WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1817
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1817
ตอนที่ 1,817 : จ้าวจี้…อริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!
“หลิงเทียน พวกเรามาที่นี่เพราะคิดให้เจ้าทบทวนเรื่องอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับ และร่วมฟันฝ่าสู่ความยิ่งใหญ่ไปกับตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรา!”
เผชิญกับคำถามของต้วนหลิงเทียน เมิ่งฉิงไม่คิดอ้อมค้อมอันใด เลือกเปิดประตูเห็นภูผากล่าวออกทันที “ตราบใดที่เจ้ายินดีร่วมฝ่าฟันไปกับตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรา ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่เพียงแต่จะไม่ขาดการส่งเสริมสนับสนุนเจ้าด้วยทรัพยากรบ่มเพาะทั้งหมดที่เจ้าต้องการ…”
“ตัวข้ายังกล่าวรับปากกับเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยว่า…ว่าที่จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคนต่อไปคือเจ้า!!”
สิ้นคำกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังของเมิ่งฉิง ทุกสายตาของบรรดาอาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับ ล้วนไปตกที่ร่างต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน
ในแววตาของพวกมันแต่ละคนยังเต็มไปด้วยความวาดหวัง และความปรารถนาล้นปรี่!
ตราบใดที่ชายหนุ่มเบื้องหน้ายินดีรั้งอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ วันหน้าตำหนักฟ้าลี้ลับต้องผงาดขึ้นไปถึงจุดยอดแห่งอำนาจได้เป็นแน่ สามารถยืนหยัดทัดเทียมตำหนักเมฆาครามและตลาดมืดหยินชานได้อย่างไม่ยิ่งหย่อน!!
หากชีวิตนี้ของพวกมันได้เห็นฉากนั้น แม้ตายก็ไม่เสียดายแล้ว!
ได้ยินคำถามนี้ของเมิ่งฉิง ต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะคาดไว้ก่อนแล้ว
ทว่าหวางเฟยเซวียนนั้นต่างกัน นางถึงกับตะลึงเป็นตัวโง่งมอีกครั้ง
นางไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะทำให้บรรดาผู้อาวุโสระดับสูงกระทั่งจ้าวตำหนัก มากล่าวโน้มน้าวให้อยู่ต่อได้แบบนี้!
“เพ้ย! เจ้ายังยืนมึนอันใดอยู่เล่า! ยังมิรีบตอบรับไปอีกเจ้าทึ่ม!!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนนิ่งไปอยู่นาน หวางเฟยเซวียนที่ร้อนใจแทน อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงไปกล่าวเร่ง!
ในสายตาของนาง จ้าวตำหนักกับอาวุโสทั้งหลายทำถึงขนาดนี้ก็มากพอจะเผยให้เห็นความจริงใจของตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว ต้วนหลิงเทียนไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธ!
น่าเสียดายที่นางถูกลิขิตให้ผิดคาด
“จ้าวตำหนัก…รองจ้าวตำหนักและอาวุโสทุกท่าน…”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะว่ายมองเมิ่งฉิงและทุกคนที่มาหาเขารอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เงียบไปไม่กี่ลมหายใจค่อยกล่าวออกเสียงดังฟังชัด “ข้าขอบคุณในความปรารถนาดีของทุกท่าน อย่างไรก็ตามข้าได้ให้คำมั่นกับท่านอาจารย์ไว้แล้ว ว่าจะมุ่งหน้าไปยังภูมิภาคเบื้องบนเพื่อตามหาท่าน…เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะรั้งอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับ”
เป็นไปไม่ได้?
คำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียน…กู่ลี่ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะคิดไว้แล้วว่าตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ได้ดีพอสำหรับน้องชายผู้นี้! เวทีที่เหมาะสมให้น้องชายมันคนนี้โลดแล่น มีเพียงภูมิภาคเบื้องบนเท่านั้น!!
