WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1816
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1816
ตอนที่ 1,816 : เป็นที่นิยมอย่างหนัก
หลังได้ฟังเรื่องราวของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ใจอดคิดไปเสียไม่ได้ว่า…ไฉนฟ้าถึงลำเอียงเช่นนี้!
ชายหนุ่มเบื้องหน้าด่านพลังฝึกปรือไม่ได้เหนือล้ำไปกว่านาง…เช่นนั้นหมายความว่าพรสวรรค์ก็ไม่ได้โดดเด่นมากไปกว่านาง! หากแต่พลังฝีมือกลับเทียบอริยะเซียนขั้นกลางได้! นี่มันอะไรกัน!!
จังหวะนี้ใจของหวางเฟยเซวียนรู้สึกยากยอมรับนัก!
เป็นธรรมดาที่ทำไมหวางเฟยเซวียนจะคิดแบบนี้ เพราะนางไม่ทราบที่มาของต้วนหลิงเทียน
หากนางรับทราบว่าต้วนหลิงเทียนมาจากทวีปมนุษย์และไต่มาจากจุดที่ต่ำสุดในแดนดินจนมีวันนี้ได้ นางคงไม่คิดแบบนี้แน่!
ความสามารถที่ทำให้เดินทางจากจุดต่ำสุดของทวีปมนุษย์มาจนอยู่แนวหน้า ของบรรดารุ่นเยาว์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…ไม่ใช่อะไรที่พรสวรรค์ของนางจะทำได้!
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรู้ดีแก่ใจว่าต่อให้เป็นอัจฉริยะสูงสุดในภูมิภาคเบื้องล่าง ก็คงยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างต้วนหลิงเทียน!
“น้องหลิงเทียน วาสนาปาฏิหาริย์ที่เจ้าพบพานมามันคืออันใดกันแน่…หากข้าบังเอิญไปเจอบ้าง มิใช่ว่าพลังของข้าจะกลายเป็นเทียบได้กับขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดทันทีเลยหรือ?”
กู่ลี่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเปล่งประกาย อยากทราบนักว่าต้วนหลิงเทียนไปทำอีท่าไหนปราณแรกกำเนิดถึงยกระดับไปพลิกฟ้าคว่ำดินแบบนี้!
ได้ยินคำถามนี้ของกู่ลี่ สองตาหวางเฟยเซวียนก็ลุกวาวขึ้นมาเช่นกัน หันไปจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง
เห็นชัดว่านางเองก็สงสัยใคร่รู้ไม่น้อยว่าต้วนหลิงเทียนไปเจออะไรมา!
“ครั้งนั้นตอนข้าไปผจญภัย ข้าบังเอิญไปกินผลไม้ลึกลับผลหนึ่ง ทำให้ปราณแรกกำเนิดในร่างข้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าผลไม้ลึกลับนั้นมันคือผลไม้วิญญาณหรืออะไรกันแน่ แต่ข้าก็ย้อนกลับไปและเด็ดผลไม้นั่นมากินทั้งต้นเผื่อพลังข้าจะเพิ่มขึ้น…ทว่าพอข้ากินหมดไม่เพียงพลังไม่เพิ่มขึ้น ต้นไม้นั่นอยู่ๆก็แห้งเหี่ยวลงต่อหน้าต่อตาข้า สุดท้ายก็กลายเป็นละอองทรายหายไป…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเล่าออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงยามเล่ายังฟังดูตื่นเต้นทั้งเสียดายไม่น้อย แน่นอนว่าเป็นการปั้นน้ำเป็นตัวอย่างโจ่งแจ้ง แถมยังดับความหวังของกู่ลี่และหวางเฟยเซวียนลงในพริบตา…
“อะไร!? มีผลไม้นั่นมากกว่า 1 ผล แต่เจ้าเก็บกินหมดต้นเลย!?”
กู่ลี่เบิกตาโพลงราวลูกวัวแรกเกิด มองกล่าวกับหลิงเทียนเสียงสูง “ของขวัญจากสวรรค์…กลับต้องมาเสียเปล่าเช่นนี้รึ! น้องหลิงเทียนเจ้านี่มัน…เฮ่อ…”
“เจ้า…”
หวางเฟยเซวียนมองจ้องต้วนหลิงเทียนอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็กล่าวได้เพียงไม่กี่คำ “เจ้ามันทึ่ม!!”
