WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1806
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1806
ตอนที่ 1,806 : ยามเปลี่ยนเป็นโจร
เหล่าอาวุโสระดับสูงไม่ว่าจะเป็นรองจ้าวตำหนักทั้งหลาย หรือเมิ่งฉิงรีบรุดมาที่นี่ทันทีหลังได้รับรายงานว่าฉีจิ้งหายตัวไป…คาดว่าถูกคนช่วยไปแล้ว!
อย่างไรก็ตามไม่ทันไรทุกคนก็พบว่าในบรรดาระดับสูง กลับมีอีกคนที่ไม่อยู่!
และดันเป็นผู้ที่สมควรรับหน้าที่เฝ้ายามช่วงนี้พอดี…ไม่ใช่ใครที่ไหน จ้าววังนภา จูลู่ฉี!
“ท่านจ้าวตำหนัก! ทานจ้าวตำหนัก!!”
ในขณะที่บรรยากาศภายในคุกลับใต้ดินกำลังตึงเครียดบีบคั้น พลันมีเสียงหนึ่งโพล่งดังขึ้นอย่างแตกตื่นจากด้านนอก
‘จี้เอ๋อ?’
ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังกล่าว จ้าวจินกับจ้าวเติงหันมองหน้าสบตากันทันที ต่างแลเห็นถึงความประหลาดใจในสายตาของกันและกัน
ไฉนถึงมาตอนนี้ได้!
ไม่นานร่างจ้าวจี้ก็ปรากกขึ้นต่อหน้าระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับ
“จี้เอ๋อ เจ้ามาทำอันใดที่นี่! หรือเจ้าไม่รู้ว่านี่มิใช่ที่ๆเจ้าควรจะมา!?”
จ้าวเติงมองจ้าวจี้ค่อยกล่าวถามออกด้วยน้ำเสียงเปี่ยมโทสะ
ครั้งสุดท้ายที่มันเข้าเวรจ้าวจี้ก็มาที่นี่เช่นกัน อย่างไรก็ตามครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน เพราะคนอื่นๆกับจ้าวตำหนักก็อยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้สถานการณ์ยังมิค่อยสู้ดี เรียกว่าตึงเครียดถึงขีดสุด! มันกลัวว่าการมาของบุตรชายจะทำให้ข้าวตำหนักมีโมโห!!
“จี้เอ๋อเจ้าเชื่อฟังปู่ รีบกลับไปเสีย!”
ตอนนี้เองจ้าวจินยังกล่าวออกมาเช่นกัน
“ท่านจ้าวตำหนัก!”
ทว่าจ้าวจี้ไม่แยแสวาจาบิดากับปู่ตัว เร่งรุดไปหยุดร่างเบื้องหน้าเมิ่งฉิง ค่อยกล่าวออกด้วยท่าทีแตกตื่น “เมื่อครู่ข้าเห็นจ้าววังนภาอุ้มคนๆหนึ่ง บุกฝ่ากลุ่มอาวุโสที่ลาดตระเวณขึ้นเหนือไปอย่างรีบร้อน!”
อา! โอ! ซูด!
…
ทันทีที่วาจานี้ของจ้าวจี้ลั่นดังออกมา ใบหน้าของทุกคนในคุกลับพลันเปลี่ยนสีไปทันที
‘ยามเปลี่ยนเป็นโจร’
จังหวะนี้ในใจของระดับสูงตำหนักฟ้าลี้ลับ ปรากฏคำ 4 คำขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย
ฟุ่บ!
ดั่งสายลมกรรโชกหอบหนึ่งพัดมาในคุกลับใต้ดิน ร่างเมิ่งฉินอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาของทุกคน!
“ไปกัน!”
หลังจากนั้นอาวุโสผู้พิทักษ์อย่างกู่ซืออวิ๋นและจ้าวจินก็พุ่งร่างหายไปทั้งคู่
เหล่ารองจ้าวตำหนักคนอื่นๆก็เร่งรุดติดตามไปเช่นกัน
จ้าวเติงเองก็สะบัดมือใช้พลังหอบร่างจ้าวจี้ไปด้วย และในขณะที่ติดตามคนอื่นไปจ้าวเติงยังถามออกมา “จี้เอ๋อเจ้าเห็นชัดเจนหรือไม่? จ้าววังจูพาคนบุกฝ่าไปทางเหนือจริงๆ?”
