WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1824
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1824
ตอนที่ 1,824 : พายุเริ่มตั้งเค้า
‘คนของสกุลจ้าวที่ด่านพลังฝึกปรือตั้งแต่เซียนมนุษย์ขั้นต้นขึ้นไป ไม่อาจก้าวเท้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้เป็นเวลา 3 วัน..นี่มัน’
วาจาของกู่ลี่ หวางเฟยเซวียนย่อมไม่คิดสงสัย อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นถึงบุตรชายของอาวุโสผู้พิทักษ์ ย่อมสามารถร้องขอให้อาวุโสและรองจ้าวตำหนักบางคนทำอะไรแบบนั้นได้อยู่แล้ว
ทว่าที่นางจำต้องประหลาดใจก็คือ ความหมายในวาจาที่กู่ลี่กล่าวรับรองกับต้วนหลิงเทียนต่างหาก…
เพราะที่กู่ลี่กล่าวมา มันบอกนางได้ชัดเจนถึงเรื่องหนึ่ง…
หลิงเทียนไม่กลัวใครใต้เซียนมนุษย์!
“เจ้า…เจ้าทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว?!”
หวางเฟยเซวียนกล่าวถามต้วนหลิงเทียนด้วยความประหลาดใจ
เหตุผลที่นางกล่าวถามเช่นนี้ เพราะนางรู้แล้วว่าปราณแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียนมันผิดแปลก ด้วยพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดของต้วนหลิงเทียนก็เทียบได้กับอริยะเซียนขั้นสูงสุด!
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ไฉนเร็วขนาดนี้เล่า?!”
หวางเฟยเซวียนแตกตื่นแทบตายแล้ว!
ต้องทราบด้วยว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นกลางเหมือนนาง…
ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนทะลวงผ่านไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว…แต่นางพึ่งเห็นประตูของเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเอง…ด่านพลังฝึกปรือของนางยังย่ำต๊อกอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางอยู่เลย!
ไม่เทียบก็แล้วไปพอยกมาเทียบก็หาเรื่องให้ปวดใจนัก!
เรียกว่าประโยคนี้เหมาะอธิบายความรู้สึกหวางเฟยเซวียนได้เป็นอย่างดี
‘เร็ว?’
ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำหวางเฟยเซวียน ในใจก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา
แม้โลกภายนอกจะผ่านไปแค่ 2 ปี ทว่าภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติชั้น 3 เขาได้ใช้เวลาบ่มเพาะไปราวๆ 7-8 ปีแล้ว!
ใช้เวลาไป 7-8 ปี แต่ยกระดับพลังฝึกปรือจากเซียนขัดเกลาขั้นกลางไปยังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วถือว่าเป็นอะไรที่ช้ามาก!
หากแต่นี่ไม่ใช่เพราะพรสวรรค์เขามันต่ำเตี้ยเรี่ยดินอะไร เพราะถ้าเขาบ่มเพาะพลังไปตามปกติป่านนี้เขาทะลวงถึงอริยะเซียนไปนานแล้ว
เหตุผลที่เขายังไม่ทะลวงด่านพลัง เพราะผู้เฒ่าหั่วให้เขาระงับพลังฝึกปรือเอาไว้ก่อน
จากที่ผู้เฒ่าหั่วบอก เขาไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนทะลวงไปยังขอบเขตอริยะเซียน
เพราะที่ด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดนี้ เขาสามารถดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินทั้งหมดที่ได้รับและเปลี่ยนมันให้เป็นปราณสุริยันแรกกำเนิด เพื่อนำไปขัดเกลาต้นแบบเวทย์พลังปีกอีกาทองคำในร่างเขาได้!!
หลังจากใช้พลังหล่อเลี้ยงขัดเกลาไปถึงจุดหนึ่ง มันจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ รูปแบบที่ 2!
