WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1831
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1831
ตอนที่ 1,831 : กู่ซืออวิ๋นตะลึงงัน
จ้าวเติงออกค้นหาเป็นเวลาหลายวัน หากแต่มันก็ไม่พบเบาะแสหรือร่องรอยใดๆ ของต้วนหลิงเทียนเลย
สุดท้ายมันก็ไร้หนทางเลือกอื่นนอกจากกลับ…
‘หวังว่าท่านพ่อจะไม่รีบร้อนกลับมา…หาไม่แล้วข้ามิรู้จะบอกท่านอย่างไรจริงๆ! ความรักที่ท่านพ่อมีให้จี้เอ๋อถึงจุดที่หากรู้ว่าจี้เอ๋อตายตก ท่านพ่อคงไม่อาจทนรับได้ไหวแน่นอน!’
ระหว่างเดินทางกลับ จ้าวเติงก็ลอบอธิษฐานในใจ
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่ามันทำได้แค่ฝัน เพราะเมื่อมันกลับมาถึงก็พบว่าบิดากลับมาแล้ว
“ข้าได้ยินว่าจี้เอ๋อกลับมาแล้ว แล้วหลานข้าอยู่ที่ใดเล่า?”
นี่เป็นวาจาประโยคแรกที่จ้าวจินเอ่ยทักหลังเห็นจ้าวเติง
ตุบ!
ได้ยินคำถามนี้ของจ้าวจิน จ้าวเติงทิ้งตัวคุกเข่าลงตรงหน้าทันใด ยังก้มหน้าก้มตาลงไปกล่าวออกเสียงอ่อน “ท่านพ่อ…จี้เอ๋อ…จี้เอ๋อตายแล้ว!”
เปรี๊ยง!
คำพูดจ้าวเติงยามดังในหูจ้าวจิน ประหนึ่งอัสนียามแล้งไร้การตั้งเค้าใดๆ พาลให้ลูกตาจ้าวจินหดหยีลง ใบหน้ายังเปลี่ยนไปร้ายแรง
มันถลึงตามองจ้าวเติงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงดุร้าย “นี่มันเกิดอันใดขึ้น! ข้าพึ่งออกไปมินานไฉนเกิดเรื่องขึ้นได้!?”
“ท่านพ่อ…เรื่องเป็นเช่นนี้…”
หลังจากนั้นจ้าวเติงก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้จ้าวจินฟัง
ในบรรดาเรื่องเล่า มีเรื่องที่จ้าวจี้ได้พบซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์กระทั่งได้รับสืบทอดมรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์รวมอยู่ด้วย…
พอได้รับรู้ว่าหลานชายตัวเองสามารถบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ โดยที่อายุพึ่งจะ 40 ปี จ้าวจินก็สมควรมีความสุขนัก…
อนิจจามันไม่อาจยินดี กระทั่งยังไร้ซึ่งโอกาสยินดี เนื่องเพราะหลานชายของมันตกตายไปแล้ว กระทั่งยังตกตายเพราะถูกทำลายวิญญาณ คนฆ่าไม่พ้นต้องเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญอำนาจจิต!
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จ้าวเติงก็นำร่างของจ้าวจี้ออกมาเรียบร้อยแล้ว
“จี้เอ๋อ….”
เห็นร่างจ้าวจี้ทอดกายนอนอยู่บนพื้นอย่างสงบ น้ำตาจ้าวจินก็หลั่งไหลออกมาเป็นสาย มันค่อยๆเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแตะใบหน้าจ้าวจี้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่แววตาจะแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิตกล่าวออกเสียงเย็นเยียบเสียดกระดูกว่า “เช่นนั้นหมายความว่าหลิงเทียนเป็นเหตุให้จี้เอ๋อตกตายทางอ้อม?”
“ใช่”
จ้าวเติงพยักหน้าค่อยกล่าวออกด้วยโทสะ “หากไม่ใช่เพราะหลิงเทียนมันออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ จี้เอ๋อยังจะไล่ตามมันไปทำอะไร? หากจี้เอ๋อไม่ไล่ตามมันไป ไหนเลยต้องมาตกตายแบบนี้! นี่คือเหตุผลที่หลิงเทียนทำให้จี้เอ๋อตกตายทางอ้อม!”
