WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1800
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1800
ตอนที่ 1,800 : พบกู่ซืออวิ๋นเพื่อขอความช่วยเหลือ
“นอกจากนี้แม้ทั้งคู่จักทะลวงถึงเซียนนภาแล้ว ก็มิใช่ว่าจักไร้พิษสงแต่อย่างไร…อย่างเช่นหากมีใครคิดบ่อนทำลายขุมพลังของทั้งคู่ๆก็สามารถลงมือได้! เพราะหากยังอายุมิถึง 100 ปี ยังสามารถลงมือใช้พลังได้โดยที่มิถือว่าขัดต่อกฏของผู้สังเกตการณ์!!”
กู่ลี่กล่าว
“อ่าวพี่กู่…ไม่ใช่ก่อนหน้าท่านบอกว่าผู้ที่บรรลุเซียนนภาไม่อาจใช้พลังได้ไม่ใช่หรือ…แต่ไหงตอนนี้ท่านบอกว่าสามารถลงมือได้เล่า?”
ต้วนหลิงเทียนงง เพราะจากตอนแรกที่ได้ฟังเหมือนผู้สังเกตการณ์จะไม่อนุญาตให้เซียนนภาลงมือทำอะไรทั้งสิ้น แต่ตอนนี้กลับสามารถลงมือได้โดยไม่ขัดต่อกฏเพราะอายุไม่ถึง 100 ปี? สรุปแล้วที่แท้มันอะไรกันแน่?
“ก็ใช่ที่หากเป็นตัวตนขอบเขตเซียนนภาทั่วไป มิอาจใช้พลังลงมือทำร้ายผู้ใดได้…ทว่ายังมีข้อยกเว้นอยู่ประการหนึ่ง! หากตัวตนที่บรรลุขอบเขตเซียนนภานั้นอายุมิถึง 100 ปี นอกจากคิดลงมือทำร้ายผู้อื่นก่อนแล้ว สามารถใช้พลังได้ตามใจ! เพราะผู้ฝึกตนที่บรรลุเซียนนภาก่อนอายุ 100 ปี ยังถือว่าเป็นอัจฉริยะหาได้ยากแม้จะในภูมิภาคเบื้องบน…ตัวตนเช่นนี้ล้วนแล้วแต่ถูกขุมพลังชั้น 1 ให้ความสนใจและหมายดึงตัวไปเข้าร่วมทั้งสิ้น”
กู่ลี่กล่าวสืบต่อ “ด้วยเหตุนี้หากเป็นเซียนนภาที่อายุต่ำกว่า 100 ปี ต่อให้เป็นผู้สังเกตการณ์ก็ยังคิดตีสนิทเอาใจหมายสร้างสายสัมพันธ์ ขอเพียงการลงมือไม่ร้ายแรงและขัดต่อกฏมากเกินไป พร้อมหลับตาข้างหนึ่งเสมอ…”
ได้ฟังคำนี้ของกู่ลี่แล้ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มเจื่อนๆออกมา
ดูเหมือนไม่ว่าจะที่ไหนต่อที่ไหนคำ ‘เส้นสาย’ ก็ไม่เคยจางหาย
“ผู้นำตลาดมืดหยินชานกับจ้าวตำหนักเมฆาคราม…ยังอายุไม่ถึง 100 ปีงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ถึงเรื่องนี้
“ใช่”
กู่ลี่พยักหน้า ค่อยกล่าวออกด้วยวาจาแฝงความเลื่อมไส “มิว่าจะเป็นผู้นำตลาดมืดหยินชาน หรือจ้าวตำหนักเมฆาคราม สมควรบรรลุถึงเซียนนภาก่อนที่จะมีอายุ 100 ปีทั้งคู่! ตัวตนของทั้งคู่ประหนึ่งสัตว์ประหลาดของภูมิภาคเบื้องล่างเราแล้วจริงๆ!!”
