WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1819
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1819
ตอนที่ 1,819 : กู่ลี่…เซียนมนุษย์!
จูลู่ฉีนั้นรู้ตัวเองดี
ถึงแม้ตอนนี้มันจะบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นกลาง หากแต่ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ มีผู้คนมากมายนักที่เอาชนะมันได้
ไม่ต้องกล่าวถึงผู้สักงเกตการณ์ ที่เป็นตัวตนขอบเขตเซียนนภา ที่ถูกส่งมาจากขุมพลังชั้น 1 จากภูมิภาคเบื้องบนเพื่อควบคุมดูแลคนในภูมิภาคเบื้องล่าง ลำพังผู้นำของตำหนักเมฆาครามกับตลาดมืดหยินชานก็ฆ่ามันได้ง่ายดายราวฆ่าไก่!
ร่ำลือกันว่าพลังฝึกปรือของทั้งสองคนนั้นบรรลุถึงจุดสูงสุดขอบเขตเซียนปฐพีไปแล้ว!
นอกจากนั้นผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลาย ไม่เว้นเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ คนเหล่านี้ที่อ่อนด้อยที่สุดก็ล้วนบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญ!
นอกเหนือจากนั้นตัวตนที่มีชื่อเสียงอย่างรองผู้นำตลาดมืดหยินชานเฝิงปู่อี้ ที่บรรลุเซียนปฐพีขั้นกลางเหมือนกัน ทว่าอีกฝ่ายนั้นเจียนบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญเต็มที ไม่ใช่อะไรที่คนอย่างมันที่พึ่งจะบรรลุเซียนปฐพีขั้นกลางจะต่อกรด้วยได้…
“เฝิงปู่อี้…วันใดที่ข้าบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญ วันนั้นจะเป็นวันตายของเจ้า!”
สองตาของจูลู่ฉีทอประกายอำมหิตจ้า เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันอันหนาแน่น ยังดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อเฝิงปู่อี้!
ผ่านไปพักหนึ่งจูลู่ฉีค่อยสงบลง “ตอนนี้ไม่เหมาะที่ข้าจะเผยตัว…นอกจากบ่มเพาะพลังแล้ว ข้าต้องรีบเพาะสร้างเวทย์พลังนั่นให้เร็วที่สุด!”
เวทย์พลัง จูลู่ฉีกล่าวนั่นคือเวทย์พลังที่มาพร้อมกับเคล็ดมารกลืนหยิน
เวทย์พลังนั้นยังไม่ใช่เวทย์พลังสามัญแน่นอน อนิจจาฉีจิ้งยังไม่บรรลุถึงเซียนมนุษย์ มันจึงไม่อาจทำความเข้าใจและเพาะสร้างได้
หลังจากนั้นไม่นานจูลู่ฉีก็ออกจากพื้นที่ตะวันตก
ขณะเดียวกันข่าวเรื่องผู้ฝึกมาร ที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินก็เริ่มแพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายผู้คนทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างก็ได้ยินข่าวเรื่องนี้
“เคล็ดมารกลืนหยิน? เคล็ดมารกลืนหยินคืออันใดหรือ?”
ถึงแม้ข่าวของเคล็ดมารกลืนหยินจะแพร่ไปทั่ว และเป็นเคล็ดบำเพ็ญมารที่โด่งดังครั้งอดีตกาล แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้จัก…
เพราะสุดท้ายเวลามันก็ผ่านไปเนิ่นนานมากแล้วหลังจากที่เคล็ดมารกลืนหยินปรากฏขึ้นครั้งสุดท้าย ผู้ที่รู้จักมันดีจริงๆก็มีแต่ผู้ชราที่อยู่ในขุมพลังชั้นสูงเท่านั้น
“เคล็ดมารกลืนหยินนั้นใช้กลวิธีบ่มเพาะพลังจากการสูบกลืนพลังหยินทั้งแก่นแท้โลหิตจากสตรี…และสตรีที่ถูกดูดกลืนพลังนั้นต้องตายสถานเดียว แถมยังต้องกลายเป็นซากศพเหี่ยวแห้งอีกด้วย…”
เมื่อรายละเอียดของเคล็ดมารกลืนหยินเริ่มแพร่กระจายออกไป ผู้คนที่ได้รับรู้ก็เริ่มหวาดกลัวและรู้สึกตื่นตระหนกเสียขวัญนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าสตรีที่เป็นเป้าหมายโดยตรงยิ่งกลัวจับใจ เหล่าสตรีพรหมจรรย์ทั้งหลายยังแทบไม่กล้าออกนอกบ้านด้วยซ้ำ!
