WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1798
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1798
ตอนที่ 1,798 : ภัยซ่อนเร้น
ถึงแม้หรงฟ่านจะไม่ได้เป็นตัวตนสำคัญอันใดในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่อย่างน้อยๆมันก็เป็นผู้ติดตามของฉีจิ้ง
ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้จักหน้าค่าตาตัวตนระดับสูงๆดี
เมื่อราวๆ 5 ปีที่แล้วมันก็ได้ติดตามฉีจิ้งไปด้านนอก และเคยเห็นหน้าค่าตาจ้าวจี้ของตำหนักฟ้าลี้ลับมาก่อน
จากที่นายน้อยของมันกล่าวบอกมา จ้าวจี้ผู้นี้อาจจะเป็นจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคนต่อไป!
ด้วยเหตุนี้มันจึงจำหน้าค่าตาจ้าวจี้เอาไว้อย่างดี
นั่นคือตัวตนที่นายน้อยของมันก็ไม่กล้าล่วงเกิน!
วันนี้พอมันเห็นจ้าวจี้อีกครั้ง แม้จะไม่ได้คุ้นเคยแต่ก็คุ้นตา ไม่ทันไรก็จดจำอีกฝ่ายได้
ส่วนอีก 2 คนที่เหินร่างติดตามจ้าวจี้มามันไม่รู้จัก และไม่ได้สนใจอะไร
‘จากที่นายน้อยเคยกล่าวบอก จ้าวจี้เป็นถึงบุตรชายคนเดียวของรองจ้าวตำหนัก จ้าวเติง…นอกจากนี้ปู่ของมันยังเป็น 1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!’
ร่างหรงฟ่านอดไม่ได้ที่จะสะท้านไปวูบหนึ่งเมื่อนึกถึงฐานะของอีกฝ่าย
1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่ว่าใครก็มีพลังฝีมือทัดเทียมกับผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกมัน!
‘ไฉนจ้าวจี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้…มันมาทำอะไรที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกัน?’
เมื่อเห็นว่าจ้าวจี้กำลังมุ่งหน้าไปคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง หรงฟ่านอดไม่ได้ที่จะสงสัย
เท่าที่มันรู้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรกับตำหนักฟ้าลี้ลับแม้แต่น้อย ไฉนจ้าวจี้ที่ขึ้นชื่อว่ารุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตำหนักฟ้าลี้ลับถึงมาได้?
ในขณะที่หรงฟ่านกำลังสับสนงุนงง มันก็พบว่ามีร่างหนึ่งที่ไม่ทราบผุดโผล่มาจากที่ใด แต่อยู่ๆก็มาหยุดลอยค้างอยู่เบื้องหน้าจ้าวจี้!
เป็นชายวัยกลางคนที่แลดูทรงพลังน่าเกรงขาม อีกทั้งใบหน้ายังละม้ายคล้ายจ้าวจี้หลายส่วน!
‘คนผู้นั้น…หรือจะเป็นจ้าวเติงบิดาของจ้าวจี้…หนึ่งในรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ?’
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไฉนหรงฟ่านถึงเดาความเป็นมาจ้าวเติงได้ออก เพราะหน้าตาจ้าวจี้แทบจะถอดพิมพ์เดียวมาจากจ้าวเติง!
ชายวัยกลางคนผู้นี้คือจ้าวเติงแน่นอน!
“จี้เอ๋อ…ไฉนเจ้ามาได้เล่า?”
จ้าวเติงที่ปรากฏตัวออกมากลางหาว มองถามจ้าวจี้กับอีก 2 คนที่ติดตามจ้าวจี้มาด้วยความงุนงง
“มิใช่ว่าข้าบอกแล้ว ว่าให้เจ้ารออยู่ที่บ้านหรือไร?”
น้ำเสียงของจ้าวเติงเห็นได้ชัดว่าแฝงตำหนิ
“ท่านพ่อ ก็ข้าเห็นว่านี่มันก็นานแล้วแต่ท่านยังไม่กลับเสียทีข้าก็เลยตามมาดู…ว่าแต่นี่พวกท่านได้เคล็ดบำเพ็ญมารนั่นมาแล้วหรือยัง?”