“หรือว่า…สารเลวน้อยกู่ลี่มันเป็นคนส่งยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญอำนาจจิตไปลอบคุ้มครองหลิงเทียน…เช่นนั้นพอจี้เอ๋อคิดลงมือ จึงถูกยอดฝีมือนั่นใช้อำนาจจิตทำลายวิญญาณ?”
จ้าวจินคาดการณ์ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“อาจเป็นได้!”
หากไม่ใช่เพราะจ้าวจินกล่าวแนะ เกรงว่าจ้าวเติงคงไม่ทันคิด
“ไป! ตามข้าไปหาสารเลวน้อยกู่ลี่!!”
จ้าวจินพลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุร้าย ก่อนที่จะนำจ้าวเติงไปหากู่ลี่
กู่ลี่ได้อาศัยสายสัมพันธ์ของกู่ซืออวิ๋น กักบริเวณของคนสกุลจ้าวที่มีพลังฝึกปรือตั้งแต่เซียนมนุษย์ขั้นต้นขึ้นไปเอาไว้
ด้วยวิธีนี้จึงทำให้กู่ลี่สามารถปกป้องหลิงเทียนได้ และไม่ถือว่าทำผิดอะไรกับสกุลจ้าวมากมาย เพราะมันเพียงแค่ปกป้องสหายเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหากกู่ลี่ส่งคนไปลอบคุ้มครองหลิงเทียน และคนผู้นั้นลงมือสังหารจ้าวจี้ล่ะก็…
เช่นนั้นเรื่องราวก็จะแตกต่างออกไปแล้ว!
อย่างไรก็ตาม เมื่อ 2 พ่อลูกสกุลจ้าวมาถึงคฤหาสน์ของกู่ซืออวิ๋นเพื่อหาความ กู่ลี่ที่ยืนข้างกู่ซืออวิ๋นก็ปฏิเสธเสียงแข็ง “ข้าแค่อาศัยสายสัมพันธ์ของท่านพ่อหยุดคนสกุลจ้าวขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นขึ้นไปไม่ให้ออกไปไหนเท่านั้น ข้าไม่ได้ไหว้วานยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญอำนาจจิตอะไรนั่นสักคน…ยามน้องหลิงเทียนออกไป เขาออกไปคนเดียว!”
“หากพวกเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นข้าก็ยินดีเอ่ยคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า!”
เมื่อกู่ลี่กล่าวคำสาบานออกมา แล้วทัณฑ์ฟ้าเพียงตอบรับไม่ได้พิฆาตคน จ้าวจินกับจ้าวเติงก็รู้ได้ทันทีว่าพวกมันคาดผิด…
กู่ลี่ไม่ได้ส่งคนไปคุ้มครองหลิงเทียน
เช่นนั้นผู้ใดฆ่าจี้เอ๋อของพวกมัน?
หลังจากที่พ่อลูกสกุลจ้าวกลับไป กู่ซืออวิ๋นอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ข้าไม่คิดเลยว่าจาวจี้สุดท้ายจะตายเยี่ยงสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง…อย่างไรเสียมันก็แค่เซียนขัดเกลา แล้วมันจะออกไปทำอะไร? มันคิดหรือว่าจะทำอันใดเสี่ยวเทียนได้?”
“เฮอะ! อาศัยพลังฝึกปรืออ่อนด้อยของมัน กล้าตามน้องหลิงเทียนไปก็รนหาที่ตายเอง!!”
กู่ลี่แค่นคำเย้ยเยาะ “ในความคิดข้ากว่า 9 ส่วน จ้าวจี้ สมควรถูกน้องหลิงเทียนฆ่า!”
“ข้าว่าครั้งนี้ผู้ลงมือมิน่าใช่เสี่ยวเทียน…เพราะพวกมันกล่าวบอกชัดว่าจ้าวจี้ตกตายเพราะถูกทำลายวิญญาณ มีเพียงยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญสำนึกเทวะถึงกระทำเช่นนั้นได้…และเท่าที่ข้ารู้เสี่ยวเทียนมิได้มีความสามารถนี้!”
