WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1815
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1815
ตอนที่ 1,815 : หลิงเทียน อริยะเซียนขั้นกลาง?!
‘ปะ…เป็นไปได้ยังไงกัน!?’
ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าแน่นอนว่ามันพุ่งเข้าสองตาจ้าวจี้ชัดเจน พาลให้มันตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะสงบใจลงได้…
เดิมทีวันนี้มันคิดว่าหลิงเทียนสมควรตกตายภายใต้เงื้อมมือจ้าวคุนแน่แล้ว เพราะจ้าวคุนทะลวงถึงอริยะเซียนเมื่อไม่กี่วันก่อน และหลิงเทียนก็ไม่มีทางทะลวงถึงอริยะเซียนได้…
ทว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทำให้ความคิดมันพังทลาย!
หลิงเทียนน่ะหรือ เป็นไปไม่ได้ที่จะทะลวงถึงอริยะเซียน?
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่นใดใดให้มาก เอาแค่พลังความแข็งแกร่งที่หลิงเทียนเผยออกยามนี้ สมควรเป็นพลังอำนาจของอริยะเซียนเต็ม 10 ส่วน! กระทั่งไม่ง่ายเหมือนอริยะเซียนขั้นต้นทั่วไปที่พึ่งทะลวงด่านอีกด้วย!!
ไม่เห็นหรือไร…ว่ากระทั่งจ้าวคุนยังไม่มีปัญญาจะต่อต้านขัดขืนแม้แต่น้อย!
‘หลิงเทียนผู้นี้…ต้องกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุด!’
สายตาจ้าวเติงเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นถึงที่สุด หากไม่ติดว่าที่นี่คือตำหนักฟ้าลี้ลับ มันคงไม่อาจรอที่จะฆ่าหลิงเทียนได้ไหว!
ความบาดหมางระหว่างสกุลจ้าวของมันกับหลิงเทียนนั้น เลยจุดประนีประนอมไปไกลแล้ว ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พินาศคงยากเลิกรา!
เป็นธรรมดาที่มันไม่อยากปล่อยให้หลิงเทียนเติบโต!
ชายหนุ่มมากพรสวรรค์เช่นนี้ หากเติบโตขึ้นไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันจะถูกสยบ กระทั่งบิดามันก็ไม่พ้นต้องถูกย่ำเหยียบ!
“น้องหลิงเทียน…”
กู่ลี่ที่เดินออกจากโถงตามมา หยุดมองต้วนหลิงเทียนด้วยความตะลึงงัน
ด้วยความที่พลังฝึกปรือของมันบรรลุอริยะเซียนขั้นสูงสุด มันย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าความเร็วในการเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่นั้น…มันแทบจะทัดเทียมกับความเร็วของผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญอยู่รอมร่อ! เหนือกว่ายอดฝีมืออริยะเซียนขั้นกลางทั่วไปมากนัก!!
“ให้ตายเถอะน้องหลิงเทียน…เจ้ากลับซุกซ่อนเรื่องประนี้จากข้าได้มิดชิดนัก!”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้กู่ลี่กอ้าปากค้างเหมือนผูอื่น สองตายังเผยความตกตะลึง
“ฮึ่ม! เจ้าทึ่มมันทะลวงถึงอริยะเซียนแล้วจริงๆ! วันนั้นทีข้าถามปากกลับบอกว่าไม่! ไม่กับผีสิ!!”
หวางเฟยเซวียนโพล่งคำอย่างฮึดฮัด ก่อนที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หงกัง กับศิษย์จ้าววังนภา 2 คนที่อยู่ข้างๆก็หันมามองถามนางด้วยความตื่นตระหนก “หละ…หลิงเทียน ทะลวงถึงอริยะเซียนแล้วหรือ?”
“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เขากล้ารับคำท้าประลองเป็นตายของจ้าวคุน! ที่แท้เขาไม่ได้เห็นจ้าวคุนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย!!”