ถึงแม้ว่าที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวล้วนปั้นน้ำเป็นตัว แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็เป็นความจริง ผลไม้ในเรื่องเล่าสามารถใช้ได้ครั้งเดียว เหมือนกับวาสนาที่เขาได้รับมา
เพราะอีกาทองคำ 3 ขา สามารถทำให้ผู้อื่นรู้แจ้งได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นตลอดชั่วชีวิต! และการรู้แจ้งนั่นก็คือความสามารถในการเพาะสร้าง ปราณสุริยันแรกกำเนิด!!
ผู้เฒ่าหั่วได้เลือกมอบมันให้เขา…
“เรื่องนี้รู้กันแค่พวกเรานะ…หากคนอื่นรู้เข้า ข้าได้ปวดหัวจนตายแน่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเพิ่มเพื่อกำชับกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียน
สุดท้ายแล้วมันก็เป็นวาสนาที่ไม่อาจมีใครได้รับอีกเป็นคนที่สอง แม้คนอื่นจะรู้ เขาก็ไม่อาจแบ่งปันอะไรให้ได้
อย่างไรก็ตามถึงจะรู้เช่นนั้น แต่ผู้คนไม่วายมาหาเขาเพื่อคลายความสงสัยแน่นอน กระทั่งอยากรู้อยากเห็นเรื่องผลไม้ประหลาดที่ทำให้ปราณแรกกำเนิดพัฒนาไปอยู่ดี…
เช่นเดียวกันกับกู่ลี่ ที่ตอนนี้มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยประกายตาเจิดจ้า “น้องหลิงเทียน เจ้ายังจำลักษณะผลไม้ลึกลับนั่นได้หรือไม่ แล้วต้นของมันเป็นเช่นไร?”
“ลักษณะผลไม้ลึกลับนั่นน่ะเหรอ จะว่าไปมันก็คล้ายๆแอปเปิ้ลธรรมดาๆเลย…ตอนแรกข้าก็คิดว่ามันเป็นแอปเปิ้ลนั่นล่ะ ถึงได้หยิบมากินเล่น แต่ไม่คิดเลยว่าพอกินลงไปมันจะทำให้ปราณแรกกำเนิดของข้าเปลี่ยนแปลงไปแบบนี้”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมาอย่างขอไปที
แน่นอนว่าคำตอบนี้ก็ดับฝันของกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนไปอีกครั้ง
จะให้พวกมันไปไล่กินแอปเปิ้ลทั่วหล้าก็กระไรอยู่…
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลยว่าข่าวการบาดหมางระหว่างเขากับจ้าวคุน จนฆ่ากันตายหลังทำสัญญาเป็นตาย ได้แพร่กระจายไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับในเวลาอันสั้น กระทั่งยังทำให้อาวุโสระดับสูงทั้งหลายถึงกับสะท้าน!
จ้าวคุนนั้นพึ่งทะลวงถึงอริยะเซียนเมื่อไมกี่วันที่ผ่านมา…
ทว่ากลับถูกหลิงเทียนฆ่าตาย!
ยิ่งไปกว่านั้นจากการลงมือของต้วนหลิงเทียน เห็นว่าจากพลังอำนาจที่เผยออกยามฆ่าจ้าวคุน สมควรเป็นอริยะเซียนขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ!
อายุน้อยกว่า 40 ปี บรรลุถึงอริยะเซียนขั้นกลาง!
อัจฉริยะเช่นนี้มากพอที่จะทำให้ตำหนักฟ้าลี้ลับพยายามโน้มน้าวรั้งตัวเอาไว้ ไม่ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเท่าไหร่ก็ตาม!
เช่นนั้นระดับสูงทั้งหลายของตำหนักฟ้าลี้ลับ นอกจากจ้าวจินกับกู่ซืออวิ๋น ล้วนมาประชุมกันที่โถงหลักของเมิ่งฉิงทั้งสิ้น
“ท่านจ้าวตำหนัก ด้วยพรสวรรค์ปีศาจเช่นนี้ หลิงเทียน ย่อมเติบโตกลายเป็นคนอย่างต้วนหรูเฟิงของตำหนักเมฆาครามและตู้กูแห่งตลาดมืดหยินชานได้เป็นแน่…พวกเราจำต้องโน้มน้าวให้เขาอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราให้ได้! มิว่าจะต้องจ่ายราคามากเท่าไหร่ก็ตาม! ต่อให้ต้องประกาศว่าเขาคือจ้าวตำหนักคนต่อไปพวกเราก็ต้องทำ!!”
รองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคนหนึ่งกล่าวเสนอออกมา
“ข้าเห็นด้วย!”
“ข้าเห็นด้วย!”
……
ทันใดนั้นเหล่าอาวุโสระดับสูงทั้งหลายรีบขานรับกันทันที และไม่มีใครเห็นต่าง
“ข้าเข้าใจความต้องการของทุกท่านดี ว่าทั้งหมดพยายามจะบอกอันใดข้า…อย่างไรก็ตามหลิงเทียนประกาศไว้ชัดแล้วว่าจะออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเราหลังจากนี้อีกไม่กี่ปี…ด้วยเหตุนี้ข้ากลัวว่าความหวังของพวกเราจะกลายเป็นความหวังลมๆแล้งๆ”
เมิงฉิงส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา ถึงแม้มันจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับหลิงเทียนมากนัก แต่มันมองออกว่าหลิงเทียนไม่ใช่คนที่จะถูกผลประโยชน์ในนามตำหนักฟ้าลี้ลับล่อลวง
“ท่านจ้าวตำหนัก ที่หลิงเทียนคิดเช่นนั้นเพราะเขามิได้รู้สึกว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเป็นครอบครัว กระทั่งไม่รู้สึกว่าเป็นเจ้าของตำหนักฟ้าลี้ลับ…หากตำหนักฟ้าลี้ลับเรายินดีจ่ายออกด้วยทุกสิ่งเพื่อตอบสนองคำขอของเขา ทั้งควบคู่ไปกับตำแหน่งว่าที่จ้าวตำหนักคนต่อไป ข้าเชื่อว่าเขามิอาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้ลงคอ!”
อาวุโสชราคนหนึ่งที่แลดูมากปัญญากล่าวออก
“ดี!”
“ข้าเห็นด้วยท่านจ้าวตำหนัก พวกเราไปลองยื่นข้อเสนอให้เขาดูกันก่อนเถอะ!”
“ใช่แล้วท่านจ้าวตำหนัก ลองพยายามแล้วมิได้ผลยังดีกว่ามิลงมือทำ! ทั้งด้วยความสำคัญของหลิงเทียน ข้าเกรงว่าท่านจ้าวตำหนักต้องออกหน้าเชื้อเชิญเขาด้วยตัวเอง!!”
……
หนึ่งในรองจ้าวตำหนักกล่าวออกมาทั้งพยายามมองเมิ่งฉิงตาลุกวาว คล้ายเป็นการกดดันโดนอ้อม
อย่างไรก็ตามเมิ่งฉิงไม่ถือสาหาความอะไร เพราะมันรู้ดีว่าทุกคนทำเพื่อตำหนักฟ้าลี้ลับ
“เอาล่ะๆ พวกท่านไม่ต้องมองข้าขนาดนั้นหรอก…หากหลิงเทียนเห็นด้วยเรื่องอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ ข้าก็มิเห็นว่าจักมีอันใดขัดข้องหากจะประกาศให้เขาเป็นจ้าวตำหนักคนต่อไป…ในเมื่อทุกคนเห็นดีด้วยเช่นนี้ เช่นนั้นทั้งหมดติดตามข้าไปหาหลิงเทียนด้วยกันเลยเถอะ พวกเราจะไปยื่นข้อเสนอให้เขา และรอฟังคำตัดสินใจของเขาพร้อมกันว่าจะอยู่กับพวกเราหรือไม่!”
แม้เมิ่งฉิงจะรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าหลิงเทียนไม่มีทางยอมตกลงอยู่ที่นี่แน่นอน แต่เพื่อไม่ให้รองจ้าวตำหนักทั้งหลายกดดันเรื่องนี้ไม่เลิกรา ก็ได้แต่ยินยอมลองกระทำตามสักครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจพาทั้งหมดยกโขยงไปหาหลิงเทียนเสียเลย
สองตาอาวุโสทั้งหลายถึงกับลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันใดหลังได้ยินคำของเมิ่งฉิง
“ท่านจ้าวตำหนักปรีชายิ่ง!”