กู่ซืออวิ๋นส่ายหัวกล่าวออก มันคิดต่าง
“ไม่ว่าจะอย่างไรแต่จ้าวจี้นั่นมันตายก็สมควรแล้ว! มันตายไปตำหนักฟ้าลี้ลับเราก็ลดเภทภัยที่อาจเกิดจากความถือดีของมันได้หลายส่วน!”
กู่ลี่กล่าวออกเสียงเบา หากแต่สีหน้าท่าทางไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความเห็นใจจ้าวจี้
“ลี่เอ๋อคำพูดพวกนี้เจ้ากล่าวได้เพียงแต่ในบ้าน หากเล็ดลอดออกไปจ้าวเติงกับจ้าวจินมันไม่เลิกราแน่! สำหรับพวกมันแล้วจ้าวจี้ก็เสมือนแก้วตาดวงใจ…ตอนนี้ต่อให้จ้าวเติงคิดมีบุตรอีกสักคน แต่กว่าจะเติบโตได้อย่างจ้าวจี้ต้องใช้เวลานับสิบๆปี…”
จ้าวจินกับจ้าวเติงรู้สึกอย่างไร กู่วืออวิ๋นเข้าใจพวกมันได้เป็นอย่างดี
หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับกู่ลี่ล่ะก็ มันเองก็ไม่พ้นต้องเป็นอย่างจ้าวจินและจ้าวเติง ไม่เพียงเท่านั้นมันอาจกระทั่งหนักหนาสาหัสกว่า อาจถึงขั้นคุ้มคลั่งเสียสติไปเลยก็เป็นได้
“ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ”
กู่ลี่ที่รู้ว่ากู่ซืออวิ๋นกล่าวออกมาแบบนี้เพราะหวังดีต่อตัว ก็รีบรับคำอย่างเชื่อฟัง
“ลี่เอ๋อ ว่าแต่เสี่ยวเทียนไปที่ใดกัน ข้าคิดว่าเสี่ยวเทียนจะเดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนพร้อมเจ้าทันทีเลยเสียอีกหลังจากเจ้าทะลวงถึงเซียนมนุษย์แล้ว อย่าได้บอกข้าว่าเสี่ยวเทียนไม่สนใจเจ้าแล้วขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนคนเดียว?”
กู่ซืออวิ๋นกล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้
ตอนนี้ทั้งจ้าวจินและจ้าวเติงก็จากไปแล้ว กู่ลี่จึงสามารถเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้บิดามันฟังได้
อย่างไรก็ตามมันไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนออกมาโต้งๆ เลือกที่จะเกริ่นนำออกมาก่อน “ท่านพ่อ น้องหลิงเทียน ที่จริงแล้วเขามิได้แซ่หลิง…”
“อ้าว? มิใช่เขาเรียกว่า หลิงเทียน หรอกหรือ?”
กู่ซืออวิ๋นงุนงง
“หลิงเทียนเป็นเพียงนามของน้องหลิงเทียนเฉยๆ…ส่วนแซ่ของน้องหลิงเทียน ท่านพ่อรู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วน้องหลิงเทียนแซ่อันใด?”
ขณะกล่าวถามกู่ลี่จงใจลากเสียงให้แลดูลึกลับ
“เพ้ย โลกนี้กว้างใหญ่สุดไพศาล แซ่ผู้คนมีมากมายดั่งดาราบนฟ้า…ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยวเทียนใช้แซ่ใด?”
กู่ซืออวิ๋นโพล่งคำออกมาด้วยความหงุดหงิด “เอาล่ะ! ในน้ำเต้าเจ้าขายยาอันใดรีบกล่าว! แค่บอกข้ามาว่าเสี่ยวเทียนใช้แซ่ใด!”
“เขาใช้แซ่เดียวกับจ้าวตำหนักเมฆาคราม…”
กู่ลี่หัวเราะ
“แซ่เดียวกับจ้าวตำหนักเมฆาคราม? ต้วนหรูเฟิง? แซ่ของเสี่ยวเทียนคือต้วนหรือ?”