…
“แถมพลังฝึกปรือของหลิงเทียน ข้าเกรงว่าคงมิได้ง่ายดายดั่งที่คิด…อริยะเซียนขั้นต้นอย่างจ้าวคุน ถึงแม้จะพึ่งทะลวงผ่าน…กลับไร้ซึ่งพลังอำนาจะขัดขืน!”
หงกังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยกล่าว
ด้านอาวุโสผู้ดูแลโถงเป็นตาย เฉิงอวิ๋น ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยประกายตาสว่างวาบ ‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก สหายน้อยนี่อายุยังมิทันถึง 40 ปี…ทว่าพลังฝึกปรือนั่น ให้เป็นทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็นับว่าเป็นอันดับ 1!’
ตอนนี้เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับก็ค่อยๆทยอยกันรู้สึกตัวทีละคน หากแต่สายตาของพวกมันแต่ละคนยังทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ!
ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกมันยังคิดอยู่เลยว่าต้วนหลิงเทียนตายแน่!
หากแต่ความจริงที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ก็ทำให้พวกมันอดไม่ได้ที่จะเขิน…หน้ายังม้านไปด้วยความรู้สึกอับอาย!
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ทุกคนจึงพากันเงียบไปอีกครั้ง
“เมตตา?”
และเมื่อรอบข้างเงียบลงเสียงต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นให้ได้ยินกันชัดเจน เขากล่าวกับจ้าวคุนที่ถูกบีบคอและร้องขอความเมตตาเมื่อครู่เสียงเรียบ “ตอนเจ้าดูถูกบิดามารดาข้า เจ้าเคยคิดเรื่องขอความเมตตากับข้าไหม?”
เสียงเรียบของต้วนหลิงเทียนยิ่งมายังยิ่งเข้มขรึมเย็นลง
“และหากพลังของข้าเทียบเจ้าไม่ได้ การประลองเป็นตายวันนี้เจ้าจะเมตตาข้าไหม? กระทั่งเจ้ายังจะปล่อยให้ข้ารอดชีวิตไปได้ไหม?”
ต้วนหลิงเทียนค่อยๆกล่าวถามจ้าวคุนด้วยคำถามโง่งมติดกัน 3 คำถาม
“ฮึ่ม!”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงแค่นสบถเย็นเยือกหนึ่งดังขึ้น เป็นจ้าวเติงที่ย่ำเท้าก้าวขึ้นไปในอากาศ ท่าทางเตรียมออกเดินทางจากไป
“ทะ…ท่านรองจ้าวตำหนักเติง…ชะ…ช่วยข้าด้วย”
เมื่อเห็นจ้าวเติงจะจากไป จ้าวคุนก็ร้อนรนใจไม่น้อย! มันเร่งรีบร้องขอความช่วยเหลือจากจ้าวเติงออกมาทันที!!
เมื่อทุกสายตาหันไปมองจ้าวเติง ร่างจ้าวเติงที่คิดจากไปก็หยุดลงกลางอากาศทันที มันยังหันกลับมามองกล่าวกับจ้าวคุนด้วยสีหน้าท่าทางสง่างามน่าเกรงขาม “จ้าวคุน การประลองเป็นตายล้วนเป็นเจ้าที่เป็นฝ่ายริเริ่มท้าทาย…สัญญาเป็นตายเจ้ากับหลิงเทียนก็ลงนามเรียบร้อย วันนี้อย่าว่าแต่ข้า…ต่อให้เป็นบิดาของข้าอยู่ที่นี่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเจ้า”
“หากพวกเราช่วยเจ้าให้รอด…แล้วโถงเป็นตายของตำหนักฟ้าลี้ลับจะมีไว้เพื่ออันใด? สัญญาลงนามเป็นตายจะทำไปเพื่ออะไร?”