บรรลุเซียนนภาก่อนอายุ 100 ปี!
กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองยังประหลาดใจ
ถึงแม้เขาจะมั่นใจว่าตัวเองสามารถบรรลุถึงเซียนนภาได้ก่อนอายุ 100 ปี กระทั่งมั่นใจมากว่าต้องบรรลุถึงก่อนอายุ 50 ปีแน่ๆ…
แต่ทว่าเหตุผลที่ทำให้เขามีความมั่นใจแบบนั้น ล้วนแล้วแต่เป้นเพราะเขามีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ! การไหลของห้วงเวลาในเจดีย์ช้ากว่าภายนอกถึง 5 เท่า!
และนั่นยังแค่ชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!
หากชั้นที่ 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติซ่อมแซมแล้วเสร็จล่ะก็…ห้วงเวลาจะไหลช้าลง 8 เท่า!
ช้ากว่า 8 เท่า เรื่องนี้จะให้คิดอย่างไร?
กล่าวอีกอย่างได้ว่า บนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง ผ่านไปแล้ว 8 วัน ทว่าด้านนอกกลับพึ่งผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น!
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมบนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติยังเหนือกว่าชั้นที่ 3 อย่างมาก! พลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นบริบูรณ์มากยิ่งขึ้น!!
บอกได้เลยว่าทันทีที่ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติซ่อมเสร็จ พลังฝึกปรือของเขาต้องพัฒนาครั้งใหญ่แน่!
‘ต้องรีบซ่อมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้จงได้…รีบทะลวงให้ถึงอริยะเซียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพาะสร้างเวทย์พลังที่จำเป็น…หลังจากนั้นจะได้เดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบน!!’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกู่ลี่ด้วยสายตาขึงขัง กล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจังทันที “พี่กู่ ข้ามีเรื่องคิดขอความช่วยเหลือจากท่าน”
“ฮัยยาน้องหลิงเทียน กับข้าเจ้ายังต้องเกรงใจอันใด เพียงว่ามาเถอะหากไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้ามิว่าอันใดข้ายินดีช่วยเจ้าเต็มที่ ขึ้นเขาลงห้วยอันใดข้าไปได้หมด!”
กู่ลี่ยิ้มกล่าวออกมาทั้งรับประกัน
ได้ยินคำของกู่ลี่ต้วนหลิงเทียนย่อมซาบซึ้งเป็นธรรมดา รีบกล่าวออกมาอย่างไว “ไม่ต้องขึ้นเขาลงห้วยหรอกพี่กู่…ข้าคิดรบกวนให้พี่กู่ช่วยรวบรวมวัตถุดิบบางชนิดให้ข้า และหากไม่ขัดข้องอะไร ข้าอยากให้พี่กู่ช่วยขอแรงอาวุโสกู่เพื่อตามหาวัตถุดิบเหล่านี้ให้ข้าอีกแรง ด้วยมีอาวุโสกู่ช่วยเหลือการค้นหาย่อมเปี่ยมประสิทธิภาพแน่”
“ฮัยยาข้าก็คิดว่าเรื่องใหญ่อันใด! ที่แท้เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้…ไม่มีใดขัดข้องหรอก! จริงสิหากเจ้าว่างแล้วตอนนี้ก็ตามข้าไปหาท่านพ่อด้วยเลยดีกว่า ถึงท่านพ่อน่าจะปิดด่านอยู่แต่หากข้าไปเรียกเพราะเจ้ามาพบ ท่านต้องยินดีและรีบออกมาพบเจ้าแน่!”