“ท่านพ่อเรื่องนี้ข้าไม่กล้าล้อท่านเล่นหรอก! หากท่านไม่เชื่อข้า ท่านไปถามผู้อาวุโสที่ลาดตระเวนดูก็ได้ ทั้งหมดโดนซัดทำร้ายมากับตัว ไหนเลยยังจำผิดคนได้!”
กล่าวจบ จ้าวจี้ยังถามเพิ่มออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพ่อ…ท่านอย่าบอกนะว่าคนที่จ้าววังจูอุ้มไปเป็นฉีจิ้ง?”
“ใช่!”
สองตาจ้าวเติงทอประกายเย็นเยียบ “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจูลู่ฉีจะหาญกล้าถึงเพียงนี้…กล้าลักพาตัวฉีจิ้งไปจริงๆ! ดูเหมือนมันจักได้ข้อมูลเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงจากฉีจิ้งมาแล้วมิผิดแน่…และยังสมควรเป็นแนวทางอันชั่วร้ายไร้ซึ่งมนุษย์ธรรม!”
แค่พริบตาจ้าวเติงก็คาดเดาเรื่องราวได้
เรื่องนี้ทำให้จ้าวจี้อดไม่ได้ที่จะตกใจ ยังลอบปาดเหงื่อในใจอย่างลับๆ
ไม่ทันไรจ้าวตำหนักและอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ก็มาถึงแนวลาดตระเวณสุดท้ายทางทิศเหนือ
ตอนนี้มีร่างอาวุโสกลุ่มหนึ่งที่แลดูบาดเจ็บสาหัส ประคองตัวอยู่กลางอากาศ
“ท่านจ้าวตำหนัก ท่านจ้าววังจูอาศัยช่วงเวลาที่พวกเรากำลังจะออกกะบุกจู่โจมเข้ามาอย่างที่พวกเรามิทันได้ตั้งตัว ก่อนที่จะอุ้มร่างคนผู้หนึ่งหลบหนีไป…ทั้งยังมอบ ‘ป้ายหยก’ ชิ้นนี้ฝากไว้ให้ท่าน”
อาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับคนนั้นกล่าวรายงาน ก่อนที่จะยื่นป้ายหยกแผ่นหนึ่งให้เมิ่งฉิงทันที
เมิ่งฉิงที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์รับป้ายหยกมาถือ ก่อนที่จะถ่ายทอดพลังลงไปทันที
กระทั่งยังจงใจปล่อยให้เสียงดังออกมา
เสียงจากป้ายหยกดังว่า “ท่านจ้าวตำหนัก เคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่ฉีจิ้งบ่มเพาะที่แท้เป็นเคล็ดมารกลืนหยินที่เคยโด่งดังในอดีต…กลวิธีบ่มเพาะนับว่าชั่วร้ายและไร้ซึ่งมนุษย์ธรรมนัก”
“หากท่านพบ มิพ้นมันต้องถูกทำลายก็ต้องถูกปิดผนึกให้ฝุ่นเกาะอยู่ในคลังของตำหนักฟ้าลี้ลับเราเป็นแน่…ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจลักพาตัวฉีจิ้งหนีไป เพราะข้าต้องการฝึกฝนเคล็ดมารกลืนหยินนั่น…เพื่อใช้มันล้างความอัปยศที่เฝิงปู่อี้รองผู้นำตลาดมืดหยินชานยัดเยียดให้ข้าวันนั้น!”
เสียงที่ดังขึ้นเป็นเสียงของจูลู่ฉีนั่นเอง “ข้าคิดว่าด้วยพลังของข้า เป็นเช่นนี้ต่อไปชั่วชีวิตคงมิมีวันล้างแค้นเฝิงปู่อี้ได้แน่…มีเพียงพึ่งเคล็ดมารกลืนหยินนี่เท่านั้น ถึงจะทำให้ข้ามีหวังล้างแค้นมันได้! เรื่องนี้ข้าไตร่ตรองคิดทบทวนอยู่นาน และในที่สุดก็เลือกจะลักพาตัวฉีจิ้ง เพื่อครอบครองเคล็ดมารกลืนหยิน”
“ขอท่านจ้าวตำหนักโปรดวางใจ ตราบใดที่ข้าฝึกฝนเคล็ดมารกลืนหยินจนสำเร็จ ข้าจะกำจัดฉีจิ้งทิ้งเพื่อขจัดเสี้ยนหนามสุดท้ายของตำหนักฟ้าลี้ลับ…และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจูลู่ฉี ขอตัดขาดกับตำหนักฟ้าลี้ลับ เรื่องราวที่ข้าจะกระทำในภายภาคหน้า มิมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับตำหนักฟ้าลี้ลับ ยิ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับวังนภา!”