กู่ซืออวิ๋นประหลาดใจเล็กน้อย “เช่นนั้นนามเต็มของเสี่ยวเทียนไม่ใช่หลิงเทียนแต่เป็นต้วนหลิงเทียน…ช้าก่อน! ต้วนหลิงเทียน…ต้วนหลิงเทียน…ข้าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ใดกันนะ ข้าจำไม่ได้แล้ว”
“ตราผนึกมาร”
กู่ลี่กล่าวแนะออกมาในเวลาอันสมควร
ตราผนึกมาร!
ได้ยินคำแนะของกู่ลี่ เสมือนเมฆหมอกรอบกายกู่ซืออวิ๋นได้อันตรธานหายไป กลายเป็นกระจ่างสดใสเริงร่าขึ้นมาทันที “โอ้! ข้าจำได้แล้ว…ชายหนุ่มที่โชคดีคนนั้นเรียกว่าต้วนหลิงเทียน! ข้าไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเทียนจะมีชื่อเดียวกัน ต้วนหลิงเทียน!”
“นามต้วนหลิงเทียนนับว่า…ยิ่งใหญ่ไม่น้อย! หายากนักที่จะมีผู้ใดหาญตั้ง!”
กู่ซืออวิ๋นหัวเราะ
เหตุผลที่มันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนที่มันรู้จัก คือต้วนหลิงเทียนในข่าวลือ เพราะมันมั่นใจว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ปลอมแปลงรูปโฉม และมันก็เคยเห็นใบหน้าต้วนหลิงเทียนในข่าวลือมาก่อนแล้ว
ถึงแม้ทั้งคู่จะแลดูหล่อเหลาหน้าตาดี แตก็ยังมีความต่างอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านพ่อ น้องหลิงเทียนเป็นคนถือครองตราผนึกมาร…”
เห็นชัดว่ากู่ซืออวิ๋นไม่ได้คิดโยง 2 คนเข้าด้วยกันเลย กู่ลี่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ทำได้แค่กล่าวาบอกออกมาอีกครั้ง
“ว่าอะไร!?”
กู่ซืออวิ๋นที่ได้ยินคำของกู่ลี่ก็ตะลึงไปไม่น้อย ก่อนที่จะส่ายหัวไปมา “เป็นไปไม่ได้! ภาพเหมือนต้วนหลิงเทียนคนนั้นข้าเห็นมากับตา มิได้คล้ายเสี่ยวเทียนเราสักนิด…และข้ามั่นใจว่าเสี่ยวเทียนมิได้ปลอมแปลงรูปโฉม เว้นแต่ภาพต้วนหลิงเทียนคนนั้นจะเป็นภาพที่วาดจากใบหน้าปลอม หาไม่แล้วเสี่ยวเทียนมิมีทางเป็นคนๆนั้นได้!”
กู่ลี่ระบายลมหายใจออกมาอย่างจนปัญญา ดูท่าถ้าไม่อธิบายบิดาคงไม่มีทางเข้าใจ “ท่านพ่อ เรื่องมันมีอยู่ว่า…”
สำหรับเรื่องที่มันจะบอกกับกู่ซืออวิ๋นนั้น กู่ลี่ได้ปรึกษากับต้วนหลิงเทียนมาก่อนแล้ว และต้วนหลิงเทียนก็เป็นคนอนุญาตให้กล่าวเล่าได้ ถ้าบอกแค่กู่ซืออวิ๋นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
หลังจากที่ฟังกู่ลี่อธิบายเรื่องราวทั้งหมด กู่ซืออวิ๋นก็ตกตะลึงอึ้งไปอยู่นาน
อัจฉริยะที่ร้ายกาจปานปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นที่เขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ลี่เฟิง ไม่ใช่ศิษย์พี่ของต้วนหลิงเทียน หากแต่เป็นตัวต้วนหลิงเทียนเอง!
สำหรับต้วนหลิงเทียนในรูปโฉมหลิงเทียนนั้น ก็ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริง!