เมิ่งฉิงก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเช่นกัน เพราะคิดคาดไว้แต่แรกแล้ว
เหตุผลที่มันมาที่นี่ก็เพื่อสนองความต้องการของรองจ้าวตำหนักและอาวุโสทั้งหลาย และให้ทุกคนล้มเลิกความคิดดังกล่าวไปเสีย
หวางเฟยเซวียนถึงกับอึ้งค้างไปราวกับรูปปั้น
รองจ้าวตำหนักกับอาวุโสทั้งหลายก็ตะลึงไปไม่ต่าง
หวางเฟยเซวียนไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวปฏิเสธออกมา
ส่วนด้านอาวุโสและชนชั้นรองจ้าวตำหนักนั้นมีบ้างที่คิดไว้แล้วว่าอาจต้องผิดหวัง ส่วนบางคนก็เลือกที่จะหวัง..
อย่างไรก็ตามแม้พวกมันไม่แน่ใจว่าต้วนหลิงเทียนจะอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะปฏิเสธออกมาตรงๆทันทีแบบนี้…
ฟังจากวาจาของต้วนหลิงเทียนแล้ว ยังทราบได้ว่าไม่เว้นช่องว่างให้ต่อรอง…
“ฮึ่ม! กลับไม่รู้ว่าอันใดดีต่อตัว!!”
“เหอะ! หากตำหนักฟ้าลี้ลับมิรับตัวเจ้ามา และยินยอมให้เจ้าเข้าใช้สระวิญญาณ เจ้ายังจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้หรือ!?”
“อกตัญญู มิรู้คุณคน!”
……
กระทั่งในบรรดาอาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ไม่ใช่ว่าทุกคนนั้นจะเป็นคนดีไปเสียทั้งหมด ด้วยเหตุนี้การตัดสินใจของต้วนหลิงเทียนก็มีทั้งผู้ที่เข้าใจ และผู้ที่สายตาคับแคบไม่อาจเข้าใจกระทั่งยังกล่าวตำหนิออกมา
ได้ยินวาจาตำหนิเหล่านี้ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม
หากตำหนักฟ้าลี้ลับไม่รับตัวเขามา เขาจะไม่มีวันนี้งั้นเหรอ?
หากไม่ได้เข้าใช้สระวิญญาณเขาจะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้อย่างตอนนี้?
อกตัญญู ไม่รู้คุณคน?
ขอถามสักคำ มีศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับกี่คนที่เข้าใช้สระวิญญาณแล้วเป็นเช่นเขาบ้าง?
แล้วมีผู้ใดในตำหนักฟ้าลี้ลับที่อายุเท่าเขาหากแต่มีพลังฝีมือทัดเทียมอริยะเซียนขั้นกลาง?
เช่นนั้นก็กล่าวได้เลยว่าต่อให้ไม่ใช่ตำหนักฟ้าลี้ลับ เขาก็ยังสามารถประสบความสำเร็จได้!
แต่สำหรับทุกอย่างที่ได้จากตำหนักฟ้าล้ลับ แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้สึกขอบคุณในใจมาโดยตลอด…ไม่ว่าจะเป็นสระวิญญาณหรือแดนลับเซียน กระทั่งความช่วยเหลือของจ้าวตำหนักและกู่ซืออวิ๋นในเรื่องรวบรวมวัตถุดิบมากมายหลายหลากให้เขาเพื่อซ่อมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
อย่างไรก็ตามแม้เขาจะรู้คุณและมีความกตัญญูคิดตอบแทน แต่เขาก็ไม่คิดรั้งอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับเพราะคำกตัญญู
เขายังมีสิ่งที่ต้องไปกระทำ!
บางเรื่องไม่อาจล่าช้าได้!