“ข้าหวังว่าท่านจ้าวตำหนักจักเมตตาลูกศิษย์ของข้า ทั้งหมดล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์และมิมีส่วนรู้เห็นอันใดกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น อย่าได้ทำร้ายหรือสร้างความลำบากให้เด็กน้อยทั้งหลาย…ขอวิงวอนขอความเมตตาทั้งขอขมาต่อท่านสักครั้ง!”
ข้อความเสียงในป้ายหยกดังถึงตรงนี้ เสียงของจูลู่ฉีก็ดับไป
“เคล็ดมารกลืนหยิน!”
จังหวะนี้ทุกคนยกเว้นจ้าวจี้อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก
สำหรับพวกมันเคล็ดมารกลืนหยินคืออวิชชาในตำนาน กลวิธีการฝึกปรือนั้นเป็นอะไรที่ชั่วร้ายและไร้มนุษย์ธรรมถึงขีดสุด!
ผู้ฝึกมารที่เคยฝึกฝนด้วยเคล็ดนี้ ก็เป็นมารร้ายที่ก่อเภทภัยไปทั่วใต้หล้า จนทำให้ยอดฝีมือของภูมิภาคเบื้องล่างจำต้องผนึกกำลังกันจัดการ!
อย่างไรก็ตาม แม้จะตกอยู่ภายใต้การกลุ้มรุมของยอดฝีมือจากทัวสารทิศ มารร้ายไม่เพียงไม่หวาดกลัว ยิ่งมากลับยิ่งเหิมเกริม บุกฝ่าทะลวงการปิดล้อมครั้งแล้วครั้งเล่า ยังเข่นฆ่าผยอดฝีมือราวผักปลา! ผักปลาที่ว่านั่นรวมถึงเซียนปฐพีขั้นสูงสุด!!
สำหรับผู้ฝึกตนที่พลังฝึกปรือต่ำกว่านั้น ตกตายจนนับแทบไม่ถ้วน!
การต่อสู้กันครั้งนั้น เรียกว่าเป็นสงครามโลกของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเบื้องล่างก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามสุดท้ายการกลุ้มรุมล้อมปราบก็ไม่เป็นผล มารร้ายคนนั้นกลับรอดชีวิตไปได้ เพียงบาดเจ็บสาหัสเท่านั้นและกล่าวกันว่ามันได้หนีไปยังภูมิภาคเบื้องบนสำเร็จ
อย่างไรก็ตามแม้มันจะจากไปแล้วแต่มารร้ายผู้นั้นก็ได้กลายเป็น ‘ตำนาน’ ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเบื้องล่าง
แน่นอนว่าเรื่องราวของบุคคลในตำนานผู้นี้ ก็เหลือทิ้งไว้แต่เรื่องราวอันเลวทรามต่ำช้า! จนบัดนี้ยังไม่ทราบจำนวนแน่ชัด ว่าที่แท้มีสตรีมากมายเท่าไหร่ที่ถูกมันฆ่าตายอย่างอำมหิตเพื่อฝึกเคล็ดมารกลืนหยิน…
รู้เพียงแต่สตรีทั้งหลายที่ถูกมันจับไปไม่เคยมีผู้ใดรอดชีวิตกลับมาได้ ทั้งหมดล้วนถูกสูบกลืนพลังหยินกระทั่งแก่นแท้โลหิตจนกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยวทั้งสิ้น…
ความชั่วร้ายและอาชญากรรมของมันต่ำช้าถึงขั้นที่สวรรค์ยังไม่อาจอภัยให้ได้!
