WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1822
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1822
ตอนที่ 1,822 : มรดกตกทอด ของสัตว์มารดึกดำบรรพ์!
“น้องหลิงเทียนในเมื่อเจ้าเป็นถึงนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ด้วยฐานะของเจ้าใยปลอมตัวเป็นลี่เฟิงไปเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลี้ลับเพื่อช่วยน้องสาวเฉวี่ยไน่ของเจ้าให้ลำบากด้วยเล่า? ไม่ใช่เจ้าสั่งแค่คำเดียวก็น่าจะจบเรื่องแล้วหรอกเหรอ…คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไหนเลยจะกล้าขัดคำเจ้า?”
พอทราบว่าต้วนหลิงเทียนเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม กู่ลี่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเรื่องหนึ่ง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเคยเล่าให้มันฟังก่อนหน้า
ในสายตามันด้วยฐานะนายน้อยตำหนักเมฆาคราม แค่สั่งคำเดียวก็เรียกลมฝนได้แล้ว มีหรือคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะหาญกล้าขัดคำ!
กระทั่งเป็นนายน้อยของขุมพลังกึ่งชั้น 3 อื่นกล่าววาจา คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ต้องเร่งกระทำดั่งประกาศิต! นับประสาอะไรกับคำของนายน้อยตำหนักเมฆาคราม! นั่นยิ่งกว่าประกาศิตฟ้าเสียอีก!!
“นอกจากนั้นเจ้าที่เป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม จะลำบากมาที่ตำหนักฟ้าลี้ลับทำไม? หากเจ้าอยู่ตำหนักเมฆาคราม สมควรได้รับทรัพยากรบ่มเพาะมากกว่าที่นี่มิใช่หรือ?”
กู่ลี่อดไม่ได้ที่จะงุนงง
“พี่กู่เป็นธรรมดาที่ท่านจะสงสัยเรื่องพวกนี้ อย่างไรก็ตามท่านต้องรู้ด้วยว่า ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยรู้เลยว่าบิดาข้าคือจ้าวตำหนักเมฆาครามจนกระทั่งวันนี้! ดังนั้นข้าเลยไม่รู้ว่าตัวข้ามีฐานะเป็นนายน้อยของตำหนักเมฆาคราม…ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ข้าต้องลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง!”
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจ
“นี่มัน…จะเป็นไปได้ยังไงกัน?!”
กู่ลี่ถึงกับผงะไปเมื่อได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน
อย่างไรก็ตามพอนึกถึงปฏิกิริยาก่อนหน้าตอนที่ต้วนหลิงเทียนถามเรื่องจ้าวตำหนักเมฆาคราม กู่ลี่ก็เริ่มตระหนักได้ว่าสมควรเป็นเรื่องจริง
“น้องหลิงเทียน ไม่ใช่ว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามพึ่งย้อนกลับไปรับคนในครอบครัวมาที่ตำหนักเมฆาครามเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วหรอกหรือ ไฉนไม่พาเจ้ากลับมาด้วยเล่า?”
พอคิดถึงเรื่องนี้กู่ลี่ก็งงอีกรอบ
“ท่านพ่อปล่อยให้ข้าอยู่ทวีปมนุษย์เพราะคิดเคี่ยวกรำข้า…อ่างไรก็ตาม ท่านพ่อได้ทิ้ง ‘กล่อง’ ไว้ให้ข้าใบหนึ่ง หลังจากที่ข้าบรรลุถึงด่านพลังสูงสุดของทวีปมนุษย์ข้าจะสามารถเปิดมันออกได้ และยามเดินทางมาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็สามารถอาศัยเบาะแสในกล่องเพื่อรวมตัวกับครอบครัว…น่าเสียดายเพราะข้าดันทำให้เบาะแสที่บิดาทิ้งไว้ให้เสียหาย เลยเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงแบบนี้”
คิดถึงเรื่องที่หยกบันทึกเสียงในกล่องเสียหาย ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกรอบ
โชคชะตาช่างเล่นตลกกับผู้คนนัก!