เพราะพวกนางคือเป้าหมายอันดับ 1 ของเคล็ดมารกลืนหยิน!
ในขณะที่ผู้คนในภูมิภาคเบื้องล่างกำลังตื่นตระหนก ย่อมเป็นธรรมดาที่ขุมพลังชั้น 4 และขุมพลังกึ่งชั้น 3 ก็ต้องได้รับทราบข่าวนี้
“จูลู่ฉีคิดกลายเป็นมารร้ายที่เป็นศัตรูของใต้หล้าดั่งมารร้ายยอดฝีมือตนนั้นจริงๆหรือ?”
เหล่าผู้นำขุมพลังชั้น 4 ทั้งหลายเริ่มตั้งแง่
“จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับเมิ่งฉิงนั้น ตัวข้าเคยได้พบครั้งหนึ่ง นับว่าเป็นคนที่มีเกียรติและน่านับถืออย่างยิ่ง มิทราบไฉนตำหนักฟ้าลี้ลับ ถึงมีคนอย่างจ้าววังนภาจูลู่ฉีได้”
อาวุโสหลายคนกล่าวไปในทำนองเดียวกัน
ขุมพลังกึ่งชั้น 3 แน่นอนว่าเริ่มเคลื่อนไหวทันทีหลังได้รับทราบข่าวเรื่องนี้ พวกมันไม่อาจเพิกเฉยเรื่องที่อาจจะกลายเป็นหายนะเภทภัยได้
“ยังไม่ทันถึง 2 ปีดี แม้จูลู่ฉีจะบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน หากแต่พลังฝีมือของมันตอนนี้สมควรยังไม่กล้าแข็งเท่าใด…พวกเราต้องฆ่ามันให้ได้ก่อนที่จักเติบโตมากไปกว่านี้! หากพวกเราไม่อาจฆ่ามันได้ในเวลาอันสั้น น่ากลัวว่าแผ่นดินของภูมิภาคเบื้องล่างคงได้เจิ่งนองไปด้วยโลหิตอีกครั้ง!”
เหล่าผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันเรื่องกำจัดจูลู่ฉี
ผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลายจึงได้ออกคำสั่งให้เหล่าอาวุโสยอดฝีมือกระจายกำลังไปคุมพื้นที่ตะวันตก
ขุมพลังชั้น 4 ก็ให้ความร่วมมือเช่นกัน
ครั้งสุดท้ายที่เคล็ดมารกลืนหยินก่อมรสุมโลหิต แม้เหล่ายอดฝือในปัจจุบันจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ หากแต่ตื้นลึกหนาบางของเหตุการณ์ก็ได้รับทราบจากบันทึกกันไม่น้อย จึงรับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของเคล็ดมารกลืนหยินดี
ยามนั้นมารร้ายยอดฝีมือที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน อาศัยพลังฝึกปรือเซียนปฐพีขั้นสูงสุดกำแหงไปทั่วแดนดิน บรรดายอดฝีมือระดับแนวหน้าที่แม้จะผนึกกำลังกัน ก็ยังต้องล้มตายดั่งใบไม้ร่วง และแม้จะเอาจำนวนเข้าว่าจนสามารถปิดล้อมได้สำเร็จ…ทว่าอีกฝ่ายก็สามารถลบหนีความตายได้พ้น
ตำหนักฟ้าลี้ลับเองคราวนี้ก็ส่งอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ออกไปลงพื้นที่
ส่วนจ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิงนั้น ไม่อาจไปไหนได้ จำต้องรั้งอยู่เพื่อปกปักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ
เมิ่งฉิงที่กำลังเดินกลับมาจนถึงสวนหย่อมหลังจากส่งอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ออกไป พลันหยุดลงกะทันหัน…เพราะสัมผัสได้ถึงสายลมหอบหนึ่งพัดมาหยุดเบื้องหน้า!
หลังจากนั้นก็ปรากฏร่างชายชราคนหนึ่งขึ้น
ชายชราคนนี้เป็นชายชราที่มีแขนเพียงข้างเดียว
หากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ด้วยคงตอบได้ทันทีว่าชายชราคนนี้เป็นใคร…ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นชายชราที่ทำหน้าที่เฝ้าสระวิญญาณของวังนภา ยังเป็นอาจารย์ของอาวุโสผู้พิทักษ์กู่ซืออวิ๋นและบรรพจาร์ยของกู่ลี่
“อาจารย์ลุง”
ต่อหน้าชายชราแขนเดียวผู้นี้ ต่อให้เมิ่งฉิงจะเป็นถึงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ มันก็ไม่กล้าไม่เคารพ เร่งโค้งคารวะอีกฝ่ายทันที
เพราะชายชราเบื้องหน้าคือศิษย์พี่ของอาจารย์มัน!