และเพราะการกระทำอันเลวทรามต่ำช้าจนฟ้าไม่อาจอภัยนี้เอง ทำให้เคล็ดบำเพ็ญมารที่มารร้านตนนั้นบ่มเพาะฝึกปรืออย่าง ‘มารกลืนหยิน’ กลายเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ทุกคนยังยกให้เป็นอวิชชาที่ชั่วร้ายและไร้มนุษย์ธรรมที่สุด!
กระทั่งเรื่องราวมันผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว ทว่านามเคล็ดบำเพ็ญมารแสนชั่วร้ายอย่าง ‘มารกลืนหยิน’ ยังคงเล่าขานสืบต่อกันมาจนผู้คนรู้กันทั่ว…
เหล่าอาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับแน่นอนว่าย่อมต้องเคยได้ยิน
ด้วยเหตุนี้สีหน้าท่าทางของทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เมื่อรับทราบว่าเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่ฉีจิ้งฝึกปรือที่แท้กลับเป็นเคล็ดมารกลืนหยินในตำนาน!
“เสียสติไปแล้ว! พี่จูเสียสติไปแล้ว!!”
ในที่สุดเฉียนผิงเชิงจ้าววังเหลืองก็อดไม่ไหว ร้องโพล่งออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ต่อให้ฝึกฝนเคล็ดมารกลืนหยินจนล้างแค้นได้แล้วจะอย่างไร? สุดท้ายกลับต้องกลายเป็นศัตรูของผู้คนทั่วหล้า! มันคุ้มค่ากันแล้วหรือ..กับเรื่องราวบาดหมางเล็กๆน้อยๆกับเฝิงปู่อี้?”
“เฮ่อ…ความบาดหมางระหว่างศิษย์พี่จูกับเฝิงปู่อี้ ในสายตาพวกเรามันอาจเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ…แต่ใช่ทุกคนลืมไปแล้วหรือไม่ว่าศิษย์พี่จูเป็นคนเช่นไร? ลองคิดดูหากเป็นพวกเราถูกกระทำเช่นนั้นจักมีโมโหถึงเพียงไหน กระทั่งข้าเองก็คงอึดอัดแทบตายเป็นแน่หากเฝิงปู่อี้ทำกับข้าเช่นนั้น…ศิษย์พี่จูยิ่งแล้วใหญ่”
จ้าววังปฐพีกล่าวออกด้วยน้ำเสียงทอดถอน “ศิษย์พี่จูเลือกหนทางเช่นนี้แม้จะสร้างความแปลกใจให้พวกเราอยู่บ้าง แต่ข้าก็พอเข้าใจ…”
“เพื่อเฝิงปู่อี้คนเดียวกลับยินยอมเป็นศัตรูกับทั่วหล้า….คุ้มกันแล้วหรือ…”
จ้าววังลี้ลับเองก็กล่าวออกด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน
“ท่านจ้าวตำหนัก จ้าววังนภาจูลู่ฉีกลับลักพาตัวฉีจิ้งทั้งเคล็ดมารกลืนหยินไป! นับว่ากระทำผิดร้ายแรงอย่างที่มิอาจอภัยให้ได้ พวกเรามิอาจละเว้น! พบเห็นต้องจับตายสถานเดียว!!”
อาวุโสผู้พิทักษ์ จ้าวจิน กล่าวออกเสียงเหี้ยม
“ก่อนจ้าววังจูจากไปก็ได้ลั่นวาจาทิ้งไว้ว่าขอตัดขาดกับตำหนักฟ้าลี้ลับเรา เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาดีไม่อยากให้ตำหนักฟ้าลี้ลับเราพลอยถูกผู้คนครหาไปด้วย! ถึงแม้จะกระทำผิดร้ายแรง หากแต่คุณงามความดีในกาลก่อนจ้าววังจูก็มีไม่น้อย หากพบเจอตัวเพียงหยุดไว้ นับตัวมากักขัง และระวังมิให้บ่มเพาะเคล็ดมารกลืนกินก็พอ…ความผิดยังไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นต้องจับตาย…”
กู่ซืออวิ๋น อาวุโสผู้พิทักษ์อีกคนเห็นต่าง
เรียกว่าข้อเสนอของอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ต่างกันคนละเรื่อง
หน้าจ้าวจินที่ถูกโต้แย้งมืดดำลงทันใด มันหันไปมองกู่ซืออวิ๋นด้วยสายตาไม่พอใจ ทว่าในขณะที่มันคิดจะกล่าวแย้งอะไรออกมาสืบต่อ ระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับโดยรอบพลันกล่าวออกมาเสียก่อน
“ข้าเห็นด้วยกับผู้พิทักษ์กู่!”
