WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1835
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1835
ตอนที่ 1,835 : พ่อลูกพบหน้า
ตาแก่!?
ได้ยินคำเรียกหาอาวุโสหรงหยวนของต้วนหลิงเทียน องครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 40 คน ถึงกับอึ้ง…
บัดซบ!
ชายหนุ่มผู้นี้หาญกล้าเรียกอาวุโสหรงหยวนที่เคารพของพวกมันว่า ‘ตาแก่’ งั้นเหรอ?!
แถมวาจาที่กล่าวถามยังก้าวร้าวไร้สัมมาคารวะนัก!
เบื่อชีวิตแล้วหรือไร?
ในตำหนักเมฆาครามนั้นทุกผู้คนล้วนรู้กันดีว่าอาวุโสหรงหยวนใจดีมีเมตตา แต่ทว่านี่สำหรับคนในตำหนักเมฆาครามเท่านั้น
ทว่ายามเผชิญหน้ากับศัตรูแล้ว อาวุโสหรงหยวนไม่ต่างอะไรกับ อสุรา! พร้อมเข่นฆ่าสังหารล้างบางผู้คนดั่งยักษ์มาร!!
ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ อาวุโสหรงหยวนล้วนเป็นที่รู้จักกันดีในนาม อสุราหน้ายิ้ม!
“เจ้านั่น…มันได้ตายแน่!”
องครักษ์เกราะทมิฬทุกคนมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวกับมองคนตาย!
“กล่องหยกของเจ้าข้าส่งมอบให้ท่านจ้าวตำหนักไปแล้ว หากเจ้าไม่เชื่อเจ้าก็ตามข้าไปพบท่านจ้าวตำหนักแล้วถามเอาเองเถอะ!”
หรงหยวนยังไม่ปักใจเชื่อว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าคือจ้าวตำหนักน้อย ด้วยเหตุนี้แม้มันจะไม่ขุ่นขึ้งกับวาจาก้าวร้าวของต้วนหลิงเทียน แต่มันก็ไม่ได้เผยทีท่าสุภาพนอบน้อมเพียงเพราะอีกฝ่ายอาจจะเป็นจ้าวตำหนักน้อย…
ต้องยืนยันเรื่องราวให้กระจ่างเสียก่อน!
สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันใดเมื่อได้ยินคำหรงหยวน
ตามไปพบจ้าวตำหนักงั้นเหรอ?
องครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 40 คนถึงกับตะลึงงันไปทันใด!
มิคาดคนที่พวกมันคิดว่าชะตาขาดต้องตายตก ไม่เพียงแต่จะไม่ตกตาย…ยังได้เข้าพบท่านจ้าวตำหนักผู้ยิ่งใหญ่ของพวกมันอีก! เรื่องราวพลิกผันกลับตาลปัตรเกินไปจนพวกมันไม่อาจตั้งตัวรับไว้ได้ทัน!!
จนเมื่อเห็นหรงหยวนนำพาต้วนหลิงเทียนหายไป บรรยากาศเหนือทะเลสาบที่เงียบงัน ค่อยปะทุเดือดขึ้นมาอีกครั้ง
“สวรรค์ช่วย! นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกันแน่!?”
“เจ้าหมอนั่นที่แท้มันเป็นผู้ใดกันแน่ กระทั่งเรียกท่านอาวุโสหรงว่า ‘ตาแก่’ แล้วแท้ๆ แต่อาวุโสหรงไม่เพียงแต่จะไม่โกรธ ยังจะพามันไปหาท่านจ้าวตำหนักอีก…พวกเจ้าเองก็รู้ไม่ใช่รึไรกระทั่งท่านสือฟูฉางของพวกเรายังไม่มีโอกาสได้เข้าพบท่านจ้าวตำหนักด้วยซ้ำ!”
“ชายหนุ่มผู้นั้น หรือจะรู้จักกับท่านจ้าวตำหนักจริงๆ?”