และคราวนี้หลังจากที่เขาทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียนล่ะก็ ยามเมื่อใช้ออกด้วยเวทย์พลังปีกอีกาทองคำ..รูปแบบที่ 2 นั้นจะให้ความเร็วเหนือล้ำกว่ารูปแบบที่ 1 มากนัก!
และช่วงเวลาที่เหมาะสมและดีที่สุดในการยกระดับพัฒนาปีกอีกาทองคำจากรูปแบบแรกให้กลายเป็นรูปแบบที่ 2 ก็คือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด! แน่นอนว่านี่สำหรับเขาคนเดียวเท่านั้น หากเป็นคนอื่นก็ต้องอริยะเซียนขั้นสูงสุด!!
สาเหตุเป็นเพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดของเขา มันจะเป็นอะไรที่อ่อนโยนสำหรับขัดเกลาปีกอีกาทองคำให้ยกระดับเป็นรูปแบบที่ 2…
หากเป็นขอบเขตอริยะเซียนแล้ว ปราณแรกกำเนิดของเขาจะมีพลังอำนาจมากกว่าเดิม! จริงอยู่ที่ปราณในระดับนั้นจะสามารถขัดเกลาปีกอีกาทองคำได้ง่ายดายเพราพลังอำนาจที่รุนแรงขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่มันจะทำให้ต้นแบบปีกอีกาทองคำพังทลายได้เช่นกัน!
ส่วนปราณสุริยันแรกกำเนิดขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดของเขา แม้จะอ่อนโยนจนทำให้ขัดเกลาได้ช้าหน่อยแต่มีความปลอดภัยสูงมาก! จึงรับประกันได้ว่าจะทำสำเร็จได้แน่ๆ ต่อให้กระทำเช่นนี้เสมือนพยายามมากกว่าเดิมเป็น 2 เท่าแต่ได้รับผลลัพธ์ครึ่งเดียวก็ตาม…
ได้ฟังคำอธิบายของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดสงสัยแคลงใจ
เช่นนั้นยามเมื่อเขามาถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด และเจียนบรรลุด่านพลัง เขาก็ได้ระงับการทะลวงผ่า และเลือกจะใช้พลังทั้งหมดที่เพิ่มพูนขึ้นไปกับการขัดเกลาต้นแบบปีกอีกาทองคำรูปแบบแรก
แน่นอนว่าด้วยความที่ปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาตอนนี้เทียบได้กับอริยะเซียนขั้นสูงสุด เขาก็มีความสามารถป้องกันตัวในระดับหนึ่ง จึงไม่ต้องรีบร้อนทะลวงด่าน และเลือกจะขัดเกลาปีกอีกาทองคำรูปแบบที่ 2 แทน!
กล่าวให้เข้าใจง่ายๆต้วนหลิงเทียนไม่รีบร้อนบุกฝ่าแต่คิดวางรากฐานให้แน่นหนามั่นคง! คราวนี้เมื่อเข้าก้าวหน้า พลังรบโดยรวมก็จะกลายเป็นสูงขึ้น!!
‘จากที่ผู้เฒ่าหั่วบอก…ทันทีที่ข้าทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้น และใช้ปีกอีกาทองคำรูปแบบที่ 2 มันจะมอบความเร็วที่ทัดเทียมได้กับเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญให้ข้า!’
พอคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
ต้องทราบด้วยว่าหากเขาทะลวงด่านพลังไปตามปกติ ยามบรรลุอริยะเซียนขั้นต้น พลังของเขาก็เพียงทัดเทียมได้กับเซียนมนุษย์ขั้นต้นเท่านั้น…
หากไร้ซึ่งความช่วยเหลือจากภายนอกอื่นใด ใช้แค่ปราณสุริยันแรกกำเนิด…อย่างดีเขาก็ทำได้แค่สยบยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้น
ทว่าหากเขาใช้ออกด้วยปีกอีกาทองคำรูปแบบที่ 2 ล่ะก็…ความเร็วเขาจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญทันที! นี่หมายความว่าต่อให้เซียนมนุษย์ขั้นกลางที่ร้ายกาจที่สุดคิดฆ่าเขา มันก็ไม่อาจสัมผัสได้แม้แต่ชายเสื้อของเขา!!