กู่ลี่ตบหน้าอกตัวเองเพิ่มความมั่นใจให้ต้วนหลิงเทียน
“เอ่อ…นั่นไม่ดีมั้งพี่กู่ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก”
ต้วนหลิงเทียนเร่งส่ายหัวออกมาทันที
กู่ลี่ยิ้ม ไม่รอช้าอีกต่อไปมันลุกขึ้นยืนทันที ยังฉุดร่างต้วนหลิงเทียนขึ้น “มาเถอะน้องหลิงเทียน! ไปหาท่านพ่อข้ากัน! ท่านพ่อเองก็กลับมาพร้อมข้า ท่านอยากเจอเจ้านานแล้วแต่เห็นเจ้าปิดด่านอยู่ จึงมิมีโอกาสได้เจอเจ้าเสียที”
ภายใต้การนำของกู่ลี่ ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้เจอกับกู่ซืออวิ๋น อีกฝ่ายเร่งออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดี ทำให้เขารู้สึกปลื้มใจไม่น้อย
“เจ้าน่ะหรือหลิงเทียน! ยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือนัก สมเป็นมังกรในมวลมนุษย์จริงๆ!!”
เมื่อกู่ซืออวิ๋นเห็นต้วนหลิงเทียน มันนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส กล่าวชมไม่ขาดปาก ยังแลดูอัธยาศัยดีไม่คล้ายเป็นผู้พิทักษ์อาวุโสอะไร “รีบเข้ามานั่งก่อนเถอะ”
เหตุผลที่กู่ซืออวิ๋นค่อนข้างเป็นมิตรแบบนี้ เพราะต้วนหลิงเทียนเป็นสหายของบุตรชาย
ต้องทราบด้วยว่าในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้ บุตรชายของมันไม่ค่อยมีสหายมากนัก โดยเฉพาะสหายที่สามารถเปิดใจได้อย่างต้วนหลิงเทียน นับว่ายังมีแค่คนเดียวเท่านั้น
เหตุผลอีกอย่างนั้นนับเป็นเรื่องราวอันง่ายดายนัก เพราะต้วนหลิงเทียนสร้างความดีความชอบอันใหญ่หลวงให้บุตรชายของมัน!
ได้รับรู้ว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารที่มีวิชารวมวิญญาณแฝงอยู่ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างใหญ่หลวง! ด้วยเหตุนี้จ้าวตำหนักถึงกับกล่าวชมเชยบุตรชายมันทั้งให้รางวัลเป็นการส่วนตัว!!
ด้วยเหตุผลทั้งหมด กู่ซืออวิ๋นจึงไม่มีเหตุผลให้ไม่เป็นมิตรกับต้วนหลิงเทียน
“เชิญอาวุโสกู่”
ต้วนหลิงเทียนเองก็ตอบรับน้ำใจ ทั้งยังรู้สึกได้รับเกียรติอย่างเหนือคาดคิด เขาเองก็ไม่ได้เผยท่าทางถือตัวเฉยเมยอะไร กลับรักษาท่าทีอ่อนน้อมดั่งรุ่นเยาว์พึงปฏิต่ออาวุโส
เห็นฉากนี้กู่ซืออวิ๋นก็รู้สึกยินดีนัก นับว่าบุตรชายมันคบหาสหายอันประเสริฐแล้วจริงๆ
แน่นอนว่ามันเองก็ไม่ได้วางท่าบ้าอำนาจอะไร ยังปฏิบัติกับต้วนหลิงเทียนด้วยความเป็นมิตร เสมือนปู่ใจดีพบพานหลานรัก
“หลิงเทียน ต่อไปเจ้ามิต้องเรียกข้าว่าอาวุโสกู่หรอก ในเมื่อเจ้าเองก็เป็นสหายของลี่เอ๋อ เช่นนั้นเพียงเรียกหาข้าลุงกู่ก็พอแล้ว”
หลั่งดื่มชาไปถ้วยหนึ่ง กู่ซืออวิ๋นมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม
“ลุงกู่”
ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนยึดติดกฏเกณฑ์ยศอย่างอะไรเป็นทุน แน่นอนว่าย่อมไม่คิดปฏิเสธ แถมในใจยังเพิ่มความเคารพกู่ซืออวิ๋นขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกว่าอีกฝ่ายถือเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ควรค่าแก่การนับถือ
“ท่านพ่อ ที่ข้ากับน้องหลิงเทียนมาหาท่านครั้งนี้ นอกจากคิดพบเจอท่านแล้ว ยังคิดขอความช่วยเหลือจากท่านรวบรวมวัตถุดิบหายากบางอย่าง”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกับกู่วืออวิ๋นกล่าวต่อกันด้วยดี และแลเห็นว่าต้วนหลิงเทียนท่าทางจะลืมจุดประสงค์การมาเอาแต่สนทนาไปเรื่อยเปื่อย กู่ลี่จึงเร่งกล่าวออกมาทันที
“หือ?”