……
เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 3 หมู่ที่พึ่งมาถึงในภายหลัง อดไม่ได้ที่จะระเบิดคำออกมาด้วยความสงสัย
สักพักสายตาของพวกมันก็หันมามองถามบรรดาองครักษ์เกราะทมิฬหมู่ของฟงผิงทั้ง 10 คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทันที
“ฟงผิง ที่แท้นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“นั่นสิ! มิใช่ว่าเจ้าพึ่งส่งสัญญาณระดมพลฉุกเฉินไม่ใช่หรือไร พวกเราก็คิดว่ามีศัตรูร้ายกาจบุกมา แต่ดูเหมือนคนผู้นั้นที่แท้จะเป็นแขกของท่านจ้าวตำหนัก…เจ้าสมควรเตรียมคำอธิบายไว้ให้ดี! หากท่านจ้าวตำหนักเอาเรื่องเอาราวอะไรขึ้นมาและซวยมาถึงข้า…เจ้าอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!!”
“นั่นสิฟงผิง ที่แท้ชายหนุ่มคนนั้นเป็นผู้ใดกันแน่? ไฉนท่านอาวุโสหรงแลดูจะไว้หน้ามันขนาดนั้น?”
สือฟูฉางของหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬหมู่อื่นเร่งถามฟงผิงกันใหญ่ สีหน้ายังเคร่งขรึมจริงจังกันไม่น้อย
จะให้ดูดีได้อย่างไร?
ถึงแม้พวกมันจะยังไม่ทันทำอะไรเป็นการล่วงเกินอีกฝ่าย แต่พวกมันก็ยกพวกมาปิดล้อมคนแล้ว เกิดอีกฝ่ายไม่พอใจคิดเอาเรื่องย้อนหลังจะให้ทำอย่างไรเล่า?!
อีกทั้งฟังจากคำของอาวุโสหรง อีกฝ่ายถึงขั้นสามารถเข้าพบท่านจ้าวตำหนักของพวกมันได้!
ตัวตนเช่นนี้ใช่คนที่พวกมันสามารถล่วงเกินได้หรือ?
อันที่จริงเมื่อเห็นว่าอาวุโสหรงแลดูไว้หน้าคล้ายจะเกรงใจชายหนุ่มคนนั้นไม่น้อย ฟงผิงก็ตะลึงไปแล้ว! นั่นเพราะมันเลือกที่จะลงมือหลังได้รับคำสั่งจากอาวุโสหรง! เพราะจากวาจาของผู้อาวุโสหรง..ชายหนุ่มผู้นี้สมควรเป็นคนโกหก!!
อย่างไรก็ตามจากทีท่าของอาวุโสหรง ตอนนี้คล้ายชายหนุ่มผู้นั้นจะรู้จักกันกับท่านจ้าวตำหนักของพวกมันจริงๆ
“เจ้าแน่ใจใช่ไหม ว่าเจ้ารายงานคำพูดของอาวุโสหรงต่อข้าตามตรง มิได้ปั้นเสริมเติมแต่งอันใด?”
ไม่นานฟงผิงก็หันไปมองถามองครักษ์เกราะดำ ที่มันใช้ให้นำ ‘สิ่งแทนตัว’ ของต้วนหลิงเทียนไปดำเนินเรื่อง
“ท่านสือฟูฉาง ต่อให้ข้ามีความกล้ามากกว่านี้อีกร้อยเท่า ข้าก็ไม่กล้ารายงานเท็จหรอกขอรับ…”
องครักษ์เกราะทมิฬคนนั้นมองฟงผิงด้วยสายตาเสียใจ
หากย้อนเวลากลับไปได้มันจะหาข้ออ้างปฏิเสธหน้าที่นี้เสีย ปล่อยให้ผู้อื่นนำสิ่งของแทนตัวเจ้าปัญหานั่นไปมอบเองเถอะ!