“ข้าเองก็เห็นด้วยกับผู้พิทักษ์กู่!”
“ข้าเห็นด้วยกับผู้พิทักษ์กู่เช่นกัน”
……
เรียกว่าเหล่าระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับในที่เกิดเหตุ เห็นชอบกับข้อเสนอของกู่ซืออวิ๋นหมด ทำให้จ้าวจินกลืนคำที่คิดกล่าวลงคอไปทันที
ต่อให้มันไม่ยินยอม แต่ตอนนี้ก็จำต้องทน…
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พลังฝีมือของมันเพียงทัดเทียมกับกู่ซืออวิ๋นไม่ได้เหนือกว่า ตอนนี้ทุกคนยังเห็นชอบกับกู่ซืออวิ๋นอย่างเป็นเอกฉันท์! มันจะแย้งอะไรได้อีก?
สุดท้ายมันก็เป็นแค่อาวุโสผู้พิทักษ์ ไม่ใช่ยอดฝีมือไร้ผู้ต้าน…
“ข้าเชื่อมั่นว่าหากเคล็ดบำเพ็ญมารของฉีจิ้ง มิใช่เคล็ดมารกลืนหยินแต่เป็นเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่มีแนวทางปกติ จ้าววังจูคงไม่เสี่ยงก่อการเช่นนี้…และจากวาจาที่ยังคิดถึงตำหนักฟ้าลี้ลับเราของจ้าววังจู เห็นชัดว่าโทษยังไม่ควรถึงตาย! ทว่าโทษตายเว้นได้แต่โทษเป็นยังอยู่! เพราะความผิดบาปที่กระทำไม่อาจละเว้น ผู้พิทักษ์ทั้ง 2 พวกท่านรับผิดชอบเรื่องพาตัวจ้าววังจูกลับมา!”
ภายใต้สายตาของทุกคน เมิ่งฉิง จ้าวตำหนักพลันกล่าวสั่งออกมา และวาจานี้เป็นดั่งประกาศิตตัดสินเรื่องราว!
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กล่าวออกมาตรงๆทำนองเห็นชอบกับกู่ซืออวิ๋น หากแต่การตัดสินนั้นค่อนข้างคล้ายกับข้อเสนอของกู่ซืออวิ๋น
“ทราบแล้วท่านจ้าวตำหนัก”
ในตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิงไม่เพียงดำรงตำแหน่งจ้าวตำหนักอันสูงสุดเท่านั้น พลังฝีมือของมันยังแข็งแกร่งเหนือใครอีกด้วย กระทั่งกู่ซืออวิ๋นกับจ้าวจินก็ไม่อาจเทียบได้
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับคำสั่งของเมิ่งฉิง ทั้งคู่ย่อมไม่กล้าขัด
หลังจากตอบรับแล้ว จ้าวจินกับกู่ซืออวิ๋น ก็เร่งเหินร่างมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปทันที
“เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ห้ามกล่าวบอกผู้ใดเด็ดขาด! ผู้ใดละเมิดฆ่าไม่ละเว้น!”
หลังจากกล่าวจบ เมิ่งฉิงก็ว่ายตามองทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี่ด้วยสายตาเยียบเย็น
“ทราบ!”
เผชิญหน้ากับวาจาเด็ดขาดของเมิ่งฉิง ทุกคนได้แต่พยักหน้ารับอย่างจริงจัง พวกมันทั้งหมดรู้ดีว่าเรื่องราวในวันนี้จะสร้างปัญหาอันใหญ่หลวงให้ตำหนักฟ้าลี้ลับ!
ในฐานะที่พวกมันก็เป็นคนของตำหนักฟ้าลี้ลับ ไหนเลยยังอยากให้ตำหนักฟ้าลี้ลับเกิดเรื่อง?
‘สหายเฒ่ากู่กับท่านปู่ลงมือพร้อมกันแบบนี้…จ้าววังจูจะหนีรอดหรือไม่?’
ในขณะที่เหินร่างตามจ้าวเติงขึ้นเหนือ จ้าวจี้ก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดในใจด้วยความกังวล