จ้าวจี้มองถามจ้าวเติงด้วยสายตาร้อนแรงดังมีเปลวไฟลุกโชน
“เคล็ดบำเพ็ญมาร ต้องรอให้วิญญาณของฉีจิ้งฟื้นตัวอีกสักระยะ ถึงจะสามารถใช้วิชาควาญวิญญาณกับมันได้”
จ้าวเติงส่ายหัว “รอให้พวกเราจัดการเรื่องราวที่นี่จบ พวกเราจะพามันกลับไปตำหนักฟ้าลี้ลับ”
“อ่อ”
จ้าวจี้พยักหน้า ก่อนที่จะกล่าวถามด้วยความสงสัย “ท่านพ่อ แล้วไฉนถึงได้ใช้เวลานานนักเล่า?”
เพราะรออยู่นานแต่จ้าวเติงไม่กลับมาเสียที จ้าวจี้จึงตามมาดูด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
นอกจากนี้มันยังกังวลใจไม่น้อย ด้วยกลัวว่าจะพลาดไม่ได้รับเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งฝึกปรือ!
เพราะหากมันได้มาบ้างล่ะก็ พลังฝึกปรือมันต้องก้าวหน้าด้วยความเร็วอัศจรรย์แน่นอน!
ถึงตอนนั้นกระทั่งหลิงเทียนก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันอีกต่อไป และเกียรติยศทั้งหมดที่เคยเป็นของมัน ก็จะหวนกลับคืนมาสู่มัน!!
“เกิดเรื่องเล็กน้อย…พวกเราหาตัวผู้ติดตามของฉีจิ้งไม่พบ ตอนนี้ปู่เจ้า ท่านจ้าวตำหนักรวมถึงรองจ้าวตำหนักคนอื่นๆ ก็เดินทางไปบ้านเกิดมันแล้ว อีกไม่นานสมควรจับตัวมันได้”
จ้าวเติงกล่าว
“ผู้ติดตามของฉีจิ้ง ตัวตนเช่นนั้นสมควรไม่รู้เรื่องเคล็ดบำเพ็ญมารมิใช่หรือ?”
จ้าวจี้ขมวดคิ้ว “ไฉนถึงต้องไปตามล่าขี้ข้าคนเดียวให้ยุ่งยากด้วยเล่าท่านพ่อ?”
“ผู้ติดตามคนนั้นมิใช่ผู้ติดตามธรรมดา…ตลอดปีที่ฉีจิ้งหายตัวไปบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมาร มันก็สมควรอยู่ด้วย…เพราะยามมาประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง พวกมันมาถึงพร้อมกัน!”
จ้าวเติงกล่าวออกเสียงเครียด “เช่นนั้นหากมันไม่ตาย การลงมือของตำหนักฟ้าลี้ลับเราครั้งนี้อาจแพร่งพรายออกไปได้…และนั่นจักกลายเป็นภัยซ่อนเร้นอันใหญ่หลวง!”
“ลองท่านจ้าวตำหนักกับท่านปู่ไปด้วยตัวเองแบบนี้ มันต้องตายแน่ๆท่านพ่อ!”
จ้าวจี้กล่าวออกด้วยอำมหิต สองตาทอประกายเย็นเยียบขึ้นมา
“จี้เอ๋อเจ้ากลับไปก่อนเถอะ…หากท่านจ้าวตำหนักล่วงรู้ว่าเจ้ามาทีนี่ด้วยมิพ้นเจ้าได้ถูกตำหนิอีกแน่”
จ้าวเติงมองกล่าวเตือนจ้าวจี้ด้วยท่าทางหวั่นใจ
“อะไรเล่าท่านพ่อ..มิใช่ว่ากู่ลี่มันก็มาด้วยรึไง?”