ฟงผิงพยักหน้ารับ มันย่อมเชื่อฟังคำพูดขององครักษ์เกราะดำคนนี้อย่างไม่สงสัย เพราะมันรู้จักผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ดี
ด้วยเหตุนี้ฟงผิงจึงรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญกับคำจี้ถามของเหล่าสือฟูฉาง 3 หมู่ที่รุดมา
อย่างไรก็ตามมันเลือกจะเล่าข้อเท็จจริงทั้งหมดให้ทั้ง 3 คนฟัง
“ชายคนนั้นมาขอพบท่านจ้าวตำหนัก…ทั้งยังนำสิ่งของแทนตัวออกมาด้วย?”
“อาวุโสหรงกล่าวว่าท่านจ้าวตำหนักไม่รู้จัก ทั้งยังให้คนของเจ้ามาบอกว่าอีกฝ่ายโกหก?”
“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าอาวุโสหรงเป็นคนพูดเองกับปาก ว่าอีกฝ่ายเป็นคนโกหก? หากเป็นคนโกหกจริง แล้วไฉนอาวุโสหรงถึงต้องมาที่นี่กระทั่งพามันไปพบท่านจ้าวตำหนักด้วยตัวเองเล่า?”
สีหน้าของสือฟูฉางทั้ง 3 หมู่บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก!
ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นผู้ที่สามารถหยิบสิ่งของแทนตัวที่ได้รับจากจ้าวตำหนักของพวกมันออกมา…เช่นนั้นแล้วสมควรรู้จักกันกับท่านจ้าวตำหนักของพวกมันอย่างดี!
ตัวตนเช่นนั้นใช่คนที่พวกมันจะมาปิดล้อมสร้างปัญหาได้หรือ?
จังหวะนี้พวกมันรู้สึกเสมือนชุดเกราะเย็นเยียบ พาลให้เหงื่อกาฬหลั่งออกชโลมกาย!
“นั่นย่อมเป็นเรื่องจริง! พวกเจ้ามั่นใจได้เลยว่าคนของข้ารายงานไม่ผิดแน่ หากครั้งนี้มีเรื่องใดเกิดขึ้น ข้าฟงผิง ยินดีรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว!!”
ฟงผิงกล่าวบอกสือฟูฉางอีก 3 คนด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“เจ้าน่ะหรือจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว…อาศัยเจ้าสามารถแบกรับเรื่องนี้ได้?”
สือฟูฉางคนหนึ่งแค่นคำเย้ยเยาะคำหนึ่ง ก่อนที่จะพาคนของมันจากไปทันที มันเป็นคนเดียวกับที่กล่าววาจาหาเรื่องฟงผิงก่อนหน้า
สือฟูฉางอีก 2 คนก็ได้แต่มองฟงผิงด้วยสายตาลึกซึ้งก่อนที่จะพาคนจากไป
ครู่ต่อมาก็เหลือแต่ฟงผิงกับหน่วยองค์รักษ์เกราะทมิฬใต้บังคับบัญชา
“ท่านสือฟูฉาง เรื่องนี้ข้ามิได้กล่าวเสริมเติมแต่งและมิได้โกหกท่านแม้ครึ่งคำ…ข้าสามารถกล่าวสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ได้!”
องครักษ์เกราะทมิฬที่เป็นคนรับคำสั่งหรงหยวนอดไม่ได้ที่จะร้อนใจเร่งกล่าวออกมา กระทั่งไม่รอการตอบสนองอะไรมันเริ่มเฉือนเนื้อหลั่งโลหิตกล่าวสาบานทันที
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!…
…
สิ้นคำสาบานอัสนีสวรรค์ฟาดผ่าลั่นดัง 9 คำรบ บ่งบอกว่าคำสาบานมีผลบังคับใช้ และองครักษ์เกราะทมิฬผู้นั้นก็ยังอยู่ดี เห็นชัดว่ามันพูดความจริง!
“นี่เจ้าทำบ้าอันใดของเจ้า!?”
หน้าฟงผิงเปลี่ยนสีไปทันใด ยังมององครักษ์ที่กล่าวคำสบานด้วยแววตาเอาเรื่อง “เจ้าเป็นคนของข้าฟงผิง มีหรือที่ข้าจะไม่เชื่อคำของเจ้า! การที่เจ้ากล่าวสาบานเช่นนี้ยังต่างอันใดจากการตบหน้าข้าอีก!?”