รูปลักษณ์ที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนก็คือใบหน้าที่อยู่ในภาพเหมือน ที่เคยแพร่กระจายออกมาในอดีต!
กู่ซืออวิ๋นไม่เพียงแต่เคยเห็น อันที่จริงมันยังมีรูปเหมือนใบนึงอยู่กับตัวด้วยซ้ำ!
“เฮ่อ…”
หลังจากกางรูปเหมือนที่ม้วนเก็บไว้นานปีออกมาชมดู กู่ซืออวิ๋นก็ถอนหายใจออกมา “ที่แท้นี่คือใบหน้าที่แท้จริงของเสี่ยวเทียน! อย่างไรก็ตามโชควาสนาของเสี่ยวเทียนนั้นช่างยอดเยี่ยมยิ่ง ถึงกับได้ถือครอง 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนอย่าง ตราผนึกมาร! ตราผนึกมารนั่น..ถือเป็นยอดศาสตราเซียนที่มีพลังอำนาจดั่งฝันร้ายของผู้ฝึกมารทั่วหล้า!”
“ลี่เอ๋อ..”
ทันใดนั้นสีหน้าของกู่วืออวิ๋นกลายเป็นจริงจังเคร่งเครียด สองตามองจ้องกู่ลี่อย่างหนักแน่น “ตัวตนที่แท้จริงของเสี่ยวเทียนเจ้ามิอาจแพร่งพรายออกไปได้เด็ดขาด…หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เสี่ยวเทียนต้องตกเป็นเป้าของผู้ชนแน่ ไม่เพียงแต่จะแค่สกุลจ้าว กระทั่งยอดฝีมือทั่วภูมิภาคเบื้องล่าง ไม่สิ กระทั่งภูมิภาคเบื้องบนต้องเคลื่อนไหวแน่!”
ความเย้ายวนใจของตราผนึกมารมันมากมายแค่ไหน กู่ซืออวิ๋นรู้ดี
หากมันไม่เห็นต้วนหลิงเทียนเป็นเหมือนคนในครอบครัว มันเองก็คงฆ่าคนชิงของเช่นกัน!
เพราะความล่อลวงเย้ายวนใจของตราผนึกมารมันมหาศาลเกินไป!
“ข้ารู้แล้วท่านพ่อ…”
กู่ลี่พยักหน้า “ที่ข้าเอาเรื่องนี้มาบอกกับท่าน เพราะข้าหารือกับน้องหลิงเทียนเรียบร้อยแล้ว…สำหรับคนอื่นให้ตายข้าก็ไม่มีวันพูดออกไปแน่ ถ้าน้องหลิงเทียนไม่ยินยอม!”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว…”
กู่ซืออวิ๋นพยักหน้าลงอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะขมวดคิ้วกล่าวถามออกมาอีกครั้ง “ว่าแต่นี่เจ้ายังมิได้บอกข้าเลย…ว่าไฉนเสี่ยวเทียนถึงได้ออกไปโดยไม่รอเจ้า ใช่เสี่ยวเทียนไปภูมิภาคเบื้องบนคนเดียวหรือไม่?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นท่านพ่อ”
กู่ลี่ส่ายหัว “น้องหลิงเทียนไปตำหนักเมฆาคราม ส่วนข้าก็อยู่รอเพื่อบอกลาท่าน…อีกไม่กี่วันข้าเองก็จะไปหาน้องหลิงเทียนที่ตำหนักเมฆาครามเช่นกัน หลังจากนั้นพวกเราจะไปภูมิภาคเบื้องบนด้วยกัน”
“ตำหนักเมฆาคราม? เสี่ยวเทียนไปทำอันใดที่ตำหนักเมฆาครามกัน?”
กู่ซืออวิ๋นขมวดคิ้ว “หรือตำหนักเมฆาครามส่งคนมาลอบยื่นข้อเสนอลับให้เสี่ยวเทียนกระทั่งข่มขู่อันใด เสี่ยวเทียนจึงคิดย้ายข้าง…เปลี่ยนไปอยู่ตำหนักเมฆาคราม?”