จ้าวจี้ขมวดคิ้ว กล่าวออกด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
ในฐานะบิดาของจ้าวจี้ จ้าวเติงย่อมรู้ดีว่าลูกของตัวกำลังไม่พอใจ “เจ้าอย่าได้คิดมากเรื่องนี้เลย แม้เรื่องนี้จะเป็นความดีความชอบของหลิงเทียน แต่กู่ลี่ก็เป็นคนคาบข่าวจากหลิงเทียนมาบอกท่านจ้าวตำหนัก ทำให้มันก็มีความดีความชอบเช่นกัน…”
“แถมกู่ลี่มันก็มีพลังฝีมือเหนือเจ้า…” กล่าวรอบนี้ ในวาจาของจ้าวเติงเผยให้เห็นถึงความตำหนิบุตรชายเช่นกัน “หากเจ้าว่างนัก ใยไม่ปิดด่านบ่มเพาะพลังเสียเล่า! อย่าว่าแต่หลิงเทียนเลยหากเป็นเช่นนี้ต่อไป กระทั่งกู่ลี่เจ้าก็ไม่อาจเทียบได้!!”
“หลิงเทียน!”
ลูกตาจ้าวจี้ทอประกายเย็นเยียบออกมาทันที ยังเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหาร “มันอยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก!”
“ไป๋ฉวี่ เฮยถู พาจี้เอ๋อกลับไปเสีย”
จ้าวเติงมองไปยังร่าง 2 คนที่ติดตามมาด้านหลังจ้าวจี้ ค่อยกล่าวสั่งออกไป
คนที่ติดตามมาด้วยกันกับจ้าวจี้ทั้ง 2 ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นไป๋ฉวี่กับเฮยถู สองพี่น้องที่แต่งกายมาในชุดขาวกับดำ ยังเป็น 2 คนที่คิดเล่นงานต้วนหลิงเทียนที่ยอดเขาวังนภาวันที่ ต้วนหลิงเทียนตบหน้าจ้าวจี้
ทว่าตอนนั้นเพราะกู่ลี่มาขวางเสียก่อน ต้วนหลิงเทียนจึงไม่ทันได้ปะทะกับพวกมัน
“ทราบแล้วท่านอาจารย์!”
สิ้นคำจ้าวเติงไป๋ฉวี่กับเฮยถูก็เร่งรับคำอย่างเคารพ ก่อนที่จะหันไปมองกล่าวกับจ้าวจี้เสียงอ่อน “น้องเล็กฟังท่านอาจารย์เถอะ กลับไปพร้อมพวกเราก่อน”
แม้จ้าวจี้อยากรั้งอยู่ติดตามเรื่องราวด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ในเมื่อจ้าวเติงไม่อนุญาตมันก็ทำได้แค่กลับไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจสักเท่าไหร่
หลังจากจ้าวจี้กับพวกทั้ง 3 คนจากไป จ้าวเติงก็เหินร่างกลับไปที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง
“มีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่…”
หรงฟ่านที่ซ่อนตัวอยู่ไกลๆ ย่อมไม่ได้ยินบทสนทนาเหนือฟ้าสูงระหว่างจ้าวเติงกับจ้าวจี้
อย่างไรก็ตามมันยังรู้ได้ทันทีว่าท่าไม่ดีแล้ว!
‘จ้าวเติงผู้นั้นมันเป็นถึงรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ ไฉนถึงมาเยือนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้ แล้วมันมาเพื่ออันใด?’