ได้ยินดังนั้นกู่ซืออวิ๋นก็หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนทันที “เสี่ยวเทียนแล้ววัตถุดิบที่เจ้าอยากให้ข้าช่วยหามันคืออะไรหรือ?”
หลังสนทนากันพักหนึ่งคำเรียกหาของกู่ซืออวิ๋นก็เป็นมิตรมากขึ้น ยังแลดูสนิทสนมมากขึ้น
“ลุงกู่ วัตถุดิบที่ข้าอยากได้เป็นของพวกนี้…”
ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นเบาๆ ก่อนจะปรากฏบันทึกเล่มหนึ่ง ด้านในมีรูปภาพพร้อมคำอธิบายลักษณะประกอบอยู่ด้านข้าง เขาได้ตระเตรียมเอาไว้ยามว่างหลังจาการบ่มเพาะ
“วัตถุดิบพวกนี้อาจหายากอยู่บ้าง ข้าจึงคิดขอแรงลุงกู่ให้ช่วยเหลือข้าตามหาพวกมัน และไม่ว่าพวกมันจะมีราคาเท่าใดใช้หินเซียนมากแค่ไหนลุงกู่เพียงบอกข้ามาได้เลย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกไปด้วยความวาดหวัง หากแต่ไม่คิดเลยว่าพอกล่าวจบคำสีหน้าของกู่ลี่กับกู่ซืออวิ๋นพลันเปลี่ยนไปทันที
จังหวะนี้เขาพลันตระหนักได้ทันที ว่าเมื่อครู่ด้วยความดีใจดันเผลอกล่าววาจาไม่เหมาะสมออกไปแล้ว
และไม่ทันทีต้วนหลิงเทียนจะกล่าวใดเพิ่มเติม เป็นกู่ลี่ที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังตามคาด “น้องหลิงเทียนแม้พวกเราจะพึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่พวกเราล้วนจริงใจต่อกัน แล้วเจ้าคิดว่าสหายที่คบหากันด้วยใจอย่างพวกเรา ยังจำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องหินเซียนอันใดด้วยหรือ?”
“เสี่ยวเทียน ลุงกู่มิเคยขาดหินเซียน! กล่าวบอกเจ้าตามตรงหากเจ้ามิใช่สหายอันดีของลี่เอ๋อ ให้เจ้ามอบหินเซียนให้ข้ามากมายเพียงใดข้าก็ไม่ช่วยเจ้าหรอก”
กู่ซืออวิ๋นยังกล่าวออกมา
“ลุงกู่ พี่กู่ เมื่อครู่เพราะข้าร้อนใจไปหน่อยจึงกล่าวไปไม่ทันคิด ต้องขออภัยต่อพวกท่านแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนเร่งขอโทษออกมาจากใจทันที เขาเองก็ตระหนักได้แต่แรกแล้วว่าพูดผิดไป อย่างไรก็ตามวาจาที่กล่าวออกไปดั่งน้ำที่ไหลหกจากแก้วยากจะย้อนคืน เพียงเร่งแก้ไขเท่านั้น
ได้ยินคำขอโทษจากใจของต้วนหลิงเทียน ท่าทีของกู่ลี่กับกู่ซืออวิ่นจึงค่อยอ่อนลง
“เอาล่ะ ข้าจะให้คนไปทำสำเนาบันทึกเล่มนี้ แล้วกระจายไปให้คนรู้จักของข้าช่วยรวบรวมอีกแรง…อย่างไรก็ตามข้าต้องบอกเจ้าไว้ก่อนเลยว่า…ของที่เจ้าบันทึกไว้ในนี้บางชิ้นเกิดมาข้ายังมิเคยพบเจอด้วยซ้ำ! ข้าจึงไม่มั่นใจว่าจะรวบรวมมาให้เจ้าได้ทั้งหมด..”