แน่นอนว่าเขายังติดค้างตำหนักฟ้าลี้ลับในแง่ ‘ความรู้สึกที่มีต่อผู้คน’ และเขาคิดไว้แล้วว่าจะตอบแทนในภายภาคหน้า แต่ไม่ใช่การตอบรับคำของเมิ่งฉิงแบบนี้
ในเมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวคำปฏิเสธ อาวุโสมากมายของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ผิดหวัง บางคนยังจากไปด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่
ในขณะเดียวกันไม่นานเรื่องราวนี้ก็แพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับฉับไวดั่งไฟป่า พาลให้ทั่วทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับปั่นป่วนกันยกใหญ่อีกรอบ
“หลิงเทียนนั่นกลับไม่รู้ผิดชอบชั่วดีหรือ?”
“เหอะๆ…ตราบใดที่มันอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับ ทางตำหนักคงไม่ขาดความพยายามสนับสนุนด้านทรัพยากรบ่มเพาะ กระทั่งท่านจ้าวตำหนักยังกล่าวให้คำมั่นว่ามันจะได้เป็นจ้าวตำหนักคนต่อไป!”
“ข้าพเจ้ามิอาจทราบได้จริงๆ ว่าในหัวหลิงเทียนคิดอ่านอันใดอยู่กันแน่…หากเป็นข้าพเจ้าลองมีอาหารโอชะเช่นนี้ยื่นมาถึงตรงหน้าคงกัดลงไปเต็มคำแล้ว!”
……
วาจาทำนองดังกล่าวดั่งขึ้นไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับ ทั้งหมดคิดว่าต้วนหลิงเทียนถือดีเกินไป และไม่รู้ว่าอะไรมันดีต่อตัว
แต่ทั้งหมดทั้งมวลต้วนหลิงเทียนล้วนไม่สนใจ
ณ ตำหนักหลัก คฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง อันเป็นที่อยู่อาศัยของจ้าวจินอาวุโสผู้พิทักษ์ คฤหาสน์หลังนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่นัก การตกแต่งยังงดงามยิ่งกว่าพระราชวัง
และตอนนี้จ้าวจินกับจ้าวเติงก็กำลังนั่งสนทนาหารือกัน
“ท่านพ่อ หลิงเทียนผู้นี้ปล่อยไว้ไม่ได้…ด้วยศักยภาพของมัน ต่อไปมันต้องเป็นเภทภัยไม่สิ้นสุดกับสกุลจ้าวเราแน่!”
แววตาจ้าวเติงทอแสงเย็นเยียบ ลึกลงไปเผยให้เห็นความพรั่นกลัวประการหนึ่ง
“วันนี้หากมันรับคำของจ้าวตำหนักบางทีข้าอาจจะกลัวมันอยู่บ้าง…แต่ข้ามิคิดเลยจริงๆว่ามันจักปฏิเสธออกมาอย่างโง่งม!!”
จ้าวจินหัวเราะเยาะ
“ท่านพ่อในเมื่อมันตั้งใจจะตีจากตำหนักฟ้าลี้ลับ และมันมิได้คิดจะออกไปไหนช่วงนี้…เช่นนั้นไฉนพวกเรามิรอวันที่มันออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ ลงมือฆ่ามันให้ตายเล่า?”
จ้าวเติง ที่ชักสีหน้าขึงขังอำมหิตกล่าวเสนอ
“หากมันไม่ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับช่วงนี้จริงๆ พวกเราก็ไร้ทางเลือกอื่นได้แต่ฆ่ามันวันนั้นเถอะ…”
จ้าวจินกล่าว
ในพื้นที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งมันเองก็ไม่กล้าลงมือฆ่าคนมั่วซั่ว
เพราะทันทีที่มันลงมือ มันต้องถูกเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักค้นพบได้ทันที กระทั่งกู่ซืออวิ๋นก็ต้องรับทราบทันทีด้วยเช่นกัน!
สำนึกเทวะของเมิ่งฉิงและกู่ซืออวิ๋นรวมถึงตัวมันเอง มีรัศมีกว้างพอจะแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับ! เรียกว่าสามารถล่วงรู้ถึงความเป็นไปในตำหนักฟ้าลี้ลับได้ง่ายดาย เว้นเสียก็แต่ภายในห้องหับหรือบ้านพักส่วนตัวอะไร!!