‘ตอนนี้ปีกอีกาทองคำขัดเกลามาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว…ขาดอีกแค่เล็กน้อยมันก็จะพัฒนาไปเป็นรูปแบบที่ 2 ถึงตอนนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องระงับด่านพลังฝึกปรืออะไรอีก สามารถทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้นได้ทันที!’
ความฮึกเหิมที่พุ่งขึ้นมาดับลงไปไม่ทันไร กลับพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง
ปีกอีกาทองคำเป็นเวทย์พลังที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดทั้งเพาะสร้างให้เขา เขาจึงไม่ต้องใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจอะไรมันมากมาย และผู้เฒ่าหั่วก็ได้มอบองค์ความรู้ที่จำเป็นแก่เขาหมดสิ้น สิ่งที่เขาต้องทำก็มีแค่ขัดเกลาเปลี่ยนให้มันกลายเป็นรูปแบบต่างๆ
แน่นอนว่าในที่นี้มันแตกต่างจากการเพาะสร้างมากนัก ไม่ได้ลำบากเหมือนคนอื่นที่คิดเพาะสร้างเวทย์พลังไว้ใช้งานแม้แต่น้อย
และยังเป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะให้ความคาดหวังกับปีกอีกาทองคำไว้สูง…เพราะผู้เฒ่าหั่วเป็นใครเล่า?
“นี่…เจ้ามั่นใจนะว่าใต้เซียนมนุษย์เจ้าไม่แพ้ใครแน่ๆ?”
หวางเฟยเซวียนยังคงเป็นกังวลไม่หาย
“ข้ามั่นใจ!”
ต้วนหลิงเทียนตอบกลับอย่างมาดมั่น
ตอนนี้ปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างเขา มันไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าปราณแรกกำเนิดของอริยะเซียนขั้นสูงสุดแม้แต่น้อย นอกจากนั้นร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งกว่าผู้คนปกติหลายขุม แถมด้วยความสามารถอื่นๆ จึงทำให้เขาไม่กลัวใครใต้เซียนมนุษย์เลย!
แน่นอนว่าถ้าเขาชักกระบี่นิลสวรรค์อันเป็นยอดสมบัติสวรรรค์ออกมาใช้ กระทั่งเซียนมนุษย์ทั่วไปยังจำต้องตกตายอย่างไร้หนทางต่อต้านด้วยซ้ำ…!
“เอาล่ะ ส่งกันพันลี้อย่างไรก็ต้องจาก…”
หลังจากกล่าวจบร่างต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเหินจากไป ภายใต้สายตามองส่งของหวางเฟยเซวียนกับกู่ลี่
จนเมื่อแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนหายลับไปในขอบฟ้า ทั้งคู่ก็ค่อยละสายตาและเตรียมตัวกลับ
“ศิษย์พี่กู่ลี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาจักไปหาครอบครัวที่ใด?”
หวางเฟยเซวียนหันไปมองถามกู่ลี่
นางรู้แค่ว่าต้วนหลิงเทียนจะเดินทางกลับไปหาครอบครัวเท่านั้น แต่นอกจากนั้นนางก็ไม่รู้อะไรแล้ว
นางไม่เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลิงเทียนที่นางรู้จักคือต้วนหลิงเทียน นางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าครอบครัวของต้วนหลิงเทียนอยู่ที่ตำหนักเมฆาคราม กระทั่งต้วนหลิงเทียนก็คือ จ้าวตำหนักน้อย…บุตรชายของจ้าวตำหนักเมฆาครามต้วนหรูเฟิง!