พอต้วนหลิงเทียนอธิบายออกมา กู่ลี่ก็เริ่มเข้าใจ “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…อย่างไรก็ตามนี่นับว่าเป็นเรื่องดีอยู่บ้าง หากเจ้าไปตำหนักเมฆาครามแต่แรก พวกเราคงไม่ได้เจอกันแล้ว”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ หากแต่ลอบทอดถอนในใจ
“น้องหลิงเทียนในเมื่อเจ้ายืนยันได้แล้วว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามคือบิดาของเจ้า แล้วเจ้าคิดจะไปหาท่านหรือไม่?”
กู่ลี่ถาม
“แน่นอน!”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำอย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ “ที่ข้าดั้นด้นเดินทางมายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เพราะคิดพบหน้าครอบครัวของข้าสักครั้งก่อนที่จะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน…ในเมื่อตอนนี้ข้ามีเบาะแสแล้ว ข้าย่อมต้องไปหาทุกคนเป็นธรรมดา”
หลังจากได้รับทราบว่าบิดาไม่เอาไหนคือจ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนใคร่อยากให้แผ่นหลังมีปีกงอกเงยขึ้นมาสักสิบคู่ จะได้รีบโผบินไปให้เร็วที่สุด!
เพราะที่นั่นไม่ใช่แค่บิดามารดาเขาเท่านั้น ยังมีคู่หมั้นกับลูกน้อยของเขาอยู่ด้วย!
‘นับจากเวลา…ตอนนี้ลูกของข้ากับเสี่ยวเฟยเอ๋อน่าจะโตพอรู้ความแล้วสินะ?’
พอคิดถึงลี่เฟยกับลูกในท้องที่น่าจะโตแล้ว แววตาต้วนหลิงเทียนกลายเป็นอ่อนโยนลงทันใด ยังเหม่อลอยไปด้วยความคิดถึง
พอเห็นต้วนหลิงเทียนยื่นเหม่อทั้งยิ้มแย้มไปราวตัวโง่งม กู่ลี่ก็รู้ได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนกำลังคิดถึงครอบครัวอยู่ จึงไม่คิดจะรบกวนอะไร เพราะรู้ดีว่าหากไปขัดอีกฝ่ายตอนนี้ก็เสมือนมันก่ออาชญากรรมประการหนึ่ง
ดั่งที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวไว้ไม่มีผิด เพียงเวลาแค่ไม่นานเรื่องที่กู่ลี่ทะลวงผ่านถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้วก็แพร่กระจายไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับ ทำให้ทั้งตำหนักฮือฮาขึ้นมากันยกใหญ่
บรรยากาศอึมครึมหลังเรื่องเคล็ดมารกลืนหยินปรากฏ ก็คล้ายจะถูกลืมเลือนไปชั่วขณะ
“จริงเรอะ! ศิษย์พี่กู่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว!”
“จึกๆๆ สมแล้วที่เป็นถึงบุตรชายของท่านอาวุโสผู้พิทักษ์! บุตรพยัคฆ์ไหนเลยเป็นสุนัขได้!!”
“เฮ่ๆ พี่ท่าน จะว่าไปกระทั่งท่านจ้าวตำหนักของเราเอง ยามทะลวงถึงขอบเขตมนุษย์มิใช่จะมีอายุมากกว่าศิษย์พี่กู่หลายปีหรอกหรือ?”
“หากศิษย์พี่กู่กลายเป็นจ้าวตำหนักคนต่อไป ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราอาจมีโอกาสกลายเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่เข้มแข็งอย่างตำหนักเมฆาครามกับตลาดมืดหยินชาน! เสียดายที่ศิษย์พี่กู่คิดเดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนหลังบรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์..”