“ข้าเชื่อมั่นว่าความจริงใจของท่านจ้าวตำหนักและพวกเรา ต้องทำให้หลิงเทียนยินดีอยู่ในคฤหาสน์ฟ้าลี้ลับต่อแน่!”
“ฮ่าๆๆ…หากหลิงเทียนยินดีอยู่ในคฤหาสน์ฟ้าลี้ลับของพวกเรา ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราต้องกลายเป็นตำหนักเมฆาครามหลังที่ 2 ได้ในเวลาไม่กี่สิบปี!!”
…
ในอดีตนั้นภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มีตลาดมืดหยินชานเป็นดั่งทรราชครองแดนอยู่เพียงผู้เดียว ทำให้ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลายรู้สึกอึดอัดไม่อาจหืออือ
จนกระทั่งตำหนักเมฆาครามบังเกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำดิน จ้าวตำหนักคนเก่าถูกล้ม จ้าวตำหนักคนใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ประมุข ตั้งแต่นั้นก็เสมือนปรากฏ ‘ตลาดมืดหยินชานแห่งที่สอง’ ขึ้นในแดนดิน!
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ยอดปิรามิดของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็มี 2 ยอด!
เหล่าอาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับเชื่อมั่นนัก ว่าหากหลิงเทียนเต็มใจอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้องสามารถนำพาตำหนักฟ้าลี้ลับให้กลายเป็นขุมพลังอำนาจที่ทัดเทียมกับตลาดมืดหยินชานได้แน่!
พอถึงตอนนั้นตำหนักฟ้าลี้ลับก็จะเป็น 1 ใน 3 ขุมพลังชั้นนำที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของภูมิภาคเบื้องล่างร่วมกับตำหนักเมฆาครามและตลาดมืดหยินชาน!
ต้องบอกเลยว่าความทะเยอทะยานของบรรดาอาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับนั้นยิ่งใหญ่มาก!
แน่นอนว่าเหตุผลที่ทั้งหมดบังเกิดความทะยานอยากอันยิ่งใหญ่นี้ไม่ใช่เพราะใดอื่น แต่มั่นใจในพลังของต้วนหลิงเทียน!
เมื่ออาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับโดยมีเมิ่งฉิงนำขบวนเดินทางมาถึง ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะกล่าวคำลากับกู่ลี่และหวางเฟยเซวียนเพื่อแยกย้ายกลับบ้านพอดี
เมื่อได้เห็นเมิ่งฉิงและอาวุโสทั้งหลายยกโขยงกันมาแบบนี้ ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียน กระทั่งกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนก็ถึงกับต้องตกตะลึง
อย่างไรก็ตามทั้งคู่ตอบสนองเรื่องราวได้เร็วไว เร่งโค้งคารวะเมิ่งฉิงทันที “คารวะท่านจ้าวตำหนักและอาวุโสรองจ้าวตำหนักทุกท่าน”
“เจ้าตำหนัก”
ต่างจากการมากมารยาทของกู่ลี่และหวางเฟยเซวียนที่ทักทายเมิ่งฉิงและอาวุโสทั้งหลายอย่างสุภาพ ต้วนหลิงเทียนเพียงพยักหน้าทักทายเมิ่งฉิงเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆต้วนหลิงเทียนทำคล้ายทั้งหมดเป้นเพียงอากาศธาตุ
หากเป็นปกติ เจอศิษย์ปฏิบัติตัวแบบนี้ บรรดาอาวุโสทั้งหลายของตำหนักฟ้าลี้ลับต้องของขึ้นเป็นแน่ เพราะนี่เสมือนอีกฝ่ายไม่เห็นหัวพวกมัน กระทั่งพวกมันยังรู้สึกเสมือนถูกดูหมิ่น!
ทว่าวันนี้ ‘การดูหมิ่น’ จากต้วนหลิงเทียนไม่เพียงทำให้พวกมันไม่พอใจ พวกมันยังยิ้มร่าไม่ถือสาอะไรแม้แต่น้อย
กระทั่งในใจยังกลายเป็นยกย่องต้วนหลิงเทียน…
‘วางตัวเช่นนี้สมแล้วที่เป็น ‘อัจฉริยะบุคคล’ ความภาคภูมิใจในตัวเองช่างสูงส่งไม่คิดสยบให้ผู้ใดง่ายๆนัก! ตัวตนเช่นนี้นี่ล่ะ..คือผู้ที่จะนำพาตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราไปสู่ความยิ่งใหญ่! ด้วยมีเขาตำหนักฟ้าลี้ลับเรายังกลัวไม่รุ่งเรืองอีกหรือ!?’
