิดชอบหรือไร
“พี่จูท่านจำไม่ได้หรือว่าข้อมูลที่พวกเราได้รับมา ฉีจิ้ง สมควรมีสุนัขรับใช้ที่หลังค่อมคนหนึ่ง…หากแต่วันนี้พวกเรายังมิเห็นตัวมันเลยมิใช่หรือ?”
เฉียนผิงเชิงมองกล่าวับจูลู่ฉี อันที่จริงมันเองก็พึ่งนึกออก
“หืม สุนัขรับใช้หลังค่อม?”
จูลู่ฉีขมวดคิ้วกล่าวออกเสียงเข้ม “มิใช่มันก็แค่ผู้ติดตามที่คอยจัดการเรื่องราวจิปาถะหรือไร…แถมจากขอมูลที่ข้าได้จากการสืบค้นวิญญาณของอาวุโสพวกนั้น ก็ไม่เห็นมีคนไหนคิดว่ามันล่วงรู้เคล็ดบำเพ็ญมารของฉีจิ้งเลย”
“พี่จู คนพวกนั้นล้วนเป็นชนชั้นอาวุโส…ไหนเลยจะเห็นสุนัขรับใช้เช่นนั้นอยู่ในสายตา…”
เฉียนผิงเชิงส่ายหัวไปมาค่อยกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “อันที่จริงข้าเองก็พึ่งนึกขึ้นได้ ข้ายังพอจดจำได้ว่าตอนที่ได้ฟังเรื่องราวมา เมื่อปีที่แล้วยามฉีจิ้งมาถึงสถานที่จัดการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง มันมาพร้อมกับสุนัขรับใช้ผู้นั้น…และก่อนหน้าที่จะมีการประลอง ฉีจิ้งก็ไม่ได้อยู่ในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องตลอดทั้งปี…”
“ถ้าหากตลอดเวลาที่ผ่านมา…มันติดตามไปด้วยกันกับฉีจิ้งเล่า?”
ก่อนที่เฉียนผิงเชิงจะทันได้กล่าวจบ กู่ซืออวิ๋นพลันกล่าวแทรกขึ้นมาด้วยใบหน้าขึงขัง “ทางฝั่งที่ข้ารับผิดชอบเก็บกวาด ข้าก็ได้รับทราบข้อมูลมาว่าชายหลังค่อมนั่นมันมาถึงลานประลองพร้อมฉีจิ้ง สุดท้ายยังติดตามกลุ่มอาวุโสกลับมาที่นี่…”
“อย่างไรก็ตามนอกจากศิษย์ที่ไปร่วมการประลองแล้ว ศิษย์ทั่วไปไม่มีใครรู้จักมันเลย เช่นนั้นฐานะของมันในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนับว่าต้อยต่ำมาก…แต่หากมันติดตามฉีจิ้งไปอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ…ข้ามั่นใจว่ามันสมควรล่วงรู้เรื่องเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งฝึกแน่!”
ยิ่งมาวาจาของกู่ซืออวิ๋นยิ่งเผยถึงความตึงเครียด สีหน้ากลายเป็นจริงจังขึ้นมา
“ฝั่งที่ข้ารับผิดชอบข้าก็ได้สืบค้นข้อมูลแล้ว แต่ข้อมูลที่ได้ก็เพียงแค่เคยเห็นคนหลังค่อมอยู่กับฉีจิ้งไม่กี่ครั้ง…ข้าก็นึกว่ามันสมควรอยู่ฝั่งของจ้าววังจู และไม่น่าจะรอดพ้นการเก็บกวาดไปแล้ว…แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะรอดไปได้!”
จ้าวจินมองจูลู่ฉีด้วยสายตาตำหนิ
“ว่าอะไร!?”
สีหน้าจูลู่ฉีเปลี่ยนไปใหญ่หลวง มันไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วกลับมีปลาที่เล็ดรอดร่างแหไปได้ตัวหนึ่งจริงๆ
“ท่านจ้าวตำหนัก ถึงแม้พวกเรายังมิอาจยืนยันได้แน่ชัดว่า คนหลังค่อมที่เป็นสุนัขรับใช้ฉีจิ้งมันล่วงรู้เรื่องเคล็ดบำเพ็ญมารหรือไม่แต่พวกเราก็ลองตามหามันแล้ว ทว่าไม่พบตัว…ดูเหมือนมันจะไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง”
เฉียนผิงเชิงกล่าว