นอกจากนั้นยังนับเป็นผู้ที่มีอาวุโสสูงที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้!
“จ้าวตำหนัก อย่าได้มากมารยาทกับข้าแล้ว ที่ข้ามาหาวันนี้เพราะมีเรื่องหนึ่งคิดกล่าว…โปรดอนุญาตให้ข้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ เพื่อไปตามล่าจูลู่ฉีนั่นด้วย…ข้าคิดจัดการมันด้วยตัวเอง!”
ชายชรากล่าวออกเสียงดังฟังชัด จบคำทั่วร่างก็ปรากฏจิตต่อสู้ยะเยือกขุมหนึ่งแผ่ซ่านออก แววตายังกลายเป็นอำมหิตดุดัน
“อาจารย์ลุง อาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ได้ออกไปจัดการแล้ว…ท่านยังต้องลงมืออีกหรือ?”
เมิ่งฉิงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฝื่อนๆ
ไม่ใช่ว่ามันสงสัยในพลังฝีมือของชายชราเบื้องหน้า หากแต่มันทนไม่ไหวที่จะเห็นชายชราที่อายุมากขนาดนี้แล้วยังต้องไปวิ่งเต้นลงมือเพื่อตำหนักฟ้าลี้ลับอีก
“จ้าวตำหนัก สารเลวน้อยจูลู่ฉีนั่นจะอย่างไรก็เคยได้ข้าชี้แนะอยู่พักใหญ่…ถึงแม้พวกเราจะยังไม่นับเป็นศิษย์อาจารย์ แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของข้า และข้าต้องสะสางมันด้วยมือข้าเอง”
ชายชรากล่าวยืนกราน
“ในเมื่ออาจารย์ลุงตัดสินใจแล้วข้าก็ไม่คิดขัดท่าน…อย่างไรเสียจูลู่ฉีก็ได้บ่มเพาะฝึกฝนอวิชชามารร้ายนั่นมา 2 ปีแล้ว…น่ากลัวป่านนี้พลังฝึกปรือของมันสมควรบรรลุเซียนปฐพีขั้นกลาง…”
วาจาท้ายประโยคเมิ่งฉิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกด้วยเจตนากล่าวเตือน
“อันใดจ้าวตำหนัก หรือคิดว่าตาแก่เช่นข้ามิมีเรี่ยวแรงสู้เด็กน้อยจูลู่ฉีนั่นแล้ว?”
ชายชรากล่าวค่อนแคะจบค่อยเร่งแผ่พุ่งปราณออกมาทั่วร่าง กลิ่นอายพลังตลบแผ่ไปในบรรยากาศพริบตาก็คลุมครอบไปถึงเมิ่งฉิง พาลให้สีหน้าเมิ่งฉิงเปลี่ยนไปทันใด ในแววตายังเผยความตื่นเต้นยินดีออกมา “อาจารย์ลุง…ท่านทะลวงผ่านแล้ว!”
ซัว!
อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับคำถามด้วยความตื่นเต้นยินดีของเมิ่งฉิง ชายชราเลือกที่จะวูบร่างหายไปต่อหน้าต่อตาของเมิ่งฉิงแทนคำตอบ
ตำหนักฟ้าลี้ลับ วังนภา…
ฟุ่บ!
ปรากฏร่างหนึ่งเหาะลงมาจากตำหนักหลักด้วยความเร็ว พริบตาก็บรรลุถึงบริเวณกึ่งกลางเขาวังนภา ค่อยหยุดร่างลงที่ล้านกว้างของบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง
ไม่ใช่ใครอื่น กู่ลี่
“นั่นพวกเจ้ามาด้อมๆมองๆอันใดที่บ้านพักน้องหลิงเทียนของข้า?”
กู่ลี่ว่ายตามองไปรอบๆวูบหนึ่ง ค่อยกล่าวออกเสียงแข็ง ค่อยยกมือขึ้นอย่างไร้เรื่องราว ทว่าทันใดนั้นบรรยากาศคล้ายแปรปรวนในฉับพลัน ร่างทุกคนที่ซุ่มซ่อนอยู่ถูกพลังมหาศาลซัดกระแทกอย่างแรง ยังฉุดร่างพวกมันออกจากที่ซ่อน
“อั๊ค!”
“โอ๊ย!”