‘อัจฉริยะเยี่ยงปีศาจ ไหนเลยประพฤติขลาดเขลาโอนอ่อนไหลตามกระแสไปเรื่อยเหมือนสามัญชน! ดูศิษย์ทั่วไปเข้าเถอะ! มีผู้ใดหาญกล้าวางตัวอหังการเช่นหลิงเทียนผู้นี้ได้บ้าง!!’
‘ยังเยาว์อยู่แท้ๆกลับมีสภาวะท่วงท่าคล้ายไร้แยแสสรรพสิ่ง เผยให้เห็นชัดว่าสายตากว้างไกลมีความมั่นใจในตัวเองสูงส่ง…ตัวตนเช่นนี้จักต้องเติบโตเป็นจ้าวผู้ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดแน่นอน!!’
…
หากความคิดในหัวของบรรดาอาวุโสระดับสูงเหล่านี้สามารถดังออกมาให้ได้ยินกันทั่วล่ะก็…น่ากลัวเหล่าศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับคงได้คับแค้นจนกระอักโลหิตตาย!
เห็นได้ชัดว่าหลิงเทียนผู้นี้เพียงหยิ่งยโสไม่เห็นหัวพวกท่านแท้ๆ ไฉนกลายเป็นตัวตนอหังการดั่งจ้าวอยู่เหนือผู้มากไปด้วยความมั่นใจไม่โอนอ่อนไหลตามกระแสเหมือนสามัญชนไปได้?
ตอนแรกกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนเห็นฉากนี้ทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะผวา ด้วยกลัวว่าการวางตัวของต้วนหลิงเทียนจะสร้างความพิโรธเดือดดาลให้แก่เหล่าอาวุโสระดับสูงทั้งหลาย สีหน้าจึงซีดลงไปอยู่บ้าง…
อย่างไรก็ตามพอเห็นสีหน้าของอาวุโสทั้งหลาย ที่ไม่คล้ายจะมีโทสะอะไร พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ เพราะคิดว่าไม่มีใครถือสาหาความต้วนหลิงเทียน
ทว่าฉากต่อมากลับทำให้พวกมันจำต้องตะลึงลานแล้วจริงๆ
“หลิงเทียน พวกเราเคยพบกันแล้วตอนที่เจ้าออกจากแดนลับเซียนวันนั้น เจ้าจำข้าได้หรือไม่”
หนึ่งในรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเปี่ยมไมตรียิ้มกล่าวออกมาหน้าระรื่น แนะนำตัวให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
หลังจากนั้นรองจ้าวตำหนักทั้งหลายก็ผลัดกันออกมาแนะนำตัวให้ต้วนหลิงเทียนอย่างมากอัธยาศัย น้ำเสียงท่าทางแต่ละคนแลดูใจดีทั้งสุภาพอ่อนโยน ไม่คล้ายกำลังคุยกับศิษย์แต่เป็นบุตรหลานหัวแก้วหัวแหวน
กู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนถึงกับต้องหันมามองสบตากันปริบๆ แลเห็นถึงความตกตะลึงไม่เข้าใจในแววตาอีกฝ่าย
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ยากลงมือตบหน้าคนกำลังยิ้ม’
เช่นนั้นเมื่อเผชิญกับการทักทายแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มของเหล่าอาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ยิ้มรับอย่างขอไปที
“จ้าวตำหนัก ท่านกับรองจ้าวตำหนักและอาวุโสทั้งหลายมาหาข้าแบบนี้ ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันมองถามเมิ่งฉิงออกมา
แน่นอนว่าแม้ปากจะกล่าวถามออกไป แต่ใจรู้ดีว่านี่มันเรื่องอะไร…
หวางเฟยเซวียนนั้นยังไม่อาจคาดเดาความคิดของจ้าวตำหนักและอาวุโสคนอื่นๆได้ หากแต่กู่ลี่กลับตระหนักได้แล้วว่าทุกคนมากันทำอะไร ใบหน้าอดไม่ได้ที่จะเข้มขรึมจริงจังขึ้นมาทันที “ไม่คิดเลยว่าน้องหลิงเทียนจะกลายเป็นที่นิยมมากเพียงนี้!”