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน…”
กู่ลี่ได้แต่ส่ายหัวตอบกลับ หากไม่ได้รับอนุญาตจากต้วนหลิงเทียนให้ตายมันก็ไม่คิดปริปากเผยข้อมูลใดๆเกี่ยวกับน้องหลิงเทียนของมันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะตัวตนหรือพื้นหลังอะไรก็แล้วแต่
หลังจากที่ทั้งคู่แยกกันกู่ลี่ก็กลับไปตำหนักหลัก ส่วนหวางเฟยเซวียนกลับไปวังนภา
เมื่อทั้ง 2 กลับมาแล้ว บรรดาอาวุโสและศิษย์สกุลจ้าว ก็เตรียมพร้อมลงมือ
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะพยายามเพียงใด สุดท้ายคนของสกุลจ้าวก็พบว่าไม่อาจเล็ดรอดออกไปจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้เลยเพราะมีคนขวางพวกมันเอาไว้ทุกทาง!
“กงซิ่วไฉนเจ้าถึงมาขวางทางข้า?”
อาวุโสของสกุลจ้าวคนหนึ่งที่มีพลังฝึกปรือเหนือเซียนมนุษย์ขั้นต้นแม้มันคิดว่ามันหาช่องโหว่ดีแล้ว แต่ทว่ามันกลับถูกอาวุโสคนหนึ่งของตำหนักฟ้าลี้ลับหยุดขวางเอาไว้…
“จ้าวเหว่ยข้าได้รับมอบหมายมา…3 วันหลังจากนี้เจ้ามิอาจก้าวเท้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้แม้แต่ครึ่งก้าว…หากเจ้าคิดไป ก็เอาชนะข้าให้ได้ก่อนเถอะ!”
เผชิญหน้ากับจ้าวเหว่ย กงซิ่วเพียงกล่าวตอบไปอย่างไร้แยแส
กงซิ่วแม้จะไม่ใช่คนของกู่ซืออวิ๋น แต่ยามมันยังเยาว์มันได้รับความเมตตาจากกู่ซืออวิ๋นไม่น้อย จึงทำให้มันสำนึกบุญคุณของกู่ซืออวิ๋นมาโดยตลอด
เช่นนั้นเมื่อกู่ลี่ บุตรชายของกู่ซืออวิ๋นมาขอแรงให้ช่วย มันย่อมยินดีลงมือเคลื่อนไหวเป็นธรรมดา!
“เจ้า!”
หน้าจ้าวเหว่ยมืดดำลงทันใด เพราะมันรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกงซิ่ว
ขณะเดียวกันฉากเรื่องราวคล้ายกันนี้ก็เกิดขึ้นไปทั่ว…
อนิจจาไม่ว่าจะเป็นอาวุโสที่ร้ายกาจแค่ไหนของสกุลจ้าว ก็ถูกคนขวางทางเอาไว้ทั้งสิ้น
“รองจ้าวตำหนักจ้าว…”
กระทั่งชนชั้นรองจ้าวตำหนักอย่างจ้าวเติงก็ยังถูกขวาง!
และผู้ที่ขวางมันเอาไว้ก็คือ จ้าววังเหลือง เฉินผิงเชิง!
“จ้าววังเฉิน กู่ลี่สามารถออกคำสั่งกับท่านได้ด้วยงั้นหรือ?”
สีหน้าจ้าวเติงซึมลงทันใด เมื่อถูกขวางเอาไว้แบบนี้
เพราะมันไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าคนที่ขวางมันจะเป็นจ้าววังเหลือง!
ต้องทราบด้วยว่าในบรรดาจ้าววังทั้ง 4 ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ล้วนเป็นผู้ที่ไม่ได้ฝักฝ่ายสกุลจ้าวหรือกู่ซืออวิ๋น!
“ข้าเคยติดค้างผู้พิทักษ์กู่…”
วาจาตอบคำของเฉินผิงเชิงง่ายดายนัก “รองจ้าวตำหนักจ้าวไม่ใช่ว่าข้าอยากมีเรื่องกับท่าน…แต่ 3 วันหลังจากนี้ท่านไม่อาจไปไหนได้ หากคิดไปข้าจะหยุดท่าน!”