จ้าวเติงกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงชอบธรรม พาลให้ศิษย์ทุกคนในที่นี้อดไม่ได้ที่จะเห็นด้วย ทั้งหมดรู้สึกว่ารองจ้าวตำหนักคนนี้ยังคงดำรงรักษาไว้ซึ่งกฏ! ไม่คิดทำลายกฏระเบียบของตำหนักฟ้าลี้ลับเพียงเพราะจ้าวคุนเป็นคนสกุลจ้าว!!
จ้าวเติงย่อมรู้ดีว่าสายตาของศิษย์กำลังเฝ้ามองมันว่าจะทำอย่างไร แน่นอนว่ามันย่อมไม่ทำอะไรผิดพลาดโง่งมอย่างเห็นแก่ความเป็นคนสกุลจ้าวของจ้าวคุนและให้ความช่วยเหลือ ยังเลือกจะวางตัวอย่างดีให้เป็นแบบอย่าง
“หากเจ้าคิดจะตำหนิผู้ใดสักคน ก็จงตำหนิตัวเองที่พลังฝีมืออ่อนด้อยเถอะ…”
และนี่เป็นวาจาประโยคสุดท้ายที่มีให้จ้าวคุน ก่อนที่จ้าวเติงจะจากไป
หลังจากจ้าวเติงไปแล้ว สีหน้าแววตาของจ้าวคุนก็แปรเปลี่ยนเป็นสิ้นหวังถึงขีดสุด ร่างมันสั่นเทิ้มไปทั้งสรรพางค์กาย หลังส่ายหัวไปมาอย่างทดท้อไม่กี่ครั้งมันก็แน่นิ่งไปราวปลงตก
เมื่อเห็นว่าจ้าวคุนคล้ายลูกเกาทัณฑ์สิ้นแรงส่ง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเสียเวลาอะไรสืบต่อ โยนร่างจ้าวคุนออกไปราวหมูหมา
และหลังจากนั้นไม่ทันที่ผู้ใดจะแลเห็นว่าเขาลงมืออย่างไรกันแน่ ปรากฏแสงสว่างขึ้นมาวาบหนึ่ง ก่อนร่างจ้าวคุนที่ถูกโยนออกไปจะถูกรังสีพลังกระบี่นับร้อยพันสายทะลวงร่างจนปุพรุน มองไปไม่ต่างใดจากรังผึ้ง
สำหรับศัตรูต้วนหลิงเทียนไม่คิดปราณี..
ยังนับประสาอะไรกับศัตรูที่มาดูถูกหมิ่นหยามบุพการี!
จนเมื่อต้วนหลิงเทียนเหินร่างออกไปพร้อมกู่ลี่และหวางเฟยเซวียน ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ด้านในหรือด้านนอกโถงเป็นตายจึงค่อยคืนสติกลับมารู้สึกตัว
“แข็งแกร่งเหลือเกิน…”
“ข้าไม่คิดเลยว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเราจะปรากฏยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่น่ากลัวถึงขนาดนี้…! ในภูมิภาคเบื้องล่างเคยมียอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนที่อายุน้อยกว่า 40 ปีหรือไม่?”
“ข้ามิแน่ใจ…แต่ดูเหมือนว่าจะมีเคยมี”
“ด่านพลังฝึกปรือของหลิงเทียนนั่น น่ากลัวว่าจะทะลวงผ่านอริยะเซียนขั้นกลางแน่แล้ว! หาไม่แล้วคงไม่อาจจัดการจ้าวคุนได้อยู่หมัดขนาดนี้!”
“นั่นสิ! จะอย่างไรจ้าวคุนก็ถือเป็นอริยะเซียนขั้นต้น แต่ต่อหน้าหลิงเทียนกลับไม่มีพลังอำนาจจะต้านทาน…หากบอกว่าหลิงเทียนยังพึ่งทะลวงขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้น ข้าไม่เชื่อ!”
“จะอย่างไรก็ตาม ที่แท้หลิงเทียนบ่มเพาะพลังอย่างไรกันแน่…ไฉนไม่ทันถึงปีพลังฝึกปรือถึงบรรลุถึงขอบเขตขีดขั้นนี้แล้วเล่า!?”