“ตอนแรกก็หลิงเทียนคนนึงแล้ว มาตอนนี้ก็เป็นศิษย์พี่กู่ ทั้งคู่ล้วนเป็นยอดฝีมือที่จะนำพาตำหนักฟ้าลี้ลับเราให้รุ่งเรืองขึ้นทั้งนั้น…น่าเสียดายที่ใจอัจฉริยะล้วนแสวงหาจุดสูงสุด ต่างคิดขึ้นไปแสวงหาความก้าวหน้ายังภูมิภาคเบื้องบนทั้งคู่!”
……
เมื่อข่าวเรื่องที่กู่ลี่บรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์แพร่กระจายออกมา บรรดาอาวุโสทั้งหลายย่อมได้รับทราบ หากแต่ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงอยเหงาซึมเซาด้วยความเสียดาย…
พวกมันรู้ดี การที่กู่ลี่ทะลวงผ่านขอบเขตเซียนมนุษย์ได้แบบนี้ อีกฝ่ายก็คงอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับอีกไม่นานแล้ว
“กู่ลี่กลับทะลวงผ่านได้แล้วจริงๆ…”
ในคฤหาสน์ใหญ่โตหลังหนึ่ง รองจ้าวตำหนักอย่างจ้าวเติงเองก็ได้รับทราบข่าวนี้เช่นกัน
ขณะเดียวกันจากบทสนทนาโดยรอบที่กล่าวเปรียบเทียบมันกับกู่ลี่ ในทำนองว่ามันเทียบชั้นกู่ลี่ไม่ได้ ก็ทำให้มันรู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย…
มันกับกู่ลี่ล้วนเป็นบุตรชายของอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้งคู่ อนิจจายามมันมีอายุเท่ากู่ลี่ มันก็ยังเป็นได้แค่อริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญแสนกระจ้อยร่อยเท่านั้น…
ไม่เปรียบเทียบก็แล้วไป…แต่พอเปรียบเทียบแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสลดใจ! แม้พรสวรรค์ของมันจะนับว่าไม่ใช่ชั่วแล้ว แต่พอเทียบกับกู่ลี่ก็รู้สึกไร้เรื่องราวอยู่บ้าง!
ที่สำคัญคือพวกมันล้วนมีบิดาเป็นอาวุโสผู้พิทักษ์!
รวมๆแล้วตอนนี้มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดที่ทำให้บิดาอับอาย..
“ท่านพ่อ!”
ในขณะที่จ้าวเติงกำลังหดหู่ใจเพราะวาจาที่กล่าวกันไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับ เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นปลุกสติของมัน
ใบหน้าที่คล้ายมีเมฆหมอกปกคลุมให้อึมคลึมกลายเป็นกระจ่างใสดั่งแดดส่องทันทีเมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคย
นั่นเพราะเสียงนี้เป็นเสียงบุตรชายคนเดียวของมัน จ้าวจี้ ที่หายตัวไปเกือบ 2 ปี!
ตั้งแต่วันที่จ้าวคุนปะทะกับหลิงเทียนแถวโถงเป็นตาย มันก็ไม่ได้เห็นหน้าบุตรชายของมันอีกเลย…
อย่างไรก็ตามเพราะไข่มุกวิญญาณของบุตรชายยังอยู่ดี มันจึงไม่ได้เป็นกังวลอะไร
“ฮึ่ม! ตลอด 2 ที่ผ่านเจ้าไปอยู่ที่ใดมา ข้านึกว่าเจ้าลืมเลือนบิดาคนนี้แล้วเสียอีก!!”
จ้าวเติงที่เห็นจ้าวจี้ ก็ปั้นหน้าเข้มกล่าวตำหนิออกไปทันที
แม้จะแลดูขึงขังจริงจัง แต่มันก็ทำเป็นเข้มไปอย่างนั้น หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าแววตาของมันมีแต่ความอ่อนโยน ทั้งดีใจที่เห็นหน้าลูกชายกลับมาไม่น้อย…
“ท่านพ่อ…ข้าเห็นพลังฝีมือกล้าแข็งของต้วนหลิงเทียนวันนั้น ข้าก็รู้สึกยากยอมรับ จึงออกเดินทางไปหาที่ระบายอารมณ์…อย่างไรก็ตามข้าบังเอิญไปพบพานกับสถานที่ประหลาดแห่งหนึ่ง และได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เลิศล้ำมา…จึงใช้เวลาอยู่กับมันสักพัก!”