สูดลมหายใจเข้าลึกๆรอบหนึ่ง หรงฟ่านก็ตัดสินใจได้ ‘ตอนนี้ข้าไม่อาจเคลื่อนไหวมั่วซั่ว มีจ้าวเติงอยู่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทั้งคนเช่นนั้น ข้ามิอาจเข้าไปตรวจสอบอันใดได้อีกแล้ว’
จังหวะนี้หรงฟ่านไม่กล้าลงมือทำอะไรสุ่มเสี่ยงอีก มันพยายามซ่อนตัวให้มิดชิด และพยายามหลบหนีไปอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงเส้นทางไปยังคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกับตำหนักฟ้าลี้ลับ หมายออกจากเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องให้เร็วที่สุด
ส่วนทางด้านเมืองถัวเฟิงที่มีเมิ่งฉิงตรึงกำลังเอาไว้ หลังจากที่ค้นหาตลอดทั้งเดือนกลับไม่พบร่องรอยของหรงฟ่านเลย
หรงฟ่านไม่ได้ย้อนกลับไปที่บ้านในคืนนั้นตามที่บิดามารดาของมันกล่าวบอก กระทั่งยังคล้ายจะอันตรธานหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
“ตอนนี้พวกเรามั่นใจได้แล้ว ว่าหรงฟ่านต้องระแคะระคายบางอย่างแน่นอน…ตัวตนศิษย์เราถูกเปิดเผยแล้ว!”
กู่ซืออวิ๋น 1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์กล่าวออกด้วยใบหน้าบูดบึ้ง น้ำเสียงไม่สบอารมร์ถึงที่สุด
“ในวันนั้นตอนที่พวกเรากระจายกำลังค้นหา พวกเราลงมือช้าไปจนมีคนออกจากเมืองไปได้เจ็ดคน…เกรงว่า 1 ใน 7 คนที่ออกจากเมืองไป สมควรมีใครคนหนึ่งพบหรงฟ่านเข้าระหว่างทาง และบอกมันถึงเรื่องนี้”
จ้าวจิน อาวุโสผู้พิทักษ์อีกคนกล่าว
“อาวุโสพิทักษ์ทั้ง 2 รบกวนพวกท่านไปจับตัวทั้ง 7 คนนั่นมาเถอะ และให้พวกมันสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ดูว่าพวกมันคนใดพบเจอหรงฟ่านหรือไม่!”
เมิ่งฉิงสั่ง
นอกจากนี้มันเชื่อว่ากุญแจสำคัญของเรื่องราวสมควรเป็นคนที่ออกจากเมืองไป 7 คนนั่น!
เมื่อกู่ซืออวิ๋นกับจ้าวจินลงมือเอง เรื่องราวย่อมลุล่วงไปด้วยความรวดเร็ว
“ท่านจ้าวตำหนัก…”
เมื่อกู่ซืออวิ๋นกับจ้าวจินกลับมา ทั้งคู่ก็พาคนมาด้วยคนหนึ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น หรงหง ที่เจอหรงฟ่านระหว่างทางวันนั้น
หรงหงที่ถูกพาตัวมา ตอนนี้ร่างก็สั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว
กลิ่นอายพลังอันเข้มแข็งที่แผ่ออกจากร่างชายชราทั้ง 2 ที่จับตัวมันมา พาลให้มันหวาดกลัวจับใจ อีกฝ่ายไม่ต้องลงมือทำอะไร แค่นี้วิญญาณมันก็แทบหลุดลอยออกจากร่างแล้ว
หากไม่ใช่เพราะทั้งสองปราณีสะกดพลังส่วนใหญ่เอาไว้ มันคงหายใจไม่ออกตาย
“ใต้เท้า พวกเราจับได้คนหนึ่ง”
เมื่อได้ยินคำของชายชรา 1 ใน 2 คนที่กล่าวออก หรงหงถึงกับหวัดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ
ใต้เท้า?
หรือชายวัยกลางคนผู้นี้จะเป็นผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง?
ผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาตามหาหรงฟ่านด้วยตัวเองเลยหรือ?
‘บัดซบ หรงฟ่าน! เจ้าไปก่อเรื่องอันใดไว้กันแน่! ชนชั้นผู้นำคฤหาสน์ถึงได้ถ่อมาหาเจ้าด้วยตัวเองเช่นนี้! ถึงว่าล่ะ! วันนั้นที่ข้าเจอมัน สีหน้าของมันถึงได้แลดูแปลกๆ มิพ้นต้องเกิดเรื่องใดบางอย่างเป็นแน่!”