……
ในบรรดาศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่มาชมดู ย่อมมีตัวตนที่บรรลุขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นร่วมอยู่ด้วย ทั้งหมดย่อมแลเห็นได้ว่าการลงมือของต้วนหลิงเทียนไม่ได้ง่ายดายเหมือนตาเห็น
“ถึงข้าจะพึ่งทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นกลางได้ไม่กี่ปี…แต่เมื่อครู่ข้าที่พยายามชมดูเรื่องราวอยู่ตลอด กล้าบอกเลยว่าต่อให้ข้าลงมือเต็มกำลังก็มิอาจมีความเร็วเทียบเท่าหลิงเทียนได้…ความแข็งแกร่งของหลิงเทียน ข้าเกรงว่าแม้จะยังด้อยกว่าอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ แต่หากนับกันในบรรดาอริยะเซียนขั้นกลาง…ถือเป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือ!!”
ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่บรรลุขอบเขตพลังอริยะเซียนขั้นกลางกล่าวออก
มันยังเป็นศิษย์ที่ทุกคนรู้จักกันดีในฐานะ ศิษย์ผู้ติดอันดับในรายนามฟ้าลี้ลับ…เช่นนั้นทั้งหลายจึงไม่สงสัยวาจาของมัน!
ทำให้ทุกคนยืนยันได้เรื่องหนึ่ง…
นั่นคือพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนทัดเทียมกับชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนขั้นกลาง
“อริยะเซียนขั้นกลาง?”
ท่ามกลางฝูงชน จ้าวจี้ที่ยังไม่ได้จากไปไหนย่อมได้ยินเรื่องราวชัดเจน ใบหน้าของมันยิ่งมายิ่งอัปลักษณ์ ‘ข้าไม่คิดเลยว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังของสารเลวนั่นจะน่ากลัวแบบนี้…หากไม่มีเคล็ดมารกลืนหยิน เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ข้าคงทำได้แค่กินฝุ่นมัน’
‘ไม่! บางทีคิดตามไปให้ใกล้พอจะกินฝุ่นมันข้ายังทำไม่ได้!!’
จ้าวจี้คิดกับตัวเองจบ ก็รีบร้อนเหินร่างจากไปทันที
อย่างไรก็ตามแทนที่มันจะเหินกลับบ้านของมัน มันกลับออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเพื่อไปยังจุดนัดพบของมันกับจูลู่ฉี
‘ข้าต้องรีบฝึกเคล็ดมารกลืนหยินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…ไม่งั้นข้ากลัวว่าคงยากจะไล่ตามมันทัน!’
ระหว่างเดินทางใจจ้าวจี้ก็รุ่มร้อนไปด้วยความกังวลนัก
ตอนนี้มันต้องการเคล็ดมารกลืนหยินให้เร็วที่สุด…ในสายตาของมัน ตราบใดที่มันได้เคล็ดมารกลืนหยินมาครอง! ใช้เวลาไม่นานมันต้องก้าวข้ามต้วนหลิงเทียนได้แน่!!
หลังจากที่จ้าวจี้จากไป เรื่องต้วนหลิงเทียนทำสัญญาเป็นตายกับจ้าวคุนก็แพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับดั่งไฟป่า และข่าวความตายของจ้าวคุนก็พัดไปทั่วดั่งใต้ฝุ่น
ทุกผู้คนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงพรึงเพริด ไม่เว้นกระทั่งจ้าวตำหนักอย่าง เมิ่งฉิง
“หลิงเทียนทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นกลาง? ไม่จริง! เรื่องนี้มิมีทางเป็นไปได้!”
แน่นอนว่ามีหลายคนที่ไม่เชื่อว่าข่าวลือพรรค์นี้จะเป็นความจริง…อย่าว่าแต่ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกมัน เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีตัวตนอัจฉริยะถึงขั้นบรรลุอริยะเซียนทั้งที่ยังมีอายุไม่ถึง 40 ปีปรากฏขึ้นในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ผู้คนกล่าวถึงกันอย่างหนาหู กระทั่งมีผู้ชมที่บรรลุอริยะเซียนขั้นกลางไปชมดู ทำให้แม้ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ก็ต้องเชื่อ!