จ้าวจี้กล่าวตอบออกมาด้วยรอยยิ้ม?
“ผลประโยชน์เลิศล้ำอันใด มิใช่ว่าพากันไปเที่ยวกับสหายเหลวไหลของเจ้าแถวหอนางโลมเมืองใหญ่ที่ไหนสักเมืองหรอกหรือ?”
จ้าวเติงยังคงกล่าวค่อนแคะออกไป
“ท่านพ่อ ออกไปคราวนี้ข้าไม่ได้ไปเหลวไหลกับสหายที่ไหนนะ แถมยังไม่ไปเจอหน้าสหายอะไรสักคน! ข้าบังเอิญไปเจอซากโบราณสถานลับแห่งหนึ่งที่อยู่ใต้ดินแถวๆภาคตะวันออกต่างหาก! และดูเหมือนจะเป็นมรดกสถานของยอดคนที่บรรลุขอบเขตพลังฝีมือเหนือกว่าเซียนนภาเหลือทิ้งไว้ด้วย!!”
วาจาท้ายประโยคสีหน้าแววตาจ้าวจี้เผยให้ความตื่นเต้นครั้งใหญ่ออกมา
ดูเหมือนจะเป็นมรดกสถานของยอดคนที่บรรลุขอบเขตพลังฝีมือเหนือกว่าเซียนนภาเหลือทิ้งไว้งั้นเหรอ?
ได้ยินวาจานี้ของจ้าวจี้ สองตาจ้าวเติงถึงกับเบิกโพลงปานลูกวัวแรกเกิด รีบกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันที “ว่าอะไร! เจ้าเจอซากโบราณสถานที่น่าจะเป็นมรดกของยอดคนที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าขอบเขตเซียนนภา!?”
“ใช่แล้วท่านพ่อ!!”
จ้าวจี้พยักหน้ารับแข็งขัน ค่อยกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “จากข้อความที่ยอดคนผู้นั้นทิ้งไว้…พลังฝีมือของมันสมควรเหนือกว่าขอบเขตเซียนนภา…นอกจากนั้นยังเป็นตัวตนจากยุคโบราณก็ว่าได้ เพราะในยุคนั้นดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของเรายังไม่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาค!!”
ได้ยินคำเล่าของจ้าวจี้ยิ่งมาลมหายใจจ้าวเติงยิ่งเร่งร้อน
ยุคที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังไม่แบ่งแยกเป็น 2 ไม่ใช่แค่โบราณ…แต่นั่นนับเป็นยุคดึกดำบรรพ์แล้ว!
ซากโบราณสถานจากตัวตนในยุคนั้นล้วนเรียกหาว่า ‘ซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์’
ในประวัติศาสตร์ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์กันไม่น้อย
ใครก็ตามที่ได้รับมรดกตกทอดจากซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์มา ล้วนมีโอกาสกลายเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของภูมิภาคเบื้องล่างทั้งสิ้น!
กระทั่งยามขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนยังนับเป็นชนชั้นอัจฉริยะ!
และตอนนี้มันกำลังได้รู้ว่าลูกชายคนเดียวของมัน ค้นพบซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์!
“โดยปกติแล้วซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์มักมีมรดกตกทอดอยู่…แล้วเจ้าได้รบมรดกตกทอดอันใดมาหรือไม่?”
จ้าวเติงกล่าวถาม ลมหายใจถี่รัว
“ใช่!”
จ้าวจี้พยักหน้าตอบกลับแทบจะทันทีหลังจ้าวเติงกล่าวจบ “ข้าได้รับสืบทอดมรดกในซากโบราณสถานนั่นมาแล้ว!”
สายตาจ้าวเติงทอประกายวับวาวขึ้นมาทันใด ลูกชายของมันได้รับสืบทอดมรดกจากซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์!!