“ท่านสือฟูฉางข้า…”
องครักษ์เกราะทมิฬเผยสีหน้าสำนึกผิดออกมา
“เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องคิดมากแล้ว เรื่องนี้พวกเรามิได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อย ใยต้องกลัวโทษทัณฑ์?”
ฟงผิงโบกมือไปมาเป็นอันจบเรื่อง ก่อนที่จะพาทุกคนกลับเข้าไปด้านในทะเลสาบผานหลง
ส่วนอีกด้านนั้น ต้วนหลิงเทียนที่ติดตามหรงหยวนมา ในที่สุดก็บรรลุถึงใจกลางทะเลสาบผานหลง
เมื่อมาถึงใจกลางทะเลสาบผานหลง จะพบเกาะมากมาย แต่ละเกาะยังมีหมอกลงต่ำคลุมครอบเอาไว้อย่างแน่นหนา หนาเสียจนบางเกาะกระทั่งแผ่นฟ้ายังมิอาจแลเห็น
อย่างไรก็ตามหรงหยวนไม่ได้พาต้วนหลิงเทียนไปยังเกาะใดทั้งสิ้น
เมื่อมาถึงจุดหนึ่งหรงหยวนก็พาต้วนหลิงเทียนเหินร่างขึ้นฟ้าในแนวดิ่ง เห็นดังนั้นต้วนหลิงเทียนก็พุ่งร่างทะยานขึ้นตามติดไปดั่งจรวด
หลังจากเหินร่างทะลุเมฆเบื้องบน ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ากลางทะเลเมฆหมอก ปรากฏเกาะมหึมาหนึ่งลอยล่องอยู่กลางหาว!
เกาะนี้แม้มิทราบทำอย่างไร หากแต่ลอยล่องเหนือฟ้ากลางหาวอย่างเงียบงัน ทะเลเมฆเบื้องล่างพัดพาไหลเอื่อย บางคราก็หอบไอเมฆหมอกให้พัดฟุ้งตลบไปทั่วเกาะ แลคล้ายวิมานสวรรต์ในเทพนิยายบทหนึ่ง
เกาะลอยฟ้านี้ยังกว้างใหญ่กว่าเกาะลอยฟ้าของตำหนักฟ้าลี้ลับหลายเท่าตัว
“อาวุโสหรง!”
“อาวุโสหรง!”
…
ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนพบว่าองครักษ์เกราะทมิฬมากมายที่หลบซ่อนตัวอย่างมิดชิด ทยอยกันปรากฏตัวออกมากล่าวคำคารวะทักทายชายชราที่เหินร่างนำเขาอยางสุภาพ
องครักษ์เกราะทมิฬบางคนก็มองเขาด้วยฉงน ในแววตาเผยความประหลาดใจสงสัยไม่น้อย
‘ฐานะของตาแก่นี่ในตำหนักเมฆาคราม ดูเหมือนจะไม่ใช่เล่นๆ’
เห็นฉากนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบกล่าวในใจ ‘มิน่าล่ะตอนข้าเรียกมันว่าตาแก่ เจ้าพวกนั้นถึงกับมองข้าด้วยสายตาราวกับมองคนตายเชียว…แต่นี่มันคิดจะทำอะไรกันแน่ เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้เป็นมันบอกองครักษ์นั่นว่าข้าเป็นคนโกหกชัดๆ แต่ไหงสุดท้ายกลับมาพาข้าไปหาจ้าวตำหนัก?’
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามคนปัจจุบันเป็นบิดาเขาแน่นอน แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยอยู่บ้าง
“เจ้าคิดว่า…ใต้ฟ้านี้มีกลวิธีปลอมแปลงรูปโฉมโดยที่สำนึกเทวะมิอาจตรวจพบหรือไม่?”