เช่นนั้นจึงไม่มีใครในตำหนักฟ้าลี้ลับกล้าที่จะลงมือสังหารผู้ใดมั่วซั่ว!
นอกเสียแต่คนผู้นั้นเบื่อชีวิตคิดหาเรื่องตาย!
ด้านต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้จ้าวเติงกับบิดาอย่างจ้าวจินกำลังหารือกันทั้งยังตั้งมั่นว่าจะฆ่าเขาให้ตาย
แม้เขาจะไม่ได้ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปไหน แต่ทั้งคู่ก็คิดจะลงมือฆ่าเขาให้ตายวันที่เขาออกจากตำหนัก!
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ฝึกฝนบ่มเพาะอยู่ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างตั้งใจ พยายามทำความเข้าใจยอดใจกระบี่เพื่อให้บรรลุ
เมื่อพบกับจุดรอคอย เขาก็จะออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปสนทนากับกู่ลี่หรือหวางเฟยเซวียน คุยกันถึงแนวทางวรยุทธ์ทั้งหลายกระทั่งเวทย์พลัง บ้างก็ประมือกับกู่ลี่เป็นครั้งคราว
นอกจากนี้วัตถุดิบที่ทยอยส่งมาเรื่อยๆ ก็ถูกเขานำไปมอบให้ผู้เฒ่าหั่ว
การฟื้นฟูชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ เรียกว่าช่วงนี้ผู้เฒ่าหั่วทำงานมือเป็นระวิง…
กาลเวลาล่วงเลยดั่งธารไหล ไม่ทันไรก็ผ่านไปอีกปี
แน่นอนว่า หนึ่งปี ในที่นี้หมายถึงเวลาภายนอก
ส่วนภายในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ มันผ่านพ้นไปแล้ว 5 ปี
ภายในเวลา 5 ปีนี้…พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนก็ก้าวหน้าไปไม่น้อยเช่นกัน
ส่วนการทำความเข้าใจเคล้ดบำเพ็ญจิต ยอดใจกระบี่ ก็เจียนบรรลุถึงขั้นที่ 3 เต็มที
ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแต่ พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนจะก้าวหน้า…ยังมีบางคนที่ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน!
ทางพื้นที่ตะวันตกของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…ในสถานที่อันห่างไกลและเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างผู้ฝึกตนสองคนกำลังบ่มเพาะพลังอย่างผิดปกติ ความเร็วในการบ่มเพาะของทั้งคู่เรียกว่าเพิ่มพูนขึ้นรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ ยังเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนที่บ่มเพาะฝึกปรือในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเสียอีก!
ทว่ากลวิธีการบ่มเพาะพลังของทั้งสองคนนี้ หาใช่การดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินทั้งพลังในหินเซียนมาเพิ่มพูนพลังฝึกปรืออย่างปกติไม่…แต่พวกมันกลับดูดกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรี! ยังเป็นสตรีจำนวนมากมายมหาศาล!!
แน่นอนว่าในบรรดาสตรีทั้งหลาย สตรีที่ยังเป็นพรหมจรรย์อยู่มีคุณค่ามากกว่า!
อีกทั้งสตรีที่ถูกพวกมันสูบกลืนพลัง ล้วนตกตายกลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยวทั้งสิ้น!
อย่างไรเสียการกระทำชั่วร้ายนี้กลับไม่ได้แพร่งพรายออกไป
นั่นเพราะไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่พบศพสตรีแห้งเหือดหนังหุ้มกระดูก เป็นอันต้องตกตายทุกราย…กระทั่งญาติสนิทมิตรสหายที่ออกตามหาสตรีที่หายตัวไป…ก็ตกตายอย่างลี้ลับ!