ครู่ต่อมาลมหายใจของจ้าวเติงกลายเป็นหอบถี่!
ขณะเดียวกันจ้าวจี้ก็ค่อยกล่าวสืบต่อ “โชคไม่ดีหลังจากที่ข้าได้รับสืบทอดมรดกมาแล้ว อยู่ๆซากโบราณสถานนั่นก็พังทลายลง…ข้ายังอยากให้ท่านพ่อกับท่านปู่ได้รับสืบทอดมรดกนั่นด้วย น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีโอกาสได้รับเพิ่มแล้ว”
“เด็กโง่!”
จ้าวเติงย่อมมีความสุขมากเป็นธรรมดา ที่ได้ยินวาจากตัญญูจากบุตรแบบนี้ “มรดกของซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์ล้วนมีผู้สืบทอดได้เพียงคนเดียว เช่นนั้นมันจึงมีค่ามากมายมหาศาล! แค่เจ้าได้รับมรดกนั่นมาข้ากับปู่เจ้าก็ดีใจยิ่งแล้ว!”
“ว่าแต่เจ้าได้รับมรดกอันใดมาเล่า?”
จ้าวเติงกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
“มันเป็นมรดกของผู้ฝึกมาร…กล่าวให้ชัดเป็นมรดกของ สัตว์มาร!”
จ้าวจี้ตอบ
สัตว์มาร!
ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น นอกจากผู้ฝึกตนมนุษย์แล้ว ก็มีผู้ฝึกตนที่เป็นสัตว์เซียนด้วยเช่นกัน
(*สัตว์อสูรปีศาจ = สัตว์ที่สามารถบ่มเพาะพลังจนจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้ ถ้าใช้ร่างมนุษย์แล้วมักจะเรียกสั้นๆว่าปีศาจ / สัตว์เซียน = ก็เหมือนสัตว์อสูรปีศาจ หากแต่สามารถบรรลุขอบเขตเซียนได้)
ผู้ฝึกตนมนุษย์ที่เดินในวิถีมาร เรียกว่า ‘ผู้ฝึกมาร’
ส่วนสัตว์เซียนที่บ่มเพาะพลังหนทางมารจะเรียกว่า ‘สัตว์มาร’
“มะ…มรดกตกทอดของสัตว์มารดึกดำบรรพ์?”
ลูกตาจ้าวเติงทอประกายเจิดจ้าอีกครั้ง “มรดกตกทอดของสัตว์มารนั้นปกติจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่ามรดกของผู้ฝึกตนมนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์เสียอีก! หลังจากที่เจ้าได้รับมรดกและลองบ่มเพาะพลังแล้วเป็นเช่นไรบ้าง?!”
แทบจะพร้อมกันกับที่จ้าวเติงกล่าวจบคำ กลิ่นอายพลังยิ่งใหญ่สุดไพศาลพลันแผ่ออกมาทั่วร่างจ้าวจี้ อุณหภูมิโดยรอบคล้ายจะลดลงถนัดตา!
“ซะ…เซียนมนุษย์!!”
จ้าวเติงที่ตระหนักได้ถึงระดับของกลิ่นอายพลังนี้ ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด ลมหายใจกลายเป็นขาดห้วงทันที
ถึงแม้มันจะรู้ว่ามรดกตกทอดของสัตว์มารดึกดำบรรพ์นั้นทรงพลังอย่างน่ากลัว แต่มันก็ไม่คิดเลยว่าจะอัศจรรย์ถึงขั้นนี้!
สามารถทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง บรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ในเวลาเพียงแค่ 2 ปี! ก้าวผ่านขอบเขตอริยะเซียนไปทั้งขอบเขต!!
อย่างไรก็ตามจ้าวเติงคงไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าบุตรชายของมันกำลังหลอกลวงมันอยู่!
ซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์เอย มรดกตกทอดของสัตว์มารดึกดำบรรพ์เอย…เหลวไหลทั้งเพ!!
เคล็ดมารกลืนหยินต่างหากที่เป็นของจริง!