“น้องหลิงเทียน เจ้ากลับซุกซ่อนเรื่องราวจากข้าได้มิดชิดเชียวนะ! ไม่เห็นข้าเป็นพี่แล้วสิ!!”
กู่ลี่มองจี้ต้วนหลิงเทียนราวกับมองเด็กน้อยทำความผิด “ในวันที่ข้าบอกให้เจ้ารีบทะลวงถึงอริยะเซียน เพื่อที่พวกเราจะได้ขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน ไฉนเจ้าไม่บอกข้าเล่าว่าทะลวงถึงอริยะเซียนแล้ว?”
“พี่กู่…พอดีสถานการณ์ของข้ามันค่อนข้างพิเศษ”
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่ากู่ลี่ไม่ได้โกรธอะไรเขาจริงจัง เพียงแค่เขาไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรดี
ในที่สุดเขาก็เลือกจะกล่าวบอกความจริงออกไป
แน่นอนว่าเป็นแค่ความจริงส่วนหนึ่งเท่านั้น
“ตอนข้าเดินทางไปผจญภัยยังที่แห่งหนึ่ง ข้าบังเอิญพบพานวาสนาปาฏิหาริย์พิสดาร…และนั่นทำให้ปราณแรกกำเนิดของข้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง! ยามนั้นพลังฝึกปรือของข้ามีเพียงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นเท่านั้น หากแต่ปราณแรกกำเนิดของข้ากลับมีพลังอำนาจมากพอจะทัดเทียมกับเซียนขัดเกลาขั้นต้น…เช่นนั้นความจริงแล้ว ตัวข้าก็นับว่ายังอยู่ห่างจากขอบเขตอริยะเซียน…”
ต้วนหลิงเทียนแม้จะกล่าวเล่าเรื่องราวออกมา แต่ไม่ได้บอกว่าวาสนาปาฏิหาริย์ที่เจอคืออะไร แล้วออกเดินทางไปผจญภัยที่ไหน…
ผู้เฒ่าหั่วกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติคือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา!
หากมันแพร่กระจายออกไป ต้องชักนำหายนะครั้งยิ่งใหญ่แน่นอน!
เช่นนั้นเขาต้องระวังตัวถึงที่สุด
“วาสนาปาฏิหาริย์เช่นนี้มีด้วยหรือ!?”
สองตากูลี่เบิกกว้างปานลูกวัวแรกเกิด เพราะเรื่องนี้ฟังดูน่าเหลือเชื่อนัก หากแต่มันก็ยังเชื่อ!
โลกนี้กว้างใหญ่สุดไพศาล มากด้วยความอัศจรรย์นับหมื่นพันประการ
เช่นนั้นมันจึงไม่สงสัยวาจาของต้วนหลิงเทียน
ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ มีผู้คนพบพานปาฏิหาริย์และวาสนาโดยบังเอิญมาแล้วมากมาย เรื่องพิสดารพันลึกมีเล่าไปทุกแห่งหน ไม่มีใครกล้าพูดว่าเคยพบพานเรื่องราวปาฏิหาริย์มาแล้วทุกรูปแบบ
“นี่มัน…ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้ พลังฝึกปรือเจ้ายังทัดเทียมกับข้าหรือ?”
หวางเฟยเซวียนที่เหินร่างตามมาเงียบๆอยู่ด้านหลัง อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความตกใจ
“หากนับแค่ด่านพลังฝึกปรือ ก็ใช่…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
เขาเห็นว่ากู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนเป็นสหาย เช่นนั้นจึงเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทราบ
ยิ่งไปกว่านั้นตราบใดที่เขาไม่ได้กล่าวถึงผู้เฒ่าหั่วหรือเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่เขาจะเปิดเผยความจริงออกไปบางส่วน…