ผู้ฝึกตนสองคนที่กำลังบ่มเพาะพลังอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอดีตจ้าววังนภา จูลู่ฉี และหลานชายของอาวุโสผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ บุตรชายรองจ้าวตำหนัก จ้าวจี้!
“ฮ่าๆๆๆ…”
เสียงหัวเราะหนึ่งดังลั่นขึ้น จ้าวจี้พลันผุดลุกขึ้นยืนก่อนที่จะผละออกมาจากพุ่มไม้แห่งหนึ่ง ร่างมันเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ใดๆ มองลงไปที่เท้าปรากฏซากศพแห้งๆร่างหนึ่ง
หากมองให้ละเอียดจะพบว่านี่เป็นซากศพของสตรี…
และเมื่อมองไปยังคราบโลหิตที่เปรอะเปื้อนบนพื้นบริเวณหว่างขาของนาง ก็บ่งบอกให้รู้ว่านางเคยเป็นสตรีที่ยังบริสุทธิ์มาก่อน
“อริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ…ในที่สุดข้าก็ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!!”
จ้าวจี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ คล้ายพึงพอใจในพลังฝึกปรือของตัวเองถึงที่สุด! ด้วยความช่วยเหลือของสตรีใต้เท้า ทำให้มันทะลวงขอบเขตพลังได้สำเร็จ!!
ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาด่านพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นกลางของมัน ได้ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!
ทั้งหมดต้องขอบคุณเคล็ดมารกลืนหยิน!
ตลอดปีที่ผ่านไม่ทราบมีสตรีมากมายเท่าไหร่ ที่ตกตายเป็นซากศพแห้งเหี่ยวใต้เท้ามันเช่นนี้…
เรียกว่าความสำเร็จของมันในวันนี้ได้มาจากการพรากพรหมจรรย์กับแก่นแท้โลหิตของพวกนางทั้งสิ้น!
อีกทั้งความก้าวหน้านี้ เป็นอะไรที่มันในอดีตไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึง!
“อย่างไรเสียแม้จะทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ ก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะเจ้านั่นได้…สุดท้ายแล้วเมื่อปีที่แล้วมันก็บรรลุถึงอริยะเซียนขั้นกลาง! ข้าต้องบ่มเพาะพลังต่อไป!!”
เมื่อคิดถึงต้วนหลิงเทียนขึ้นมา ก็คล้ายมีน้ำเย็นราดรดลงหัว ทำให้จ้าวจี้หลุดจากภวังค์ยินดี ตื่นจากฝันหวานทันที
“จ้าวจี้…”
ในขณะที่จ้าวจี้คิดออกไปหาเหยื่อรายใหม่ พลันมีเสียงชราดังขึ้น
จากนั้นร่างชราหนึ่งก็วูบมาปรากฏเบื้องหน้าจ้าวจี้
“จ้าววังจู”
มองไปยังจูลู่ฉีเบื้องหน้า จ้าวจี้พลันยิ้มกล่าว “ข้าทะลวงถึงอริยะเซียนชั้นเชี่ยวชาญแล้ว…มิทราบจ้าววังจูเป็นอย่างไรบ้าง พลังฝึกปรือก้าวหน้าขึ้นบ้างหรือยัง ใช่บรรลุเซียนปฐพีขั้นกลางแล้วหรือไม่?”
6 เดือนที่แล้วด่านพลังฝึกปรือของจูลู่ฉีที่เดิมอยู่ที่เซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด ได้ทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นต้นที่มันเคยวาดฝันเอาไว้ได้สำเร็จ หลังจากนั้นด้วยความช่วยเหลือของเคล็ดมารกลืนหยิน พลังฝึกปรือของมันก็ก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ…
“ขาดอีกแค่เล็กน้อย…”
จู่ลู่ฉีส่ายหัวไปมา ก่อนที่แววตาจะทอแสงเรืองวูบ “อีกมิเกิน 3 เดือนข้าสมควรทะลวงผ่าน!”