ตั้งแต่เหินร่างมาจนถึงเกาะลอยฟ้า หรงหยวนที่เงียบมาตลอดทางอยู่ดีๆก็กล่าวขึ้นมา และยังทำท่าราวกับกล่าวลอยๆไม่ได้หันมองมาทางต้วนหลิงเทียน
“ใต้หล้ากว้างใหญ่สุดไพศาล พันหมื่นพิสดารใครเล่าจะรู้ครบ…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาลอยๆ ท่าทางไม่สนใจหรงหยวนเช่นกัน
หรงหยวนไม่กล่าวอะไรออกอีก มันพาต้วนหลิงเทียนเหินมาเรื่อยๆ ในที่สุดก็เข้าถึงพื้นที่ใจกลางเกาะลอยฟ้า
พื้นที่ส่วนนี้นับว่ามีการลาดตระเวนและป้องกันอย่างเข้มงวดนัก องครักษ์เกราะทมิฬมีให้เห็นไปทั่ว
ไม่นานพระราชวังใหญ่โตยิ่งกว่าปราสาทใดๆที่ต้วนหลิงเทียนเคยเห็น ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
พระราชวังหลังนี้ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเกาะลอยฟ้า อาณาบริเวณของมันกว้างขวางโอฬารนัก มองไกลๆคล้ายเป็นอสูรกายดึกดำบรรพ์ขนาดเทียมฟ้าฟุบหมอบ…นั่นคือตำหนักหลักของตำหนักเมฆาคราม!
ตอนนี้ตำแหน่งบนเกาะลอยฟ้าที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ ก็คือใจกลางและที่เป็นตำหนักหลักของตำหนักเมฆาคราม!
หลังโรยตัวลงไปยังตำหนักใหญ่มหึมา หรงหยวนก็พาต้วนหลิงเทียนผ่านพื้นที่มากมาย ในที่สุดก็บรรลุถึงประตูมหึมาบานหนึ่ง ค่อยประกาศออกเสียงดังด้วยน้ำเสียงยินดี
“ท่านจ้าวตำหนัก คนที่ท่านให้ข้าไปนำพา มาถึงแล้ว…”
ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนกลายเป็นแรงขึ้นทันใดหลังได้ยินคำหรงหยวน เขาหันไปมองประตูของโถงหลักเขม็ง
ขณะเดียวกันเงี่ยหูเฝ้ารอเสียงตอบรับจากด้านใน
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้เวลาร่วมกับบิดาไม่เอาไหนของเขามากเท่าไหร่ แต่ต้วนหลิงเทียนย่อมสามารถจดจำเสียงของอีกฝ่ายได้!
“เข้ามา!”
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงน่าเกรงขามหนึ่งดังขึ้นจากด้านใน
ถึงแม้เสียงนี้จะฟังดูน่าเกรงขามเปี่ยมพลัง แต่ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินเขาก็บอกได้ทันทีว่านี่เป็นเสียงบิดาไม่เอาไหนของเขา!
ทันใดนั้นใจที่เต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นกังวลก็พอได้สงบลง
จ้าวตำหนักเมฆาคราม คือบิดาไม่เอาไหนของเขาจริงๆ!
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นบิดาไม่เอาไหนของเขา แต่ก็แค่มั่นใจ ทว่ายังไม่ได้รับการยืนยันข้อเท็จจริง…
แอ๊ด….
หลังมีเสียงดังขึ้นจากด้านในไม่ทันไร ประตูมหึมา 2 บานของโถงหลักก็ค่อยๆเปิดออกช้าๆ ทุกสิ่งอย่างในโถงหลักเริ่มปรากฏสู่สายตาต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนแลเห็นแทบจะทันที ถึงร่าง 3 ร่างที่ยืนอยู่ในโถงหลัก…
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นบิดาไม่เอาไหนของเขาต้วนหรูเฟิง
และตอนนี้ต้วนหรูเฟิงกำลังมองเขาด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม
ในอ้อมแขนของต้วนหรูเฟิงยังอุ้มเด็กชายตัวน้อยเอาไว้ ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูนัก แถมเด็กน้อยยังจ้องมองมาที่เขาตาแป๋ว
นอกจากนั้นยังมีสตรีอีก 2 นางที่ยืนอยู่ข้างกายต้วนหรูเฟิงทั้งซ้ายขวา