กู่ซืออวิ๋นมองบันทึกคร่าวๆ มันย่อมยินดีให้ความช่วยเหลือสหายของบุตรชายอย่างต้วนหลิงเทียน
แต่แม้ว่ามันอยากช่วยต้วนหลิงเทียนเต็มที่ แต่มันก็ไม่กล้ารับปากว่าจะหาวัตถุดิบมาได้ครบ เพราะของบางอย่างมันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ
“เรื่องนี้ข้าเข้าใจลุงกู่ แค่ท่านช่วยเหลือข้าก็ดีใจมากแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ากล่าวออกด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็ไม่หวังให้กู่ซืออวิ๋นหาวัตถุดิบให้เขาครบแต่แรกแล้ว
จากที่ผู้เฒ่าหั่วบอกไว้ วัตถุดิบบางอย่าง กระทั่งในแดนสวรรค์ทั้งหลายยังเป็นของที่พบพานได้ยากเย็น
หลังจากที่จัดการเรื่องราวรวบรวมวัตถุดิบซ่อมแซมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง หลังจากนี้เขาสามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างสบายใจ
ส่วนเรื่องนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งนั้น ต้วนหลิงเทียนไม่สนใจและไม่คิดจะถามหารางวัลอะไรทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่สนใจ และไม่คิดถามหารางวัล ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะเป็นเช่นนั้นด้วย
หนึ่งเดือนต่อมา ต้วนหลิงเทียนถูกจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิงเรียกพบ
ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ได้พบกับเมิ่งฉิง แต่ตอนนั้นมีคนอื่นอยู่ด้วยมากมาย ทว่าวันนี้เขากลับพบอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว ทำให้รู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง
อย่างไรเสียรู้สึกแปลกๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขากังวลอะไร
“จ้าวตำหนัก”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวทักจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักกลางโถงก่อน เช่นเดิมเขาไม่ได้เรียกหาอีกฝ่ายว่าใต้เท้าหรือท่านอะไร
เมิ่งฉิงก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เหมือนเคย ยิ้มทักต้วนหลิงเทียนกลับ ค่อยเปิดประตูเห็นภูผากล่าวออก “หลิงเทียน ที่พวกเราได้รู้ว่าฉีจิ้งบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงอันมีเคล็ดวิชารวมวิญญาณแฝงอยู่ ทั้งหมดล้วนเป็นความดีความชอบของเจ้าทั้งสิ้น”
“จ้าวตำหนัก ท่านเรียกข้ามาเพราะคิดกล่าวเรื่องนี้เองหรอกหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
“มิเชิง”
เมิ่งฉิงส่ายหัว ค่อยกล่าวสืบต่อ “ข้ารู้มาว่าเจ้าทราบเรื่องฉีจิ้งบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงอันมีวิชารวมวิญญาณร่วมด้วย เพราะศิษย์พี่ของเจ้าลี่เฟิง…และตอนนี้ลี่เฟิงศิษย์พี่เจ้าก็ขึ้นไปหาอาจารย์ของเจ้าที่ภูมิภาคเบื้องบนแล้ว”
“เช่นนั้น ตอนนี้อาจารย์ของเจ้า…ก็สมควรรู้เรื่องที่ฉีจิ้งบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงแล้วใช่หรือไม่?”