“เฮอะ!”
จ้าวเติงร้องออกมาอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะเหินร่างย้อนกลับไปที่บ้านทันที มันรู้ดีว่าลองมีจ้าววังเหลืองประกบ คงยากจะออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้แล้ว
‘กู่ลี่หนอกู่ลี่…เจ้าคงไม่คิดไม่ฝันเลยสินะ ว่าจี้เอ๋อของข้าจะบรรลุถึงเซียนมนุษย์แล้ว!’
เมื่อกลับมาถึงบ้าน มุมปากจ้าวเติงยกยิ้มแสยะขึ้นมาอย่างชั่วร้าย มันรู้สึกว่ากู่ลี่ช่างไร้เดียงสาเกินไป ที่คิดว่ากางกั้นข่ายฟ้าแหสวรรค์ดักเซียนมนุษย์ของสกุลจ้าวไว้ทั่วแล้ว และคิดว่าสกุลจ้าวไร้เซียนมนุษย์คนใดที่ลงมือได้!
ผู้ใดจะไปรู้ว่า สกุลจ้าวกลับมีตัวแปรเหนือคาด ที่บรรลุเซียนมนุษย์อยู่อีกคน!
“ป่านนี้..จี้เอ๋อคงไล่ตามหลิงเทียนไปทันแล้วสินะ?”
พอคิดถึงเรื่องนี้ลูกตาจ้าวเติงพลันฉายแววอำมหิตขึ้นมาทันที “หลิงเทียน…คืนวันอันดีของเจ้าสิ้นสุดลงแล้ว!”
ดั่งที่จ้าวเติงคิด กู่ลี่ไม่เคยคิดกระทั่งหลับก็ไม่เคยฝันถึง! ว่าจ้าวจี้จะทะลวงผ่านถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ในเวลาแค่ 2 ปี!!
หากมันรู้มันจะจับตาดูจ้าวจี้เอาไว้ทุกฝีก้าว!!
เป็นธรรมดาที่เมื่อไม่มีใครรู้ว่าพลังฝึกปรือของจ้าวจี้บรรลุขอบเขตไหน ทั้งหมดก็คิดว่าจ้าวจี้สมควรยังอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาสักขั้น มันจะไปที่ใดก็เลยไม่มีใครคิดขวาง…
แต่ก่อนหน้านี้ก็มีศิษย์สกุลจ้าวมากมายที่มีชื่อในรายนามฟ้าลี้ลับ เดินทางออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปด้วยมั่นใจว่าสามารถจัดการต้วนหลิงเทียนได้! แน่นอนว่าพวกมันล้วนมีพลังฝึกปรือเหนืออริยะเซียนขั้นกลางทั้งสิ้น!!
เพราะเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้วต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่าจ้าวคุนที่พึ่งบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นต้น เปิดเผยพลังฝีมือขอบเขตอริยะเซียนขั้นกลางออกมา ทำให้ไม่มีใครที่ด่านพลังฝึกปรือต่ำกว่าอริยะเซียนขั้นกลางคิดหาเรื่องใส่ตัวโดยการไล่ตามต้วนหลิงเทียนไป
ล้อกันเล่นหรือไร!
อัจฉิระยะเช่นนั้น พวกมันที่พลังฝึกปรือต่ำกว่าอริยะเซียนขั้นกลางจะไล่ตามไปทำเพื่อ?
ส่วนในบรรดากลุ่มคนที่ไล่ตามต้วนหลิงเทียนไปนั้นก็มีจ้าวตงรวมอยู่ด้วย และจ้าวตงผู้นี้รั้งอยู่อันดับ 5 ในรายนามฟ้าลี้ลับ!
มันก็คือคนที่ถูกกู่ลี่สั่งสอนไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แถวบ้านพักของต้วนหลิงเทียน!
และจ้าวตงผู้นี้ไม่กี่ปีก่อนก็บรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุดแล้ว! พลังฝีมือของมันก็นับว่าไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม!!