…
หลายคนที่ถูกกระชากร่างออกมาไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไรสำหรับกู่ลี่ พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นคนของสกุลจ้าว ตอนนี้พวกมันถูกพลังไร้สภาพกดทับร่างกายจนบาดเจ็บ กระอักโลหิตออกปากไม่หยุด
“ซะ…เซียนมนุษย์! กะ…กู่ลี่เจ้าทะลวงผ่านแล้ว!!”
หนึ่งในศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับของสกุลจ้าวที่มีพลังฝึกปรือสูงที่สุดในที่นี้ถึงกับหน้าถอดสี ยามมองกู่ลี่ที่ลงมือทำร้ายแววตาอดไม่ได้ที่จะเผยความหวาดกลัวราวเห็นผี!
“จ้าวตง สมแล้วที่เจ้าได้รับอันดับ 5 ในรายนามฟ้าลี้ลับ…เพียงมองปราดเดียว กลับบอกได้ว่าข้าทะลวงผ่านแล้ว”
กู่ลี่หันไปมองร่างคนสกุลจ้าวคนหนึ่ง ค่อยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแววตาไร้แยแส
ศิษย์สกุลจ้าวที่พึ่งกล่าวออกมาด้วยความตื่นตระหนกนั้น มันคืออันดับ 5 ในรายนามฟ้าลี้ลับ พึ่งบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุดเมื่อไม่นานมานี้!
และด้วยเหตุนี้เองทำให้มันรับทราบได้ทันทีว่าพลังฝึกปรือของกู่ลี่บรรลุถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว!
ถึงแม้มันจะพึ่งบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุดได้ไม่นาน แต่ก็มิใช่ชนชั้นต่ำทราม ยากจะมียอดฝีมืออริยะเซียนขั้นสูงสุดคนไหนทำร้ายมันได้แบบนี้!
มีเพียงตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์เท่านั้น ที่สามารถจัดการมันได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือแบบนี้!
เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องคิดก็บอกได้ทันที ว่ากู่ลี่ทะลวงผ่านอริยะเซียนขั้นสูงสุงถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว!
“ซะ…เซียนมนุษย์!”
ศิษย์สกุลจ้าวหลายคนที่นอนสิ้นท่าอยู่ แทบเป็นลมล้มพับหลังได้ยินคำของจ้าวตง
ตัวตนขอบเขตพลังเซียนมนุษย์นั้น เป็นอะไรที่สามารถบดขยี้ร่างพวกมันให้แหลกได้ด้วยนิ้วเดียว!
“พี่กู่ ขอแสดงความยินดีด้วย…”
และตอนนี้เองประตูบ้านพักได้เปิดออก ปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดขาวแลดูอารมณ์ดีก้าวออกมา ทุกย่างก้าวให้ความรู้สึกสบายๆเสมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ
“น้องหลิงเทียน ในที่สุดเจ้าก็ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะแล้ว?”
กู่ลี่กล่าวถาม “ข้านับว่ามาได้ถูกเวลาจริงๆ!”
“พี่กู่ข้าออกจากการปิดด่านตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแลว ตอนนี้ข้ากำลังพยายามทำความเข้าใจวรยุทธ์เซียนอยู่ เลยทำให้ข้ารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกนี่ได้ทันทีอย่างไรเล่า…”
ชายหนุ่มที่ก้าวออกมาจากบ้านไม่ใช่ใครอื่น เป็นต้วนหลิงเทียน
เนื่องจากเขาจำต้องปลอมตัวเป็น หลิงเทียน ชุดตัวเก่งสีม่วงของเขาจึงไม่อาจสวมใส่ได้ เลยเปลี่ยนมาใส่ชุดจอมยุทธ์สีขาวแทน
“น้องหลิงเทียน…แล้วคนพวกนี้เจ้าจะจัดการพวกมันยังไง?”
กู่ลี่มองจี้ไปยังร่างของจ้าวตงอีกรอบ ค่อยกล่าวถามต้วนหลิงเทียน
“กู่ลี่ อย่าให้มันมากเกินไปนัก! ตำหนักฟ้าลี้ลับเรามีกฏเช่นไร เจ้าคงรู้ดี!!”
จ้าวตงที่ถูกกู่ลี่จี้มองด้วยสายตาเย็นเยือก อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว เร่งยกฏขึ้นมากล่าวอ้างทันที
ศิษย์สกุลจ้าวที่เหลือก็เร่งหันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาน่าเวทนา ปานจะเรียกคะแนนสงสารจากต้วนหลิงเทียน
จังหวะนี้คล้ายพวกมันจะลืมเลือนไปแล้วว่าการมาเฝ้าซุ่มโป่งรอบบ้านต้วนหลิงเทียน เป็นสาเหตุที่ทำให้กู่ลี่มีโทสะ…