‘มิน่าแปลกใจเลยที่ตลอดเดือนมานี้มันถึงได้หายหัวไม่โผล่มาให้เห็น!!’
พอนึกถึงเรื่องนี้สีหน้าหรงหงเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันใด มันอุตส่าเก็บงำความลับไว้ให้หรงฟ่าน แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวจะพาลมาถึงตัวแบบนี้
“ใต้เท้า!”
เมื่อเดาไปว่าคนเบื้องหน้าสมควรเป็นผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง หรงหงก็เร่งคุกเข่าลงไปทันใด ร่างมันสั่นระริกราวลูกนกตกน้ำ กล่าวออกอย่างรีบร้อน “ขะ…ขะ…ข้ามิรู้ว่าหรงฟ่านไปก่อเรื่องอันใดมา ถึงได้พลาดพลั้งทำผิดไปอย่างโง่งม”
ตอนนี้เองเมิ่งฉิงก็ได้รับรู้จากอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ว่าหรงฟ่านได้เล็ดรอดไปนานแล้ว
“วันนั้นที่เจ้าแยกกับมัน ใช่มันกำลังมุ่งหน้าไปคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องหรือไม่?”
เมิ่งฉิงหันไปกล่าวถามหรงหงเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“ใช่ๆ”
หรงหงเร่งพยักหน้าเร็วรี่ปานลูกเจี๊ยบจิกข้าวสาร ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าหรงหงหมดประโยชน์แล้ว เมิ่งฉิงพลันสะบัดมือเบาๆ ป่นร่างมันจนกลับกลายเป็นละอองโลหิตทันที
“จ้าววังเฉินท่านกับศิษย์สองคนเฝ้าอยู่ที่เมืองนี้ หากหรงฟ่านมันย้อนกลับมา พบเห็นเป็นฆ่าทันที!”
(*ถ้ามีเฉียนผิงเชิงโผล่มา ขอให้รู้ไว้ว่ามันคือจ้าววังเหลืองเฉินผิงเชิงนะ บางทีผมหลอนๆชื่อเลยพิมพ์ผิด)
ขณะเดียวกันเมิ่งฉิงก็หันไปมองสั่งเฉินผิงเชิง จ้าววังเหลือง
“ทราบแล้วท่านจ้าวตำหนัก”
เฉินผิงเชิงเร่งพยักหน้ารับคำ
“ส่วนคนอื่นๆติดตามข้าย้อนกลับไปยังคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…อย่างไรก็ตามข้าสงสัยว่าหรงฟ่านมันคงมิได้ย้อนกลับไปคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง หาไม่แล้วคนที่รั้งอยู่ที่นั่นสมควรมารายงานข้านานแล้ว”
จังหวะนี้แม้แต่ใบหน้าของจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างเมิ่งฉิง ยังบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ไม่น้อย
แม้ปลาที่เล็ดรอดร่างแหไปตัวนี้จะเป็นตัวตนอันต่ำต้อย แต่ตำหนักฟ้าลี้ลับต้องลากคอมันมาฆ่าให้จงได้! หาไม่แล้วหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตำหนักฟ้าลี้ลับได้เจอปัญหาแน่นอน!!
เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็พึ่งได้รู้หลังจากที่กู่ลี่กลับมาแล้วเท่านั้น
“พี่กู่ นี่หมายความว่าก่อนที่พวกท่านจะกลับมา พวกท่านไม่เจอร่องรอยของหรงฟ่านคนนั้นเลยงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“ไม่เจอเลย”
กู่ลี่ส่ายหัวไปมา ค่อยฉีกยิ้มแหยๆ “ตอนนี้ท่านจ้าววังเหลืองเองก็เฝ้าจับตาดูมันอยู่ที่เมืองถัวเฟิง ส่วนจ้าวเติงกับบิดาของมันก็เฝ้ารออยู่ที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เผื่อหรงฟ่านมันจะปรากฏตัว…”